• EN
    • EN
  • เกี่ยวกับ ธปท.
    • บทบาทหน้าที่และประวัติ
    • การกำกับดูแลกิจการที่ดี
    • ธปท. กับบทบาทการพัฒนาอย่างยั่งยืน
    • ความร่วมมือระหว่างประเทศ
    • กฎหมาย/กฎเกณฑ์
    • ผังโครงสร้างองค์กร
    • คณะกรรมการ
    • รายงานทางการเงิน
    • รายงานประจำปี ธปท.
    • ธนบัตร
    • มูลนิธิ 50 ปี ธปท.
    • สมัครงานและทุน
    • พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้
    • ศคง. 1213
    • งานและกิจกรรม
  • นโยบายการเงิน
    • คณะกรรมการ กนง.
    • เป้าหมายของนโยบายการเงิน
    • กำหนดการประชุม
    • ผลการประชุม กนง.
    • เอกสารเผยแพร่ของ กนง.
    • ความรู้เรื่องนโยบายการเงิน
    • ภาวะเศรษฐกิจไทย
    • เศรษฐกิจภูมิภาค
    • งานวิจัยและสัมมนาวิชาการ
  • สถาบันการเงิน
    • คณะกรรมการ กนส.
    • โครงสร้างระบบ สง. ไทย
    • บทบาทของ ธปท. ด้าน สง.
    • การกำหนดนโยบาย สง.
    • การกำกับตรวจสอบ สง.
    • ความร่วมมือกับผู้กำกับดูแลอื่น
    • ธุรกิจการเงินที่ ธปท. กำกับดูแล​​​​
    • มุมสถาบันการเงิน
    • การธนาคารเพื่อความยั่งยืน
    • โครงการพัฒนา Digital Factoring Ecosystem
    • โครงการ API Standard
  • ตลาดการเงิน
    • การดำเนินนโยบายการเงิน
    • การบริหารเงินสำรอง
    • การพัฒนาตลาดการเงิน
    • ตลาดเงินตราต่างประเทศ
    • หลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงิน
    • การลงทุนโดยตรง ตปท.
    • อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงและแนวทางรองรับการยุติการใช้ LIBOR
    • โครงการลงทะเบียนแสดงตัวตนของผู้ลงทุนตราสารหนี้ในประเทศไทย (BIR)
  • ระบบการชำระเงิน
    • คณะกรรมการ กรช.
    • นโยบายการชำระเงิน
    • การกำกับดูแลระบบการชำระเงิน
    • การกำกับตาม พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน 2560
    • บริการระบบการชำระเงิน
    • แนวนโยบาย/แนวปฏิบัติ /มาตรฐานระบบการชำระเงิน
    • ระเบียบ/ประกาศระบบการชำระเงิน
    • เทคโนโลยีทางการเงิน
    • การชำระเงินกับต่างประเทศ
  • วิจัยและสัมมนา
    • งานวิจัย
    • งานสัมมนา
    • สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย ​อึ๊งภากรณ์
  • สถิติ
    • สถิติตลาดการเงิน
    • สถิติเศรษฐกิจการเงิน
    • สถิติสถาบันการเงิน
    • สถิติระบบการชำระเงิน
    • สถิติเศรษฐกิจการเงินภูมิภาค
    • เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจสำคัญ
    • แผนภูมิข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ
    • การรับส่งข้อมูลกับ ธปท.
    • บทความและเอกสารเผยแพร่ด้านสถิติ
    • คู่มือประชาชนด้านสถิติ
    • บริการข้อมูล BOT API

  • หน้าหลัก
  • > สถาบันการเงิน
  • > มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และข้อมูลสถาบันการเงินในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ COVID-19
สถาบันการเงิน
สถาบันการเงิน
  • คณะกรรมการ กนส.
  • โครงสร้างระบบ สง. ไทย
  • บทบาทของ ธปท.
    ด้าน สง.
  • การกำหนดนโยบาย สง.
  • การกำกับตรวจสอบ สง.
  • ความร่วมมือกับผู้กำกับดูแลอื่น
  • ธุรกิจการเงินที่ ธปท. กำกับดูแล​​​​
  • มุมสถาบันการเงิน
  • เอกสารเผยแพร่
  • การธนาคารเพื่อความยั่งยืน
  • โครงการพัฒนา Digital Factoring Ecosystem
  • โครงการ API Standard

ตอบทุกคำถามกับ มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (โครงการพักทรัพย์ พักหนี้)

ค้นหา
คำถาม คำตอบ
01 คุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจที่สามารถเข้ารับความช่วยเหลือตามมาตรการ

​1. ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มใดบ้างที่เข้าเงื่อนไขตามมาตรการ

  1. เป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ที่มีสถานประกอบการและประกอบธุรกิจในประเทศไทย
  2. เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินนั้นอยู่แล้วก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 ทั้งนี้ ต้องไม่เป็นลูกหนี้ NPL ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562
  3. ไม่เป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน
  4. ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันที่สถาบันการเงินจะรับโอนตามมาตรการต้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินนำมาเป็นหลักประกันตามกฎหมายไทยกับสถาบันการเงินนั้นก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 เพื่อประกันการชำระหนี้ของสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ

​2. มาตรการนี้จำกัดเฉพาะผู้ประกอบกิจการโรงแรมหรือไม่

​มาตรการนี้่ไม่ได้จำกัดประเภทของธุรกิจที่จะสามารถเข้าร่วมได้ กิจการอื่นใดที่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกันก็สามารถเข้ามาตรการนี้ได้ หากสถาบันการเงินพิจารณาเห็นว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง แต่ยังมีศักยภาพที่จะฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป เช่น ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่มีทรัพย์สินที่มีศักยภาพเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินก็จะมีคุณสมบัติที่อาจเข้ามาตรการนี้ได้ นอกจากนี้ เนื่องจากธุรกิจโรงแรมเป็น sector ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 รุนแรง อีกทั้งเป็นธุรกิจที่มีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์จึงน่าจะมีโอกาสเข้ามาตรการได้มาก

