กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF)
1. ภูมิหลัง
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2487 จากการประชุม United Nations Monetary and Financial Conference หรือที่รู้จักในนาม Bretton Woods Conference โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา และและมีฐานะเป็นทบวงการชำนัญพิเศษของสหประชาชาติ
ข้อตกลงว่าด้วยกองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนดให้กองทุนการเงินฯ ทำหน้าที่สนับสนุนความร่วมมือทางการเงินระหว่างประเทศ สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศให้ขยายตัวอย่างสมดุล เสริมสร้างเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ สนับสนุนการจัดตั้งระบบการชำระเงินระหว่างประเทศ และให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงิน
2. บทบาทหลัก
กองทุนการเงินฯ มีบทบาทหลักในการสอดส่องดูแลเศรษฐกิจ รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางการเงิน และความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ประเทศสมาชิก เพื่อให้ระบบการเงินระหว่างประเทศมีเสถียรภาพ
การสอดส่องดูแลเศรษฐกิจ : กองทุนการเงินฯ จะติดตามภาวะเศรษฐกิจการเงินของประเทศสมาชิกอย่างใกล้ชิด และประชุมหารือกับประเทศสมาชิก
(หรือ Article IV Consultation) เป็นประจำ ซึ่งโดยทั่วไปจะจัดประชุมเป็นประจำทุกปี โดยคณะเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินฯ
จะไปเยือนประเทศสมาชิกเพื่อประเมินภาวะและเสถียรภาพเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ทั้งนี้ กองทุนการเงินฯ จะประมวลข้อมูลเศรษฐกิจของสมาชิกแต่ละประเทศเพื่อนำมาประเมินภาวะเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับโลก
โดยจะเผยแพร่ผลการประเมินทุกครึ่งปีในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) และรายงานเสถียรภาพการเงินโลก (Global Financial Stability Report) |  |
การให้ความช่วยเหลือทางการเงิน: กองทุนการเงินฯ ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงินเพื่อช่วยฟื้นฟูเสถียรภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจผ่านโครงการเงินกู้ (facilities) ประเภทต่างๆ ซึ่งประเทศที่ขอความช่วยเหลือจะต้องดำเนินนโยบาย หรือมาตรการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาดุลการชำระเงินตามที่กำหนดในจดหมายแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) เงินทุนของโครงการเงินกู้ของกองทุนการเงินฯ ได้มาจากการชำระเงินค่าโควตาของประเทศสมาชิกเป็นสำคัญ ดังนั้น ความสามารถในการให้กู้ของกองทุนการเงินฯ จึงกำหนดโดยโควตารวมของประเทศสมาชิกเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม กองทุนการเงินฯ สามารถกู้ยืมเพิ่มเติมจากประเทศที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งได้จำนวนหนึ่งภายใต้ความตกลงให้กู้แก่กองทุนการเงินฯ ฉบับใหม่ (New Arrangements to Borrow - NAB)
การให้ความช่วยเหลือทางวิชาการ : กองทุนการเงินฯ ให้ความช่วยเหลือทางวิชาการแก่ประเทศสมาชิกเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการกำหนดและดำเนินนโยบาย 4 ด้านหลัก คือ 1) นโยบายการเงินและนโยบายสถาบันการเงิน 2) นโยบายการคลังและการบริหารหนี้สาธารณะ 3) สถิติข้อมูล และ 4) กฎหมายเศรษฐกิจการเงิน โดยกองทุนการเงินฯ ได้จัดหลักสูตรฝึกอบรมและสัมมนาสำหรับประเทศสมาชิกที่สถาบันฝึกอบรมของกองทุนการเงินฯ ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี และสถาบันฝึกอบรมในภูมิภาคต่างๆ (ออสเตรเลีย บราซิล สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย สิงคโปร์ ตูนิเซีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรต) โดยในไทยมี IMF Capacity Development Office in Thailand (CDOT) ตั้งอยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย |  |
