ตลาดการเงิน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีความผันผวนมากขึ้นกว่าในอดีต เนื่องจากมีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกหลายปัจจัยที่เข้ามากระทบกับค่าเงินบาทอย่างมีนัยสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น สึนามิ น้ำท่วม การชุมนุมทางการเมือง วิกฤติการเงินในยุโรป และวิกฤติการคลังในสหรัฐฯ ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นของค่าเงินบาทเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงได้ยาก เนื่องจากธปท. ใช้ นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการบริหารจัดการ (Managed Float) ซึ่งจะเน้นให้ค่าเงินบาทสะท้อนสภาวะเศรษฐกิจในขณะนั้น ๆ โดยปล่อยให้เคลื่อนไหวไปตามกลไกตลาดและไม่กำหนด อัตราแลกเปลี่ยน ตายตัวไว้ที่ค่าใดค่าหนึ่ง หรือผูกค่าเงินบาทไว้กับเงินตราต่างประเทศสกุลใดสกุลหนึ่ง
ภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อนและเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้นเช่นในปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนมีแนวโน้มที่จะผันผวนมากขึ้น ภาคธุรกิจเอกชนจำเป็นต้องปรับตัวรับความผันผวนของค่าเงินที่เพิ่มขึ้นด้วยการเน้นบริหารความเสี่ยงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตัวเอง ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาเครื่องมือที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการภาคธุรกิจเอกชนสามารถป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ อย่างเช่น การซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า การทำธุรกรรม FX Swap ฯลฯ
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาธปท. ยังมีนโยบายที่ชัดเจนในด้านของการผ่อนคลายกฎเกณฑ์เพื่อสนับสนุนให้นักลงทุนในประเทศออกไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งนอกจากจะเป็นการสนับสนุนให้ธุรกิจและนักลงทุนไทยขยายกิจการและเครือข่ายการลงทุนไปยังต่างประเทศแล้ว ยังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทอย่างเป็นธรรมชาติจากผลของกระแสเงินทุนไหลเข้าอีกด้วย
ในกรณีที่ค่าเงินบาทผันผวนมากเกินไปจนอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม หรือมีสัญญาณว่าเกิดการเก็งกำไรในค่าเงินบาท ธปท. ก็อาจจะเข้าไปดูแลความผันผวนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นครั้งคราวตามความจำเป็นของสถานการณ์ โดยจะพิจารณาจาก Nominal effective exchange rate (NEER) ซึ่งประกอบด้วยสกุลเงินของคู่ค้าและ คู่แข่งทางการค้าที่สำคัญ เป็นหลักไม่ใช่แค่ดอลลาร์สหรัฐฯ เพียงสกุลเดียว แต่ทั้งนี้การดูแลค่าเงินบาทของธปท. จะต้องไม่ฝืนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น ธปท. ก็ยังมีการบังคับใช้ มาตรการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท ซึ่งอาจมีการปรับระดับความเข้มข้นให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงได้ด้วย
การที่ธปท. มีภาระในการดูแลความผันผวนของค่าเงินบาท ทำให้เงินสำรองทางการของประเทศ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หน้าที่อีกประการหนึ่งของ ธปท. ก็คือ การบริหารเงินสำรองทางการ โดยยึดหลักสำคัญสามประการคือ การรักษามูลค่าของเงินสำรองในรูปเงินตราต่างประเทศ (Security) ต้องมีสภาพคล่องเพียงพอ (Liquidity) และ สร้างผลตอบแทนที่สูงที่สุดภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Return) เงินสำรองระหว่างประเทศของ ธปท. ส่วนใหญ่อยู่ในรูปของการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศที่มีความมั่นคง และมีความเสี่ยงต่ำ อย่างเช่น ทองคำ เงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศหรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ พันธบัตรรัฐบาลของประเทศพัฒนาแล้วที่มีความน่าเชื่อถือสูง หลักทรัพย์ของประเทศที่มีความน่าเชื่อถือสูง และสิทธิพิเศษถอนเงินที่นำส่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF)
เมื่อ ธปท. เข้าซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งเร็วเกินไป เงินสำรองระหว่างประเทศจะเพิ่มขึ้นและในขณะเดียวกันก็เป็นการปล่อยเงินบาทในปริมาณที่เท่ากันเพิ่มเข้าไปในระบบการเงินของประเทศด้วย ดังนั้นเพื่อดูแลไม่ให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นจนส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและอัตราเงินเฟ้อของประเทศ ธปท. ในฐานะธนาคารกลางจึงจำเป็นต้องออกพันธบัตร ธปท. เพื่อดูดซับสภาพคล่องเงินบาทที่เพิ่มขึ้นจากการแทรกแซงค่าเงินบาทออกจากระบบการเงิน (Sterilization) ด้วยภาระการแทรกแซงค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาดังจะเห็นได้จากปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้ ธปท. จำเป็นต้องออกพันธบัตร ธปท. จำนวนมหาศาลเพื่อดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบการเงิน
ทั้งนี้ เนื่องจากพันธบัตร ธปท. ออกขายในประเทศเป็นสกุลบาทเพื่อดูดซับสภาพคล่องในระบบ ดังนั้นดอกเบี้ยของพันธบัตรซึ่งถือเป็นต้นทุนของ ธปท. จึงอิงอยู่กับดอกเบี้ยในประเทศ ในขณะที่ผลตอบแทนที่ได้จากเงินสำรองระหว่างประเทศนั้นอิงอยู่กับดอกเบี้ยของเงินตราสกุลหลักของโลก ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วจะต่ำกว่าดอกเบี้ยสกุลบาทเสมอ ดังนั้น ยิ่ง ธปท. เข้าดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีภาระในการดูดซับสภาพคล่องมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ธปท. ต้องแบกรับผลขาดทุนทบทวีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
ในส่วนของการดูแลอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น ธปท. อาศัยกลไกของ การดำเนินการผ่านตลาดการเงิน (Open Market Operations) ซึ่งเป็นหนึ่งใน เครื่องมือการดำเนินนโยบายการเงิน ของธปท.
นอกจากนี้ ธปท. ยังทำหน้าที่กำกับดูแล และจัดจำหน่ายตราสารหนี้ภาครัฐในตลาดแรก รวมถึงเป็นนายทะเบียนและตัวแทนการจ่ายดอกเบี้ย และไถ่ถอนต้นเงินตราสารหนี้ พร้อมทั้งพัฒนา อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงระยะสั้นตลาดกรุงเทพ (BIBOR) และพัฒนาตลาดซื้อคืนภาคเอกชน (Private Bilateral Repo) เพื่อสร้างตลาดเงินในประเทศให้มีความกว้างและความลึกยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังร่วมพัฒนาตลาดตราสารหนี้ กับกระทรวงการคลังหรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พัฒนาการออกตราสารหนี้ภาครัฐในตลาดแรก เพิ่มสภาพคล่องและประสิทธิภาพของตลาดรอง และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของกระบวนการส่งมอบและชําระราคาตราสารหนี้อีกด้วย
ตราสารหนี้ภาครัฐส่วนใหญ่จะเปิดจำหน่ายให้กับสถาบันการเงินโดยผ่านการประมูลตราสารหนี้ด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์ (e-Bidding) ซึ่งจะมีการแจ้งกำหนดการประมูล และ ข้อมูลตราสารหนี้ ไว้ล่วงหน้า แต่เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐซึ่งมีความเสี่ยงต่ำในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับที่ต่ำมาก จึงได้มีการเปิดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้กับประชาชนเป็นครั้งคราวตามโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งได้แก่ พันธบัตรออมทรัพย์ของกระทรวงการคลัง และ พันธบัตรออมทรัพย์ธนาคารแห่งประเทศไทย
ประเด็นที่น่าสนใจสำหรับสื่อมวลชนเกี่ยวกับตลาดการเงิน
- เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
- การแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและเงินบาท
- พฤติกรรมการทำ FX Hedging ของผู้ประกอบการไทยและความสัมพันธ์กับอัตราแลกเปลี่ยน (FAQ Issue 84)
- INTERNATIONAL SPILLOVERS ของการดำเนินและยุติมาตรการ QE (FAQ Issue 83)
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยทำให้ทุนนอกไหลเข้าไทยจริงหรือ? (FAQ Issue 78)
- การให้ความช่วยเหลือของ ธปท. แก่ภาคเศรษฐกิจสำคัญ