​3. ทรัพย์สินที่สามารถเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ได้

3.1 ทรัพย์สินที่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้หมายความถึงทรัพย์สินประเภทใดบ้าง

3.2 สถาบันการเงินสามารถรับโอนสิทธิการเช่า (leasehold) ที่ผู้ประกอบธุรกิจจดจำนองเป็นหลักประกันก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 เข้ามาตรการได้หรือไม่

3.3 ผู้ประกอบธุรกิจที่มีทรัพย์สินหลักประกันก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 และจดจำนองเป็นลำดับที่ 2 กับสถาบันการเงิน สามารถนำทรัพย์สินดังกล่าวเข้ามาตรการได้หรือไม่

3.4 หลักประกันเป็นที่ดินเปล่าจดจำนองเป็นประกันหนี้สินเชื่อธุรกิจก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 แต่ที่ดินดังกล่าวไม่ได้เป็น core asset เพื่อใช้ดำเนินธุรกิจ

​ธปท. ไม่ได้กำหนดประเภททรัพย์สินที่สามารถนำมาตีโอนตามมาตรการได้ เพียงแต่ต้องมีการนำมาเป็นหลักประกันตามกฎหมายไทยก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 อย่างไรก็ดี ภายใต้โครงการหมายความถึงทรัพย์สินที่ผู้ประกอบธุรกิจได้วางไว้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินอยู่แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นการตีโอนอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก เนื่องจากมีความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าและการสูญหายน้อยกว่าสังหาริมทรัพย์ เช่น โรงแรมที่ผู้ประกอบธุรกิจได้จำนองไว้กับสถาบันการเงินเพื่อขอสินเชื่อตั้งแต่ก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564

​4. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีทรัพย์สินเป็นหลักประกันกับเจ้าหนี้สถาบันการเงินหลายราย ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเข้าร่วมมาตรการได้หรือไม่

​ผู้ประกอบธุรกิจที่มีเจ้าหนี้สถาบันการเงินซึ่งมีบุริมสิทธิในทรัพย์สินหลักประกันชิ้นเดียวกันหลายรายสามารถเข้าร่วมมาตรการได้หากได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้ที่เกี่ยวข้อง

​5. ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจสามารถเข้าร่วมมาตรการได้หรือไม่

​ธปท. ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจ อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินน่าจะพิจารณาคัดเลือกผู้ประกอบการโรงแรมที่ดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากมีความเสี่ยงที่ต่ำและมีศักยภาพในการฟื้นตัวสูงกว่าผู้ประกอบธุรกิจที่มีปัญหาด้านกฎหมายในการประกอบธุรกิจ   

​6. หากผู้ประกอบธุรกิจมีหนี้ท่วมทรัพย์ (มูลหนี้มากกว่ามูลค่าทรัพย์สินหรือ LTV มากกว่าร้อยละ 100) จะสามารถเข้าร่วมโครงการได้หรือไม่

- ธปท. ไม่ได้กำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับระดับ LTV ของผู้ประกอบธุรกิจที่สามารถเข้ามาตรการได้ โดยการพิจารณานั้นจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของสถาบันการเงินและการตกลงร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจเป็นหลัก ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจที่มีมูลหนี้มากกว่ามูลค่าทรัพย์สินจะสามารถเข้าร่วมมาตรการได้หากเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่สถาบันการเงินเห็นว่าแม้ได้รับผลกระทบแต่ยังคงมีศักยภาพในการพื้นตัวในระยะถัดไป 

- สำหรับหนี้ส่วนที่เหลือจากการรับโอน ให้สถาบันการเงินพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยให้ถือว่าการรับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรการและการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามประกาศ ธปท. เป็นการดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามแนวนโยบาย ธปท. ว่าด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้

​7. สินเชื่อที่นำที่อยู่อาศัยหรือรถยนต์มาเป็นหลักประกันเพื่อนำเงินไปประกอบธุรกิจ สามารถเข้าร่วมโครงการได้หรือไม่

​สินเชื่อที่จะเข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ต้องเป็นสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจและหลักประกันที่จะตีโอนต้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินนำมาเป็นหลักประกันการชำระหนี้สินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจกับสถาบันการเงินก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564  โดยมาตรการมิได้กำหนดประเภทของทรัพย์สิน ซึ่งขึ้นกับการตกลงของผู้ประกอบธุรกิจและสถาบันการเงิน

​8. กรณีทรัพย์สินเป็นหลักประกันร่วมระหว่างสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่ออุปโภคบริโภค


​8.1 บ้านซึ่งใช้เป็นหลักประกันร่วมกันระหว่างสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของผู้ประกอบธุรกิจรายเดียวกัน สามารถนำมาเข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ได้หรือไม่

​ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันที่สถาบันการเงินจะรับโอนตามมาตรการต้องเป็นทรัพย์สิน เพื่อประกันการชำระหนี้ของสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ

ดังนั้น ทรัพย์สินหลักประกันร่วมระหว่างสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์อื่นของผู้ประกอบธุรกิจรายเดียวกัน จึงสามารถเข้าร่วมมาตรการได้ และหากทรัพย์สินหลักประกันมีมูลค่ามากกว่าภาระหนี้เงินต้นสินเชื่อธุรกิจ สถาบันการเงินสามารถพิจารณานำมูลค่าคงเหลือของหลักประกันดังกล่าวไปประกอบการพิจารณากำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ให้ครอบคลุมภาระหนี้อื่นนอกเหนือจากยอดหนี้เงินต้นสินเชื่อธุรกิจได้

