ความภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ
ท่ามกลางเสียงขับขานกาพย์เห่เรือที่ดังกังวานไปทั่วคุ้งน้ำเจ้าพระยา
คนไทยมีโอกาสร่วมเฝ้ารับเสด็จและชมความงดงามของริ้วขบวนเรือพระราชพิธีในการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร
โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
ซึ่งเป็นครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
BOT
พระสยาม MAGAZINE ได้รับความกรุณาจาก
ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง จันทรางศุ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และพระราชพิธี
มาเล่าถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร
โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นความภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ
กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค1
หมายถึง ริ้วกระบวนเรือพระราชพิธีที่จัดสำหรับพระมหากษัตริย์เสด็จพระราชดำเนินไปในการต่าง
ๆ ทั้งที่เป็นการส่วนพระองค์และที่เป็นพระราชพิธี
อาจารย์ธงทองเล่าว่า “โดยทั่วไป ถ้าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินส่วนพระองค์
ก็ไม่ต้องมีกระบวนใหญ่โต แต่ในโอกาสที่เป็นวาระสำคัญจะเสด็จพระราชดำเนินอย่างเต็มพระเกียรติยศ
ซึ่งมีอยู่หลัก ๆ 2 วาระ ได้แก่ การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร
ซึ่งเท่าที่พบในประวัติศาสตร์ คือ ในพิธีบรมราชาภิเษก และงานเฉลิมพระชนมพรรษา
เนื่องด้วยสมัยก่อนไม่มีสื่อหรือช่องทางข่าวสารหลากหลายเหมือนสมัยนี้ เมื่อผลัดเปลี่ยนแผ่นดินคราหนึ่ง
ประชาชนจึงรับทราบได้โดยการบอกเล่าว่ามีกษัตริย์พระองค์ใหม่แล้วเท่านั้น
การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครทั้งทางบกและทางน้ำ นับเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทราบข่าวสารและได้ชื่นชมพระบารมี
และแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
“อีกวาระหนึ่ง คือ การเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินหลังออกพรรษา ซึ่งสมัยก่อนถือเป็นงานประจำปี
นอกจากจะเป็นไปเพื่อการกุศลแล้ว การเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคยังเป็นพระบรมราโชบายของพระมหากษัตริย์ไทยในอดีตที่ต้องการฝึกซ้อมไพร่พลเพื่อเตรียมความพร้อมหากเกิดศึกสงคราม
ไพร่พลที่มาฝึกก็รู้สึกยินดีปรีดาไปกับงานกุศลด้วย จึงเป็นที่นิยมและกระทำสืบเนื่องกันมา”
1 คำว่า “กระบวน” และ “ขบวน” มีเสียงคล้ายกันแต่ใช้ต่างกัน กระบวน หมายถึง แบบแผน วิธีการ ส่วน ขบวน หมายถึง จัดเป็นแถวเป็นแนว ซึ่งมักจะมีแบบแผนเดียวกัน อนึ่ง ในเอกสารโบราณจะใช้คำว่า “กระบวนพยุหยาตรา” และเริ่มใช้ “ขบวนพยุหยาตรา” ในสมัยรัชกาลที่ 9 เป็นต้นมา
ความวิจิตรตระการตาของราชประเพณีในสมัยอยุธยา

