กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) มีฐานะทั้งเป็นส่วนหนึ่งและเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2528 สำหรับใช้เป็นช่องทางในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินที่ประสบปัญหาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายที่รุนแรงหรือลุกลามจนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินโดยรวม กองทุนฯ มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่สถาบันการเงินที่ประสบปัญหาให้ช่วงวิกฤติการเงินปี 2540 นอกเหนือไปจากภาระหน้าที่ในการค้ำประกันการชำระคืนเงินฝากและเงินกู้ให้แก่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจและรักษาความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินของประเทศ
เนื่องจากมีสถาบันการเงินที่ต้องปิดกิจการไปเป็นจำนวนมากในช่วงวิกฤติปี 2540 ในขณะที่กองทุนฯ ต้องให้ความช่วยเหลือแก้ไขฐานะทางการเงินของสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาและค้ำประกันทั้งเงินฝากและหนี้ของสถาบันการเงินทุกแห่ง จึงทำให้กองทุนฯ เกิดความเสียหายที่มีมูลค่ารวมถึงกว่า 1.4 ล้านล้านบาท
ภายหลังวิกฤติรอบดังกล่าว รัฐบาลได้มีการตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ ในรูปของการออกพันธบัตรเพื่อจัดระบบการบริหารจัดการภาระหนี้จำนวนมากของกองทุนฯ และลดการพึ่งพิงการกู้ยืมจากตลาดเงินระยะสั้นซึ่งก่อให้เกิดความบิดเบือนของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน
ในการดำเนินการของกองทุนฯ เพื่อช่วยเหลือสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาและเข้าค้ำประกันการชำระคืนเงินฝากและเงินกู้ของสถาบันการเงินในช่วงวิกฤติปี 2540 นั้น ทางรัฐบาลโดยกระทรวงการคลังจะรับภาระการชำระดอกเบี้ยของพันธบัตร ในขณะที่ ธปท. จะชำระคืนต้นเงินกู้เมื่อการดำเนินงานของ ธปท. มีผลกำไร หรือมีสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปี แต่เนื่องจาก ธปท. เป็นองค์กรที่ดำเนินงานโดยไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อการแสวงกำไร และมีพันธกิจที่มุ่งเน้นในด้านของการดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินและเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลัก ดังนั้น การดำเนินงานของ ธปท. กว่า 15 ปีที่ผ่านมาหลังวิกฤติจึงไม่ได้มีผลกำไรมากพอที่ไปชำระคืนต้นเงินได้ทั้งหมด และยอดเงินกู้ได้ลดลงเพียงประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาทเท่านั้น
จากการที่รัฐบาลมีภาระทางการคลังในการใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และลงทุนในโครงการพัฒนาศักยภาพของประเทศอยู่ในระดับที่สูง ดังนั้น เพื่อเปิดโอกาสให้รัฐบาลสามารถนำเงินงบประมาณที่ต้องจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรตามโครงการ จัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ ไปใช้เพื่อการฟื้นฟูประเทศและลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ทางรัฐบาลจึงได้มีการตราพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 27 มกราคม 2555 โดยกำหนดให้กองทุนฯ รับภาระในการการชำระคืนทั้งต้นเงินกู้และการชำระดอกเบี้ยของพันธบัตรในโครงการ ซึ่งนอกเหนือจากกำไรสุทธิของ ธปท. สินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา และเงินหรือทรัพย์สินของกองทุนฯ แล้ว ยังเปิดโอกาสให้กองทุนฯ เรียกเงินนำส่งจากสถาบันการเงิน ซึ่งในปัจจุบันกำหนดไว้ที่อัตราร้อยละ 0.46 ต่อปีจากยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองและยอดเงินที่ได้รับจากประชาชนเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนฯ (บัญชีสะสมฯ) ได้ด้วย ซึ่งตามประมาณการเบื้องต้นต้องใช้เวลาประมาณ 25 ปีจึงจะชำระเสร็จสิ้น
เมื่อสิ้นปี 2556 ภาระหนี้คงค้างของพันธบัตรเพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ อยู่ที่ 1.107 ล้านล้านบาท ลดลงจากยอดคงค้างเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 ซึ่งอยู่ที่ 1.138 ล้านล้านบาท
หลังจากวิกฤติการเงินในปี 2540 กองทุนฯ ได้มีการปรับลดบทบาทลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2546 กองทุนฯ ได้ลดบทบาทในการค้ำประกันลงเหลือเพียงการค้ำประกันการจ่ายคืนเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ผู้ฝากเงินเท่านั้น และหลังจากที่พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีผลบังคับใช้ในวันที่ 11 สิงหาคม 2551 บทบาทของกองทุนฯ ในด้านการค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับผู้ฝากเงินก็สิ้นสุดลงตามไปด้วย ภารกิจของกองทุนฯ ในปัจจุบันคงเหลือเพียงการบริหารสินทรัพย์ของกองทุนฯ เท่านั้น
เนื่องจาก กองทุนฯ เป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจาก ธปท. จึงมีการจัดทำบัญชีและงบประมาณเป็นของกองทุนฯ เอง และมีสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้ตรวจบัญชี ณ วันที่ 30 กันยายน 2555 กองทุนฯ มีสินทรัพย์รวม 165,564 ล้านบาท ในขณะที่มีภาระหนี้สินรวม 68 ล้านบาท
กองทุนฯ บริหารงานโดยคณะกรรมการจัดการกองทุน ซึ่งประกอบด้วย ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นประธาน และปลัดกระทรวงการคลังเป็นรองประธานโดยตำแหน่ง และมีกรรมการอื่นแต่งตั้งโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 9 คน ปัจจุบันคณะกรรมการจัดการกองทุนมีกรรมการทั้งสิ้น 11 คน ประกอบด้วย ผู้แทนจากธนาคารแห่งประเทศไทย 4 คน กระทรวงการคลัง 3 คน สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยอีกแห่งละ 1 คน โดยมีผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งกรรมการจัดการกองทุน เลขานุการคณะกรรมการจัดการกองทุน และผู้จัดการกองทุนด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการจัดการกองทุนจะมีการประชุมกันเดือนละหนึ่งครั้ง
วิสัยทัศน์: สนับสนุนและส่งเสริมความมั่นคงของระบบสถาบันการเงิน รวมทั้งบริหารจัดการหนี้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างเสถียรภาพต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