​8.2 นาย B กู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย โดยมีบ้านซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนาย B เป็นหลักประกัน จดจำนองลำดับ 1 ต่อมา บริษัท A กู้สินเชื่อธุรกิจ โดยใช้บ้านดังกล่าวเป็นหลักประกันร่วม จดจำนองลำดับ 2 ดังนั้น สถาบันการเงินสามารถนำทรัพย์สินหลักประกันดังกล่าวมาเข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้หรือไม่ หากเข้าโครงการได้ ต้องนำมูลค่าทรัพย์สินหลักประกันไปหักชำระหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่จดจำนองลำดับ 1 ของนาย B ให้หมดก่อนหรือไม่ หรือสามารถจัดสรรไปปหักชำระหนี้สินเชื่อธุรกิจของบริษัท A ที่จดจำนองลำดับ 2 ก่อนได้

​กรณีที่หนี้สินเชื่อธุรกิจและหนี้สินเชื่ออุปโภคบริโภคเป็นคนละรายกัน จะต้องแยกพิจารณาเป็นคนละกรณี ดังนี้

1. กรณีลูกหนี้รายนาย B นำบ้านมาจำนองเพื่อเป็นหลักประกันสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย บ้านดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่มิได้นำมาเป็นประกันการชำระหนี้สินเชื่อธุรกิจของนาย B นาย B จึงไม่สามารถเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้

2. กรณีลูกหนี้รายบริษัท A นำบ้านมาจำนองเพื่อเป็นหลักประกันสินเชื่อธุรกิจของ บริษัท A บ้านดังกล่าวจึงเป็นหลักประกันที่สามารถตีโอนเพื่อชำระหนี้สินเชื่อของบริษัท A และสามารถเข้าร่วมเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้

นอกจากนี้ เมื่อสัญญาจำนองเป็นความผูกพันระหว่างสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้ทั้งสองราย (ผู้รับจำนอง) กับนาย B ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินหลักประกัน (ผู้จำนอง) หากเจ้าของทรัพย์สินหลักประกันตกลงกับสถาบันการเงิน ให้ตีโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่จำนองลำดับ 1 และหนี้สินเชื่อธุรกิจที่จำนองลำดับ 2 ตามลำดับ หรือในทางกลับกัน จะตกลงกันตีโอนเพื่อชำระหนี้สินเชื่อธุรกิจก่อนสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับความตกลงระหว่างเจ้าของทรัพย์สินหลักประกันและสถาบันการเงิน เนื่องจากไม่ใช่กรณีที่เป็นการจำนองที่มีผู้รับจำนองหลายคนตามมาตรา 730 และ 731 แห่ง ป.พ.พ. ที่กำหนดให้จำนองลำดับก่อนได้รับชำระหนี้ก่อนจำนองลำดับหลัง และห้ามบังคับจำนองลำดับหลังให้เสียหายแก่จำนองลำดับก่อน

​9. ผู้ประกอบธุรกิจได้รับอนุมัติสินเชื่อในนามนิติบุคคลเพื่อใช้ในธุรกิจ โดยมีหลักประกันเป็นที่ดินกรรมสิทธิ์ของกรรมการบริษัท (นาย ก ) ซึ่งได้จดจำนองแล้วก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินมีความประสงค์จำนองเพิ่มหลักทรัพย์โดยไม่เพิ่มวงเงินจำนองสิ่งปลูกสร้าง (อาคารที่ 1) กรรมสิทธิ์ของผู้ประกอบธุรกิจ และสิ่งปลูกสร้าง (อาคารที่ 2) กรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่น (นาย ข) ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินเดียวกัน ขอสอบถามว่าสถาบันการเงินสามารถนำที่ดินและสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวมาเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้หรือไม่

​ตามมาตรา 719 แห่ง ป.พ.พ. กำหนดว่า การจำนองที่ดินจะไม่ครอบไปถึงสิ่งปลูกสร้างที่ผู้จำนองปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวภายหลังวันจำนอง เว้นแต่จะมีข้อความกล่าวไว้โดยเฉพาะในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง โดยสิ่งปลูกสร้างนั้นจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้จำนองที่เป็นเจ้าของที่ดินด้วย การจำนองที่ดินจึงจะครอบไปถึงสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว อย่างไรก็ดี หากสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลภายนอก การจำนองที่ดินจะไม่ครอบไปถึงสิ่งปลูกสร้างด้วย ตามมาตรา 720 แห่ง ป.พ.พ. และแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 2521/2516 ดังนั้น หากมีการจดจำนองเพิ่มหลักทรัพย์สิ่งปลูกสร้างที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของที่ดินภายหลังวันที่ 1 มีนาคม 2564 ต้องถือว่าเป็นหลักประกันตามกฎหมายภายหลังวันที่ 1 มีนาคม 2564 และไม่ใช่ทรัพย์สินหลักประกันตามมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ 

ดังนั้น แม้ว่าการจำนองที่ดินของนาย ก เพื่อเป็นประกันหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจจะเกิดขึ้นเมื่อปี 2558 แต่การจำนองก็ไม่ครอบไปถึงอาคารที่ 1 และอาคารที่ 2 ที่ตั้งอยู่บนที่ดินดังกล่าวด้วย เนื่องจากอาคารทั้งสองเป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ นาย ก ที่เป็นเจ้าของที่ดิน ตามมาตรา 720 แห่ง ป.พ.พ. และเมื่ออาคารทั้งสองยังไม่ได้มีการจำนองเพิ่มหลักทรัพย์ก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 สถาบันการเงินจึงไม่สามารถรับโอนอาคารดังกล่าวในการขอเข้าร่วมมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้

อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินสามารถรับโอนที่ดินของนาย ก เพื่อชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจตามมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้ และหากสถาบันการเงินจะรับโอนอาคารทั้งสองเพื่อชำระหนี้ต่อไป โดยกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจและเจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิซื้อคืนในภายหลังด้วย ก็น่าจะสามารถดำเนินการพร้อมกันไปด้วยได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติของสถาบันการเงิน โดยให้ถือราคามูลค่าของอาคารทั้งสองเป็นกรณีแยกต่างหากจากการรับโอนทรัพย์สินตามมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้