3. โครงสร้างองค์กร
สภาผู้ว่าการกองทุนการเงินฯ ประกอบด้วยผู้ว่าการจากแต่ละประเทศสมาชิก (รายชื่อประเทศสมาชิก) จะประชุมร่วมกันปีละหนึ่งครั้งระหว่างการประชุมประจำปีกองทุนการเงินฯ และธนาคารโลกเพื่อหารือและตัดสินใจนโยบายสำคัญของกองทุนการเงินฯ นอกจากนี้ ยังมี International Monetary and Financial Committee (IMFC) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนสมาชิกจำนวน 24 ท่าน ตามองค์ประกอบของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาสภาผู้ว่าการ ซึ่งจะพิจารณาและจัดทำข้อเสนอสำหรับประเด็นนโยบายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกำกับดูแลระบบการเงินโลก สำหรับคณะกรรมการบริหารและเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินฯ (IMF Executive Directors and Voting Power) จะดูแลการดำเนินกิจการทั่วไปของกองทุนการเงินฯ ตามข้อเสนอของ IMFC ทั้งนี้ กรรมการจัดการกองทุนการเงินฯ (Managing Director) จะทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการบริหาร และผู้บริหารสูงสุดของเจ้าหน้าที่กองทุนการเงินฯ
สมาชิกภาพ: ปัจจุบันกองทุนการเงินฯ มีสมาชิกจำนวน 189 ประเทศ เพิ่มจาก 29 ประเทศเมื่อปี 2488 โดยประเทศสมาชิกล่าสุดคือ สาธารณรัฐนาอูรู (Nauru) ซึ่งเข้าเป็นสมาชิกกองทุนการเงินฯ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2559 ทั้งนี้ ประเทศที่สมัครเป็นสมาชิกกองทุนการเงินฯ จะต้องเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติก่อน
โควตา: เมื่อเข้าเป็นสมาชิกกองทุนการเงินฯ ประเทศสมาชิกจะได้รับจัดสรรจำนวนโควตาในสกุลสิทธิพิเศษถอนเงิน1/ (SDR) ตามขนาดของเศรษฐกิจและความสำคัญของประเทศสมาชิกนั้นๆ เทียบกับเศรษฐกิจโลก (รายละเอียดเพิ่มเติม) โดยปกติกองทุนการเงินฯ จะทบทวนโควตาทุก 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป และเพิ่มทุนดำเนินการของกองทุนการเงินฯ ให้พอเพียงกับความจำเป็น
โควตามีความสำคัญในการกำหนดสิทธิและวงเงินกู้ของประเทศสมาชิก กล่าวคือ ประเทศสมาชิกจะได้รับคะแนนเสียงพื้นฐานเท่ากันจำนวน 250 คะแนน และเพิ่มอีกหนึ่งคะแนนเสียงต่อโควตา 100,000 SDR นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกสามารถกู้เงินจากกองทุนการเงินฯ ได้ไม่เกินร้อยละ 100 ของจำนวนโควตาต่อปี และรวมกันไม่เกินร้อยละ 300 ของจำนวนโควตา
4. ความสัมพันธ์กับประเทศไทย
สมาชิก ประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิกลำดับที่ 44 ของกองทุนการเงินฯ เมื่อวันที่ 3
พฤษภาคม 2492 โดยมีธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เป็นตัวแทนของประเทศไทยในกองทุนการเงินฯ ตาม พ.ร.บ.
ให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับกองทุนการเงินและธนาคารระหว่างประเทศ พ.ศ. 2494 รวมทั้งผู้ว่าการและรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยจะทำหน้าที่เป็นผู้ว่าการและผู้ว่าการสำรองในกองทุนการเงินฯ
ตามลำดับ ปัจจุบัน ประเทศไทยมีโควตาเท่ากับ 3211.9
ล้าน SDR หรือร้อยละ 0.68 ของจำนวนโควตาทั้งหมด เทียบเท่ากับ 33,584
คะแนนเสียง
ในปัจจุบันมีผู้แทนจาก ธปท. (ระดับผู้ช่วยผู้ว่าการ) ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร
(Executive Director) ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดของสำนักงานกลุ่มออกเสียงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2562 – 31 พฤษภาคม
2564 และในปี 2562 นี้ ผู้ว่าการ ธปท.