พระราชพิธีนี้เป็นที่ปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
โดยได้ปรากฏหลักฐานที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของวัฒนธรรมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่ามีการจัด
“กระบวนพยุหยาตราเพชรพวง” เมื่อพระองค์เสด็จไปยังหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งนับเป็นกระบวนพยุหยาตราใหญ่เต็มรูปแบบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
และเป็นต้นแบบของกระบวนพยุหยาตราในสมัยต่อมา นอกจากนี้
ในสมัยนั้นยังมีการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศบ่อยครั้ง อาทิ
ได้โปรดให้จัดกระบวนเรือหลวงออกมารับคณะราชทูต และแห่พระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่
14
จากกรุงศรีอยุธยามายังเมืองลพบุรี โดยบันทึกของบาทหลวงตาชาร์ด กล่าวว่า
“ขบวนอันยืดยาวของเรือบัลลังก์หลวง ซึ่งเคลื่อนที่ไปอย่างมีระเบียบเรียบร้อยนี้มีจำนวนถึง
150 ลำผนวกกับเรือลำอื่น ๆ เข้าอีกก็แน่นแม่น้ำแลไปได้สุดสายตา
อันเป็นทัศนียภาพที่งดงามหนักหนา เสียงเห่แสดงความยินดีตามธรรมเนียมนิยมของสยาม
อันคล้ายจะรุกไล่เข้าประกบข้าศึกนั้น ก้องไปทั้งสองฝั่งฟากแม่น้ำ
ซึ่งมีประชาชนพลเมืองมาคอยชมกระบวนยาตราอันมโหฬารนี้อยู่” ถือเป็นการแสดงแสนยานุภาพและพระบารมีออกสู่สายตาพระราชอาคันตุกะที่มาเยือนเมืองสยาม
กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
การฟื้นฟูพระราชประเพณีในสมัยรัตนโกสินทร์ ในยุครัตนโกสินทร์
ผู้คนยังจดจำความรุ่งเรืองและงดงามของบ้านเมืองในสมัยอยุธยาได้
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดให้ฟื้นฟูราชประเพณีกระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
โดยใช้ในการอัญเชิญพระแก้วมรกตแห่ข้ามฟากมาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
กระบวนพยุหยาตราทางชลมารคได้กระทำสืบต่อมาในทุกรัชกาล
แต่ที่มีการบันทึกหลักฐานชัดเจน คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทั้งสองรัชกาลเป็นการเสด็จพระราชดำเนินระยะสั้นจากท่าราชวรดิฐไปนมัสการพระพุทธรูป
ณ วัดอรุณราชวราราม
อาจารย์ธงทองเสริมว่า “ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
มีเรือเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ชำรุดทรุดโทรมลง เพราะไม่ได้รับการซ่อมแซมและไม่ค่อยได้ใช้งาน
จำนวนเรือที่มีอยู่ในขณะนั้นจึงไม่สามารถจัดเป็นกระบวนเรือเต็มรูปแบบดั้งเดิม
กอปรกับรูปแบบการสัญจรทางน้ำเปลี่ยนแปลงไป อย่างในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 หากจะเสด็จพระราชดำเนินมาวัดบวรนิเวศวิหาร จะต้องใช้เส้นทางผ่านคลองเล็ก
ๆ ทำให้ไม่สามารถจัดกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคอย่างเต็มรูปแบบได้
“ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตวางระเบียบริ้วกระบวนเรือพระราชพิธีเสียใหม่
ทรงพระดำริแบบแผนของกระบวนพยุหยาตราใหญ่หรือกระบวนพยุหยาตราน้อย
โดยจัดรูปกระบวนจากจำนวนเรือที่มีอยู่เป็นสำคัญ และยึดหลักโบราณราชประเพณีโดยอนุโลม
เพื่อใช้เป็นหลักปฏิบัติต่อไป

“กระบวนพยุหยาตราใหญ่ ประกอบด้วยริ้วกระบวน 4 สาย (รวมริ้วกระบวนสายพระราชยาน 1 สาย เป็น 5 สาย) ใช้สำหรับงาน พระราชพิธีสำคัญ และกระบวนพยุหยาตราน้อย ประกอบด้วยริ้วกระบวน
2 สาย (รวมริ้วกระบวนสายพระราชยาน 1
สาย เป็น 3 สาย) ใช้สำหรับการเสด็จพระราชดำเนินที่มีความสำคัญรองลงมา”
ทั้งสองริ้วกระบวนเต็มไปด้วยความสวยงามตระการตา
แสดงถึงพระบารมีที่แผ่ไพศาลของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่พึ่งของพสกนิกรที่อยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร
และแสดงถึงเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมประเพณีอย่างหนึ่งของชาติ
กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี 2475
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
พระอัฐมรามาธิบดินทรมิได้ประทับอยู่ในประเทศ ประกอบกับในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือพระราชพิธีถูกระเบิดจากสงครามเสียหายไปมาก การเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคจึงขาดหายไปเป็นเวลากว่า
30 ปี
“ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รื้อฟื้นธรรมเนียมนี้ขึ้นอีกครั้งในปี
2500 ด้วยจำนวนเรือที่มีอยู่ซึ่งไม่ครบจำนวนตามแบบโบราณราชประเพณี
โดยเรียกว่า ‘ขบวนพุทธพยุหยาตรา’ เพื่อฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ต่างกับขบวนพยุหยาตราปกติ
คือ จะอัญเชิญพระพุทธรูปเป็นประธานของขบวน แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 9 มิได้เสด็จพระราชดำเนินร่วมขบวนด้วย”

ถัดมาจากนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารคสำหรับเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐิน
ณ วัดอรุณราชวราราม โดยได้บูรณะซ่อมแซมเรือพระราชพิธีหลายลำที่ชำรุดเสียหายเพื่อให้มีสภาพบริบูรณ์สามารถใช้งานได้
และได้ต่อเรือพระที่นั่งเพิ่มขึ้นด้วย (เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9) จนเรือพระราชพิธีมีจำนวนครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี
เป็นการฟื้นฟูโบราณราชประเพณีอันทรงคุณค่า และสืบสานความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทย

เสน่ห์ของเสียงในขบวน
อาจารย์ธงทองเล่าถึงบรรยากาศอันเป็นเสน่ห์ของขบวนพยุหยาตราทางชลมารคว่า
“เราจะได้ยินเสียงเห่เรือที่เป็นบทประพันธ์กาพย์ยานี 11 ซึ่งเนื้อหาที่แต่งจะต่างกันไปตามยุคสมัย
เช่น กาพย์เห่เรือของเจ้าฟ้ากุ้งในสมัยอยุธยา จะเป็นการแต่งชมความงามของกระบวนเรือ
‘สุวรรณหงส์ทรงพู่ห้อยงามชดช้อยลอยหลังสินธุ์ เพียงหงส์ทรงพรหมินทร์
ลินลาศเลื่อนเตือนตาชม...’ ใช้ในคราวเสด็จพระราชดำเนินโดยทางชลมารคไปนมัสการพระพุทธบาท
จังหวัดสระบุรี หรือกาพย์เห่เรือของรัชกาลที่ 2 ในสมัยรัตนโกสินทร์
จะเป็นการแต่งกาพย์แห่เรือชมเครื่องคาวหวาน ‘มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา...’ ใช้ในการเสด็จประพาสส่วนพระองค์
ส่วนในปีนี้ จะเป็นการปรับจากกาพย์เห่เรือสมัยรัชกาลที่ 9
ให้เหมาะสมกับยุคสมัยขึ้น ผู้แต่งคือ นาวาเอก ทองย้อย แสงสินชัย นอกจากกาพย์เห่เรือแล้ว
เรือบางลำจะมีวงดนตรีปี่ชวากลองแขกบรรเลงเพลง และเรือบางลำจะมีการกระทุ้งเส้าและเป่าแตรให้จังหวะด้วย”
ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค
เนื่องในพระราชพีธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562
การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคที่ผ่านมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินประทับเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
โดยเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินเริ่มจากท่าวาสุกรีไปสิ้นสุดที่ท่าราชวรดิฐ รวมระยะทาง
3.4
กิโลเมตร โดยเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครเพียงอย่างเดียว
ไม่มีการถวายผ้าพระกฐิน เพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมพระบารมี นับเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์อันวิจิตรงดงามและทรงคุณค่า
ที่จะบันทึกในความทรงจำของประชาชนชาวไทยสืบไป
เรือพระที่นั่งอันทรงคุณค่าในธนบัตรไทย
ธนบัตรไทยเป็นสิ่งพิมพ์มีค่าที่นอกจากจะผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์อันทันสมัยแล้ว
ยังเป็นพื้นที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันแสดงถึงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมของชาติไทยมาโดยตลอด
รวมถึงเรือพระที่นั่งอันทรงคุณค่าด้วย

เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์
โขนเรือเป็นรูปศีรษะหงส์ การพายเรือใช้พายไม้ปิดทอง พายท่านกบิน
ซึ่งเมื่อพายกระทบน้ำและยกสูงขึ้นแล้วบิดพายให้กระทบแสงอาทิตย์จะเกิดประกายระยับจับตา
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นความงดงามแห่งศิลปกรรมอันทรงคุณค่า แสดงถึงภูมิปัญญาในการต่อเรือของช่างไทย
แสดงถึงความเป็นเอกลักษณ์ของชาติ มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติไทย
อันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สำคัญยิ่ง

เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช
โขนเรือเป็นรูปพญานาคเจ็ดเศียร หงอนแต่ละเศียรประดิษฐ์เป็นลายกระหนกนาค
โคนโขนเรือมีช่องสำหรับสอดปืนใหญ่ บริเวณหัวโขนเรือ ลำเรือ และท้ายเรือ
แกะสลักเป็นลายรูปนาคเกี้ยวเคล้ากระหนกปิดทองประดับกระจก สะท้อนถึงความเชื่อของสังคมไทยที่มีต่อพระมหากษัตริย์ในฐานะทรงเป็นอวตารแห่งพระนารายณ์
เมื่อพระองค์ได้เสด็จประทับในเรือพระที่นั่งเปรียบเสมือนพระนารายณ์ประทับเหนือพญาอนันตนาคราช
ธปท.
กับการรับเสด็จและการต้อนรับพระราชอาคันตุกะ
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีโอกาสเฝ้าฯ
รับเสด็จและต้อนรับพระราชอาคันตุกะต่างประเทศคนสำคัญถึง 2 ครั้ง ณ เรือนแพ
ธปท.

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากสำนักหอสมุดแห่งชาติ
สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ หอจดหมายเหตุ ธปท. หนังสือนำชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
เรือพระราชพิธี และหนังสือ 100 ปี ธนบัตรไทย