​10. ผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจและจดจำนองทรัพย์สินหลักประกันก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 แต่เบิกใช้วงเงินภายหลังวันดังกล่าว ถือเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 ที่จะสามารถนำมาเข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้หรือไม่ 

​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจและจดจำนองหลักประกันไว้ก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 แม้จะยังไม่มีการเบิกใช้วงเงินดังกล่าว สามารถถือได้ว่าเป็นลูกหนี้ตามสัญญาการให้วงเงินสินเชื่อธุรกิจของสถาบันการเงินและมีทรัพย์สินเป็นหลักประกันหนี้ของวงเงินสินเชื่อดังกล่าวอยู่ก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 ตามมาตรา 17 แห่ง พ.ร.ก. และประกาศ ธปท. ที่ สนส.4/2564 ข้อ 4.3 (1) และ (2) ดังนั้น สถาบันการเงินจึงสามารถรับโอนทรัพย์สินหลักประกันดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ภายใต้มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้ 

02 กระบวนการยื่นคำขอกู้เงินและคืนเงินกู้ต่อ ธปท.

​11. สถาบันการเงินสามารถยื่นขอกู้เงินภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ในวงเงินเท่าใด อัตราดอกเบี้ยเท่าใด และต้องชำระคืนภายในระยะเวลากี่ปี

​- สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอกู้เงินยืมเงินได้ไม่เกินราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันที่สถาบันการเงินตกลงจะรับโอนจากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อชำระหนี้ 

- อัตราดอกเบี้ยในการให้กู้ยืมเงินแก่สถาบันการเงินคิดในอัตราร้อยละ 0.01 ต่อปี 

- ให้สถาบันการเงินชำระคืนเงินที่ได้กู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยแก่ ธปท. ภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ได้รับเงินกู้

- กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินที่โอนคืนหรือสิ้นสิทธิดังกล่าวก่อนครบกำหนดเวลา ให้สถาบันการเงินชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยคืน ธปท. ทั้งหมดภายใน 30 วันทำการนับแต่วันที่มีการซื้อทรัพย์สินนั้นคืน หรือวันที่สิ้นสิทธิดังกล่าว

- กรณีภายหลังจากที่สถาบันการเงินรับเงินกู้ยืมจาก ธปท. และพบว่าการกู้ยืมไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขตาม พ.ร.ก. หรือประกาศ ธปท. ให้สถาบันการเงินคืนเงินกู้ยืมตามส่วนที่มีการปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขให้แก่ ธปท. ตามระยะเวลาที่ ธปท. กำหนด

12. กำหนดเวลาขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. เงื่อนไขการเบิกเงินกู้ และระยะเวลาการรับเงินโอน

สำหรับกระบวนการสำหรับยื่นคำเบิกใช้ แบ่งเป็น 2 ขั้นตอน ดังนี้

1. ขั้นตอนพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบธุรกิจ กำหนดสัปดาห์ละครั้ง ทุกวันจันทร์ (T) ไม่เกิน 11.00 น. หรือวันทำการวันแรกของสัปดาห์ โดยจะทราบผลการพิจารณาและได้รับเอกสาร เพื่อยืนยันกับกรมที่ดินภายใน 2 วันทำการ (T+2) ก่อน 16.00 น. เช่น ครั้งแรกกำหนดยื่นวันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 เวลา 11.00 น. ธปท. จะแจ้งผลการพิจารณาพร้อมกับนำส่งเอกสารให้สถาบันการเงินในวันพุธที่ 28 เมษายน 2564 เวลา 11.00 น.

2. ขั้นตอนพิจารณาขอกู้ยืมเงิน กำหนดสัปดาห์ละครั้ง ทุกวันจันทร์ (T) ไม่เกิน 11.00 น. หรือวันทำการวันแรกของสัปดาห์ โดยจะทราบผลการพิจารณาภายใน 2 วันทำการ (T+2) ก่อน 16.00 น. ซึ่งสถาบันการเงินจะต้องยื่นเอกสารตัวจริงภายใน 3 วันทำการ (T+3) ช่วง 8.30 น.-11.30 น. และจะได้รับเงินจาก ธปท. ภายใน 4 วันทำการ (T+4) ผ่านระบบ BAHTNET ประมาณ 11.00 น. โดย ธปท. จะจัดสรรวงเงินให้แต่ละสถาบันการเงินตามลำดับที่ยื่นคำขอ (first come, first served) เช่น ครั้งแรกกำหนดยื่นวันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 (วันทำการวันแรกของสัปดาห์) เวลา 11.00 น. ธปท. จะโอนเงินให้สถาบันการเงิน ในวันอังคารที่ 11 พฤษภาคม 2564 เวลา 11.00 น.

​13. สถาบันการเงินยื่นขอกู้ยืมเงินภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้ภายในกำหนดระยะเวลาเท่าไร

​ให้สถาบันการเงินยื่นคำขอกู้ยืมเงินต่อ ธปท. ภายในระยะเวลา 2 ปีนับแต่วันที่ พ.ร.ก. ใช้บังคับ (10 เมษายน 2564 - 9 เมษายน 2566) แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร ธปท. โดยความเห็นชอบของ ครม. จะขยายระยะเวลาดังกล่าวออกไปอีกไม่เกิน 1 ปีก็ได้   ทั้งนี้ ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินยื่นพิจารณาคุณสมบัติครั้งแรกในวันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 และยื่นกู้ครั้งแรกในวันพุธที่ 5 พฤษภาคม 2564 ภายในเวลา 11.00 น.