ยังได้รับหน้าที่เป็นผู้แทนของกลุ่มออกเสียงฯ ใน International Monetary and
Financial Committee (IMFC) ทำให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการแสดงความเห็นในนามของกลุ่มออกเสียงฯ
ต่อทิศทางนโยบายของกองทุนการเงินฯ ในการประชุมประจำปี
การสอดส่องดูแลเศรษฐกิจ กองทุนการเงินฯ จะประเมินภาวะเศรษฐกิจประเทศไทยเป็นประจำทุกปีภายใต้พันธะข้อ 4 ของข้อตกลงว่าด้วยกองทุนการเงินฯ นอกจากนี้ ประเทศไทยได้ดำเนินการตามพันธะข้อ 8 ของข้อตกลงว่าด้วยกองทุนการเงินฯ โดยยกเลิกการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมการค้า ตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2533 และล่าสุด ประเทศไทยได้เข้าร่วมรับการประเมินเสถียรภาพภาคการเงินภายใต้ Financial Sector Assessment Program2/ (FSAP) เมื่อต้นปี 2562
Link: รายงาน Article IV Staff Report ของไทยที่ผ่านมา
ความช่วยเหลือทางการเงิน ประเทศไทยเคยได้รับความช่วยเหลือทางการเงินจากกองทุนการเงินฯ ภายใต้โครงการเงินกู้ Stand-by3/ รวม 5 ครั้งในวงเงินรวมทั้งสิ้น 4,431 ล้าน SDR โดยครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2521 จำนวนเงิน 45.25 ล้าน SDR ครั้งที่สองเมื่อเดือนมิถุนายน 2524 จำนวน 814.5 ล้าน SDR (แต่เบิกถอนจริงจำนวน 345 ล้าน SDR) ครั้งที่สามเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2525 จำนวน 271.5 ล้าน SDR ครั้งที่สี่เมื่อเดือนมิถุนายน 2528 จำนวน 400 ล้าน SDR (แต่เบิกถอนจริงจำนวน 260 ล้าน SDR) และครั้งล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2540 จำนวน 2,900 ล้าน SDR (แต่เบิกถอนจริงจำนวน 2,500 ล้าน SDR) (คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติม)
คุณรู้หรือไม่ ?
| ประเทศไทยได้ชำระคืนเงินกู้จากกองทุนการเงินฯ ที่ได้รับความช่วยเหลือเมื่อปี 2540 ครบทั้งจำนวนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2546 ซึ่งเป็นการชำระคืนก่อนกำหนดถึง 2 ปี และในปัจจุบันไทยไม่มีภาระหนี้คงค้างกับกองทุนการเงินฯ แล้ว |
| นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีสถานะเป็นประเทศผู้ให้กู้แก่ IMF ผ่านกลไกโควตา และการเป็นภาคีความตกลงให้กู้แก่กองทุนการเงินฯ ฉบับใหม่ (New Arrangements to Borrow) ในวงเงินไม่เกิน 340 ล้าน SDR (474 ล้านบาท) และร่วมสมทบตามสัญญา Borrowing Agreement ในวงเงิน 4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในกรณีที่ IMF มีสภาพคล่องจากโควตาไม่เพียงพอกับการปล่อยกู้ |

|
กองทุนการเงินระหว่างประเทศจะติดต่อประสานงานกับกระทรวงการคลังและธนาคารกลางของประเทศสมาชิกเท่านั้น ไม่ทำธุรกรรมรายย่อยหรือติดต่อกับประชาชนโดยตรง รวมถึงไม่มีหน้าที่ในการตรวจสอบและเก็บค่าธรรมเนียมธุรกรรมโอนเงินระหว่างประเทศรายย่อยอีกด้วย อย่างไรก็ดี บ่อยครั้งกลุ่มมิจฉาชีพมักแอบอ้างถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ต้องมีการโอนเงิน หรือชำระเงินระหว่างประเทศ อาทิ การชักชวนเข้าร่วมโครงการ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การลงทุนหรือประกอบธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ล็อตใหญ่ โดยมิจฉาชีพมักอ้างว่าได้โอนเงินจากต่างประเทศมาให้ ผ่านการตรวจสอบและรับรองจาก IMF หรือองค์กร ระหว่างประเทศอื่นๆ ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องชำระค่าธรรมเนียมต่าง ๆ อาทิ ค่าลงทะเบียน ค่าธรรมเนียมการโอนเงินจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทย เป็นต้น ซึ่งเข้าข่ายการหลอกลวงทั้งสิ้น ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนใช้ความระมัดระวัง ศึกษาข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ อย่างถี่ถ้วน (โดยเฉพาะหลักฐานแสดงตัวตนของคู่สัญญา/ผู้ร่วมธุรกรรม และหลักฐานการโอนเงินที่อาจปลอมแปลงเอกสารดิจิทัลได้โดยง่าย) และพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจดำเนินการโอนเงินไปยังต่างประเทศเพื่อเข้าร่วมโครงการสินเชื่อ การลงทุน หรือประกอบธุรกิจใด ๆ หากท่านพบเห็นพฤติกรรมดังกล่าวหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม ต้องการแจ้งเรื่องร้องเรียนหรือขอคำปรึกษา สามารถสอบถามได้โดยตรงที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โทร. 1213 (https://www.1213.or.th/th/finfrauds/OnlineCrime/Pages/OnlineCrime.aspx) |
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและกองทุนการเงินฯ สามารถค้นหาได้จาก
สำหรับข้อมูลล่าสุดของบทบาทธนาคารแห่งประเทศไทยในกองทุนการเงินฯ สามารถค้นหาได้จากรายงานเศรษฐกิจและการเงินประจำปีของ ธปท.
________________________________________________________________________________________________
1/ สิทธิพิเศษถอนเงิน (SDR) เป็นสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศที่สร้างขึ้นโดยกองทุนการเงินฯ เมื่อปี 2512 สำหรับเสริมเงินสำรองระหว่างประเทศที่มีอยู่ในขณะนั้น เพื่อรองรับการขยายตัวทางการค้าและการเงินโลก นอกจากนี้ SDR ยังทำหน้าที่เป็นหน่วยบัญชีสำหรับกองทุนการเงินฯ โดยกำหนดมูลค่าเทียบกับกลุ่มเงินตราสกุลหลัก 5 สกุล คือ ดอลลาร์ สรอ. ยูโร เยนญี่ปุ่น ปอนด์สเตอร์ลิง และหยวน
2/ โครงการ Financial Sector Assessment Program (FSAP) เป็นโครงการร่วมระหว่างกองทุนการเงินฯ และธนาคารโลก เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของระบบการเงินในประเทศสมาชิก การประเมินภายใต้โครงการ FSAP จะเน้นการระบุจุดแข็งและจุดอ่อนในระบบการเงินของประเทศสมาชิกที่เข้าร่วม เพื่อช่วยจัดลำดับความสำคัญในการดำเนินการปฏิรูป
3/ Stand-by เป็นโครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่ประสบปัญหาดุลการชำระเงินระยะสั้น และเป็นโครงการเงินกู้ที่ประเทศสมาชิกเข้าร่วมมากที่สุด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
ทีมองค์กรการเงินระหว่างประเทศ สายสื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร
โทร. 0-2283-5124 หรือ 0-2356-7245
e-mail: IND-InterFinOrg@bot.or.th