​14. การขอกู้ยืมเงินภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ จาก ธปท. กำหนดระยะเวลาอย่างไร

​การให้กู้ยืมเงินของ ธปท. จะดำเนินการโดยรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินเป็นผู้ออก โดยตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวต้องมีกำหนดชำระไม่เกินระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่สถาบันการเงินได้รับเงินกู้ยืมจาก ธปท. เช่น สถาบันการเงินได้รับเงินผ่านระบบ BAHTNET วันที่ 11 พฤษภาคม 2564 อายุตั๋วจะเริ่มตั้งแต่ 11 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2569 ทั้งนี้ หากวันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินหรือวันครบกำหนดคืนเงินกู้ยืมก่อนกำหนดตรงกับวันหยุดทำการ ให้สถาบันการเงินชำระหนี้ในวันทำการถัดไป โดย ธปท. จะเรียกเก็บดอกเบี้ยสำหรับวันหยุดดังกล่าวจนถึงวันที่สถาบันการเงินชำระหนี้

​15. หากผู้ประกอบธุรกิจมาใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินหลักประกันกลับคืนหรือสิ้นสิทธิดังกล่าว ก่อนครบกำหนดเวลาที่สถาบันการเงินต้องชำระหนี้แก่ ธปท. สถาบันการเงินจะต้องคืนเงินกู้ให้ ธปท. ทันที หรือสามารถรอจนครบกำหนดเวลาดังกล่าว

​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ได้ซื้อทรัพย์สินที่โอนคืนหรือสิ้นสิทธิดังกล่าวก่อนครบกำหนดเวลาที่สถาบันการเงินต้องชำระหนี้แก่ ธปท. ให้สถาบันการเงินชำระหนี้ในส่วนของเงินกู้ยืมที่ได้รับอันเนื่องมาจากการรับโอนทรัพย์สินของผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันรายนั้น พร้อมดอกเบี้ยคืน ธปท. ทั้งหมด ภายใน 30 วันทำการนับแต่วันที่มีการซื้อทรัพย์สินนั้นคืน หรือวันที่สิ้นสิทธิดังกล่าว

​16. สถาบันการเงินสามารถยื่นขอกู้เงินจาก ธปท. สำหรับผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายที่เข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้กี่ครั้ง หากวงเงินที่สถาบันการเงินกู้เงินในครั้งแรกยังไม่เกินราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันของผู้ประกอบธุรกิจ

ในการกู้ยืมเงินจาก ธปท. ภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอกู้ยืมเงินได้เพียงครั้งเดียวต่อการทำสัญญารับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันของผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันหนึ่งสัญญา โดยขอกู้ยืมเงินได้ไม่เกินจำนวนเงินที่เป็นราคารับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน เช่น

- ผู้ประกอบธุรกิจมีสัญญากู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน 2 สัญญา และมีทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน 1 รายการต่อสัญญา (กรณีมีหลักประกัน 1 ชิ้นต่อสัญญา 1 ฉบับ) โดยได้ทำสัญญาโอนทรัพย์ 2 สัญญาเพื่อโอนหลักประกันทั้ง 2 ชิ้น สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. ได้ 2 ครั้ง

- ผู้ประกอบธุรกิจมีสัญญากู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน 1 สัญญาและมีทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน 2 รายการ โดยได้ทำสัญญาโอนทรัพย์ 2 สัญญาเพื่อโอนหลักประกันทั้ง 2 ชิ้น สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. ได้ 2 ครั้ง

- ผู้ประกอบธุรกิจมีสัญญากู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน 2 สัญญาแต่มีทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันร่วมกัน 1 รายการ หากสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินหลักประกันดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ทั้ง 2 สัญญา โดยได้ทำสัญญาโอนทรัพย์ 1 สัญญา สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. ได้เพียงครั้งเดียว



​17. สถาบันการเงินสามารถนำเงินกู้ที่ได้รับจาก ธปท. ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดได้บ้าง

​ธปท. ไม่ได้กำหนดวัตถุประสงค์ของเงินที่สถาบันการเงินกู้ยืม ดังนั้น เมื่อสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินหลักประกันจากผู้ประกอบธุรกิจแล้ว สถาบันการเงินสามารถนำเงินที่ ธปท. ให้กู้ยืมตาม พ.ร.ก. ไปบริหารจัดการและใช้ประโยชน์ใด ๆ อันเป็นการประกอบธุรกิจตามปกติของสถาบันการเงิน

​18. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเงื่อนไข สถาบันการเงินจะต้องคืนเงินกู้ให้กับ ธปท. ภายในกี่วัน และสามารถคิดเบี้ยปรับหรือยกเลิกสัญญารับโอนทรัพย์สินหลักประกันที่ทำไว้กับผู้ประกอบธุรกิจได้หรือไม่

​สถาบันการเงินต้องไม่กำหนดข้อสัญญาใด ๆ ให้ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ต้องชำระค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับ อันเนื่องมาจากการไม่ใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันคืน หรือการที่ ธปท. เรียกให้สถาบันการเงินคืนเงินกู้ยืมก่อนครบกำหนด หรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเรียกคืนภาษีหรือค่าธรรมเนียมที่ได้รับยกเว้นตาม พ.ร.ก. ด้วยเหตุที่สถาบันการเงินปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเข้าร่วมมาตรการหรือการกู้ยืมเงินจาก ธปท. ตามประกาศ ธปท. ที่ สนส.4/2564 ข้อ 4.3 (4)

​19. สถาบันการเงินกำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันรวม 80 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้สินเชื่อธุรกิจ 60 ล้านบาท และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 20 ล้านบาท สถาบันการเงินสามารถยื่นขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. ในจำนวนราคารับโอนทั้งหมดหรือราคารับโอนเพื่อชำระหนี้สินเชื่อเพื่อการประกอบธุรกิจเท่านั้น

​สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอกู้เงินยืมเงินได้ไม่เกินราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันทั้งหมดที่สถาบันการเงินตกลงจะรับโอนจากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อชำระหนี้ ในกรณีดังกล่าวสถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอกู้เงินยืมเงินจาก ธปท. ได้ไม่เกิน 80 ล้านบาท

​20. การยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ (step 1) กับการยื่นคำขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. (step 2) สถาบันการเงินต้องจัดส่งเอกสารหลักฐานรายการใดบ้างให้กับ ธปท. และต้องจัดส่งเป็น hard copy หรือผ่าน DMS

​1. การยื่นคำขอเข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ : สถาบันการเงินที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ ต้องยื่นหนังสือความตกลงเพื่อเข้าร่วมโครงการ และหนังสือยืนยันการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเอกสารหลักฐานตามที่กำหนดมายัง ธปท. เช่น

- เอกสารที่สถาบันการเงินใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติให้ลูกหนี้โอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามโครงการ

- สัญญากู้ยืมที่มีรายละเอียดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน

- สัญญาภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายลงนามเรียบร้อยแล้ว (จัดทำด้วยร่างสัญญามาตรฐานที่ได้รับการพิจารณาจาก ธปท. แล้ว)

- เอกสารแสดงรายละเอียดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน

• สำหรับหลักประกันที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้จดทะเบียนกับกรมที่ดิน ให้นำส่งสัญญาจำนองทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน โฉนดหรือเอกสารที่แสดงวันที่สถาบันการเงินรับจำนองด้วย

• สำหรับหลักประกันที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ ให้นำส่งสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ

- หนังสือสรรพากรเพื่อขอยกเว้นภาษีที่เกี่ยวข้อง (อยู่ระหว่างการออกกฎหมาย)

2. การยื่นคำขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. : เมื่อสถาบันการเงินได้รับอนุมัติเข้าร่วมโครงการจาก ธปท. แล้ว ให้ยื่นหนังสือความตกลงเพื่อกู้ยืมเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน เอกสารหลักฐานแสดงการได้รับโอนทรัพย์สินหรือการจดทะเบียนรับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน เช่น สัญญาโอนทรัพย์สินจากกรมที่ดินหรือสัญญาโอนทรัพย์หลักประกัน สำเนาโฉนดหรือเอกสารสิทธิ์แสดงการรับโอนทรัพย์สิน (แสดงภาพถ่ายหลังโฉนด) รายงานการประเมินมูลค่าทรัพย์สินซึ่งผ่านการอนุมัติโดยคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องของสถาบันการเงินแล้ว

ทั้งนี้ สถาบันการเงินจะยังไม่ต้องยื่นคำขอกู้ยืมเงิน หากยังไม่ประสงค์จะขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. ภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ และการนำส่งเอกสารแนบให้ส่งผ่านทาง email หรือช่องทางที่เจ้าหน้าที่สัมพันธ์ (RM) ที่ดูแลสถาบันการเงินดังกล่าวกำหนด ไม่จำเป็นต้องเป็น hard copy

21. เอกสารแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่ ธปท. จะส่งข้อมูลกลับให้สถาบันการเงินทั้ง step 1 และ step 2 ประกอบด้วยเอกสารใดบ้าง

​เอกสารที่ ธปท. นำส่งผลการพิจารณากลับสถาบันการเงินใน step 1 คือ แบบรายงานผลการตรวจสอบคุณสมบัติลูกหนี้ที่ขอเข้ามาตรการ (CW4.1) และแบบยืนยันการขอเข้ามาตรการ (CW4.2) และใน step 2 คือ แบบรายงานผลการขอสินเชื่อตามมาตรการ (CW4.3) และแบบยืนยันการขอรับสินเชื่อตามมาตรการ (CW4.4) ซึ่งเป็นเอกสารในรูปแบบเดียวกับที่สถาบันการเงินได้รับจากการทดลองทำ IWT        

ทั้งนี้ เอกสารที่ใช้เพื่อแจ้งกรมที่ดินเพื่อขอยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง คือ สำเนาเอกสาร CW4.2 ซึ่งในการยื่นกรมที่ดิน สถาบันการเงินต้องระมัดระวังเรื่องข้อมูลลูกค้ารายที่ไม่เกี่ยวข้อง เช่น การปกปิดชื่อผู้ประกอบธุรกิจรายที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจดจำนองกับกรมที่ดินในลักษณะเดียวกับที่สถาบันการเงินปฏิบัติในกรณี soft loan

​22. สถาบันการเงินสามารถสะสมยอดการรับโอนทรัพย์สินผู้ประกอบธุรกิจหลายรายที่ได้รับอนุมัติใน step 1 และยื่นขอกู้เงินใน step 2 รวมคราวเดียวได้หรือไม่ และ ธปท. สามารถแยกออกตั๋วสัญญาใช้เงินหลายฉบับตามจำนวนรายผู้ประกอบธุรกิจได้หรือไม่

​สถาบันการเงินสามารถสะสมยอดการรับโอนทรัพย์สินผู้ประกอบธุรกิจหลายรายที่ได้รับอนุมัติใน step 1 และยื่นขอกู้เงินใน step 2 รวมคราวเดียวกันได้ โดยการออกตั๋ว PN จะออก 1 ใบต่อสัปดาห์ต่อสถาบันการเงิน ตามวงเงินรวมที่ได้รับอนุมัติใน step 2 ในแต่ละสัปดาห์

​23. กรณีทรัพย์สินหลักประกัน 1 รายการ จดจำนองหลายลำดับ เพื่อประกันการชำระหนี้ผู้ประกอบธุรกิจหลายราย เมื่อผู้ประกอบธุรกิจทั้งหมดนำทรัพย์สินดังกล่าวเข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ สถาบันการเงินต้องรายงานในเอกสาร CW 4.2 อย่างไร 

​ให้สถาบันการเงินรายงานหลักประกันดังกล่าวสำหรับผู้ประกอบธุรกิจทุกรายที่เข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ในรายงาน CW 4.2 เพื่อให้สามารถนำเอกสารดังกล่าวไปแสดงต่อกรมที่ดินเพื่อทราบรายชื่อผู้ที่มีสิทธิซื้อทุกคน ได้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจทุกรายที่ตีทรัพย์ชำระหนี้ หรือเจ้าของทรัพย์สินหลักประกัน

​24. กรณีผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันบางส่วน หรือกรณีสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินหลักประกัน 1 รายการ และผู้ประกอบธุรกิจทยอยชำระราคาซื้อคืนก่อนกำหนด สถาบันการเงินต้องคืนเงินกู้ในจำนวนดังกล่าวคืนให้ ธปท. หรือไม่

​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจทยอยชำระราคาซื้อคืนก่อนครบกำหนดการใช้สิทธิซื้อคืน หรือทยอยซื้อคืนทรัพย์สินบางส่วนจากบรรดาทรัพย์สินหลักประกันที่สถาบันการเงินรับโอนมาทั้งหมดในหนึ่งสัญญา สถาบันการเงินยังไม่ต้องชำระหนี้เงินกู้ยืมที่ได้รับจาก ธปท. อันเนื่องมาจากการรับโอนทรัพย์สินดังกล่าว คืน ธปท. โดยเมื่อผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ได้ซื้อทรัพย์สินคืนทั้งหมดตามสัญญานั้นแล้วหรือสิ้นสิทธิซื้อคืนแล้ว สถาบันการเงินต้องชำระหนี้เงินกู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยคืน ธปท. ทั้งหมด ภายใน 30 วันทำการนับแต่วันที่มีการซื้อทรัพย์สินทั้งหมดนั้นคืน หรือวันที่สิ้นสิทธิดังกล่าว

​25. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับอนุมัติให้เข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ใน step 1 แล้วมีการเปลี่ยนเงื่อนไขสัญญาภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ในภายหลัง สถาบันการเงินจะต้องขอยกเลิกการอนุมัติใน step 1 พร้อมทั้งยื่นขออนุมัติใหม่และนำส่งสัญญาที่มีการแก้ไขให้ ธปท. หรือไม่

25.1 ผู้ประกอบธุรกิจและสถาบันการเงินมีข้อตกลงขยายระยะเวลารับโอนทรัพย์สิน เนื่องจากอยู่ระหว่างรอกฎหมายภาษีของกรมสรรพากรมีผลบังคับใช้ 

25.2 สถาบันการเงินมีเงื่อนไขรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพิ่มเติมนอกจากการโอนที่ดิน เช่น รายการทรัพย์สินส่วนควบ ใบอนุญาตต่าง ๆ 




​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจและสถาบันการเงินแก้ไขสัญญาภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ในประเด็นที่ไม่กระทบกับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน หรือราคาตีโอนทรัพย์สินซึ่งเป็นสาระสำคัญในการรับโอนทรัพย์สิน เช่น ขยายระยะเวลารับโอนทรัพย์สิน ให้สถาบันการเงินนำส่งสัญญาที่มีการแก้ไขให้ ธปท. โดยไม่จำเป็นต้องยื่นขออนุมัติใน step 1 ใหม่ แต่หากเป็นการแก้ไขในประเด็นที่กระทบกับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน หรือราคาตีโอนทรัพย์สินซึ่งเป็นสาระสำคัญในการรับโอนทรัพย์สิน เช่น รับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพิ่มเติม ให้สถาบันการเงินยกเลิกการอนุมัติใน step 1 และยื่นขออนุมัติใหม่ พร้อมทั้งนำส่งเอกสารหลักฐานตามที่กำหนดให้ ธปท. อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขหลักประกันดังกล่าวต้องไม่กระทบกับหลักการตามสัญญามาตรฐานที่ ธปท. พิจารณาแล้ว

ทั้งนี้ กรณีที่สถาบันการเงินไม่ได้แก้ไขสัญญาเดิม แต่มีการทำสัญญารับโอนทรัพย์สินเพิ่มเติมอีก 1 สัญญา เพื่อกำหนดราคารับโอนทรัพย์สินเพิ่ม สถาบันการเงินสามารถยื่นขออนุมัติใน step 1 ได้ โดยไม่ต้องยกเลิกการอนุมัติเดิม เนื่องจากเป็นการกู้ยืมเงินจาก ธปท. เพิ่มเติมจากเดิม

อนึ่ง ใบอนุญาตประกอบธุรกิจที่สถาบันการเงินจะรับโอนจากผู้ประกอบธุรกิจ จะไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินหลักประกันที่โอนเพื่อชำระหนี้ โดยสถาบันการเงินสามารถรับโอนใบอนุญาตเหล่านั้นได้ แต่ไม่สามารถนำมาประกอบธุรกิจตามใบอนุญาตที่รับโอนดังกล่าวได้




​26. สถาบันการเงินต้องการตีโอนชำระหนี้ของนาย ก ยอดหนี้ 500 ล้านบาท ราคารับโอน 500 ล้านบาท ซึ่งมีหลักประกัน 2 รายการ แต่ละหลักประกันจดจำนองหลายครั้ง ดังนี้

1. ที่ดิน : ฉ 100x มูลค่า 100 ล้านบาท

- จดจำนองลำดับที่ 1 ประกันหนี้นาย ก วันที่ 1 มกราคม 2560

- จดจำนองลำดับที่ 2 ประกันหนี้นาย ก วันที่ 1 มกราคม 2561


2. ที่ดิน : ฉ 200x มูลค่า 600 ล้านบาท 

- จดจำนองลำดับที่ 1 ประกันหนี้นาย ก วันที่ 1 มกราคม 2561

- จดจำนองลำดับที่ 2 ประกันหนี้นาย ก วันที่ 1 มกราคม 2562

- จดจำนองลำดับที่ 3 ประกันหนี้นาย ก วันที่ 1 มกราคม 2563

สถาบันการเงินจะต้องรายงานในแบบ W2.3 และแบบ W2.1 อย่างไร


กรณีหลักประกัน 1 รายการ จดจำนองประกันหนี้แก่ลูกหนี้รายเดิม แต่มีการจดจำนองหลายครั้ง ให้สถาบันการเงินรายงานวันที่จดจำนองในแบบรายงาน W2.3 โดยใช้วันจดจำนองวันแรก (ลำดับแรก) ของหลักประกัน ทั้งนี้ การรายงานวันที่จดจำนองในแบบรายงาน W2.1 กรณีลูกหนี้ 1 รายที่ขอเข้ามาตรการ มีหลักประกันที่รับตีโอนหลายรายการ ให้รายงานวันที่จดจำนองล่าสุด โดยเปรียบเทียบกันระหว่างวันที่จดจำนองของหลักประกันแต่ละรายการที่ระบุในแบบรายงาน W2.3  

สำหรับกรณีดังกล่าว

- แบบรายงาน W2.3: รายละเอียดหลักประกัน 
  • ที่ดิน : ฉ 100x ให้รายงานวันที่จดจำนองหลักประกัน วันที่ 1 มกราคม 2560 
  • ที่ดิน : ฉ 200x ให้รายงานวันที่จดจำนองหลักประกัน วันที่ 1 มกราคม 2561
- แบบรายงาน W2.1: รายละเอียดลูกหนี้ 
นาย ก ให้รายงานวันที่จดจำนอง วันที่ 1 มกราคม 2561 (เปรียบเทียบระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2560 และวันที่ 1 มกราคม 2561 ในแบบรายงาน W2.3)


27. สถาบันการเงินต้องการตีโอนชำระหนี้ของนาย ก ยอดหนี้ 500 ล้านบาท ราคารับโอน 500 ล้านบาท และ นาย ข ยอดหนี้ 300 ล้านบาท ราคารับโอน 300 ล้านบาท ซึ่งมีหลักประกัน 1 รายการ คือ ที่ดิน : ฉ 100x (เจ้าของหลักประกัน คือ บริษัท A) มูลค่า 1,000 ล้านบาท จดจำนองประกันหนี้ นาย ก วันที่ 1 มกราคม 2560 และจดจำนองประกันหนี้นาย ข วันที่ 1 มกราคม 2561 สถาบันการเงินจะต้องรายงานในแบบ W2.3 และแบบ W2.1 อย่างไร



​กรณีหลักประกัน 1 รายการ จดจำนองประกันหนี้แก่ลูกหนี้หลายราย ให้สถาบันการเงินรายงานหลักประกันในแบบรายงาน W2.3 สำหรับลูกหนี้ทุกรายที่ใช้หลักประกันรายการนั้นตีโอนชำระหนี้ และรายงานวันที่จดจำนองในแบบรายงาน โดยใช้วันจดจำนองของหลักประกันที่ประกันหนี้ลูกหนี้แต่ละราย สำหรับการรายงานมูลค่าหลักประกันในแบบรายงาน W2.3 ให้ prorate ตามสัดส่วนราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกัน (มูลค่าหลักประกัน x (ราคารับโอนนาย ก /ราคารับโอนนาย ก + นาย ข)) และต้องใช้รหัส map รายละเอียดหลักประกันไม่ซ้ำกันสำหรับลูกหนี้แต่ละราย แม้ว่าจะใช้หลักประกันเดียวกันก็ตาม

สำหรับกรณีดังกล่าว

- แบบรายงาน W2.3: รายละเอียดหลักประกัน 
    • กรณีนาย ก ที่ดิน : ฉ 100x ให้รายงานวันที่จดจำนองหลักประกัน วันที่ 1 มกราคม 2560 และมูลค่าหลักประกัน 625 ล้านบาท (1,000 x (500/800)) 
    • กรณีนาย ข ที่ดิน : ฉ 100x ให้รายงานวันที่จดจำนองหลักประกัน วันที่ 1 มกราคม 2561 และมูลค่าหลักประกัน 375 ล้านบาท (1,000 x (300/800)) 
- แบบรายงาน W2.1: รายละเอียดลูกหนี้ 
ให้รายงานรายละเอียดลูกหนี้แต่ละรายตามแบบรายงาน W2.3


​28. สถาบันการเงินต้องการตีโอนชำระหนี้ของนาย ก ยอดหนี้ 500 ล้านบาท ราคารับโอน 500 ล้านบาท และหลักประกันที่ดิน 5 รายการ มูลค่ารวม 400 ล้านบาท (ไม่สามารถแบ่งมูลค่าแยกแต่ละโฉนดได้) สถาบันการเงินจะต้องรายงานในแบบ W2.3 และแบบ W2.1 อย่างไร

​กรณีประเมินมูลค่าหลักประกันหลายรายการและไม่สามารถแบ่งแยกมูลค่าแต่ละรายการได้ ให้สถาบันการเงินรายงานหลักประกันทุกรายการในแบบรายงาน W2.3 โดยสามารถรายงานมูลค่าหลักประกันไว้ที่หลักประกันรายการใดรายการหนึ่งได้ และรายงานมูลค่าหลักประกันรายการที่เหลือเท่ากับ 0 ไม่ให้เว้นว่าง 

03 การรับโอนทรัพย์สิน

​29. การกำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันมีแนวทางอย่างไร

​การกำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ของสถาบันการเงินขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งหากสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินด้วยราคาที่ไม่สูง ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ก็จะมีสิทธิในการซื้อทรัพย์สินดังกล่าวคืนในราคาที่ไม่สูงด้วยเช่นกัน

30. ภาระหนี้ที่สามารถนำมากำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกัน สถาบันการเงินสามารถกำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันสูงกว่ายอดหนี้เงินต้นสินเชื่อธุรกิจ เช่น ดอกเบี้ยค้างรับ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สถาบันการเงินจ่ายแทนลูกหนี้ สินเชื่ออุปโภคบริโภค ได้หรือไม่ 

​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีภาระหนี้อื่นนอกเหนือจากยอดหนี้เงินต้นสินเชื่อธุรกิจ เช่น ดอกเบี้ยค้างรับ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่สถาบันการเงินจ่ายแทนลูกหนี้ สินเชื่ออุปโภคบริโภค เป็นต้น และทรัพย์สินหลักประกันของผู้ประกอบธุรกิจมีมูลค่ามากกว่าภาระหนี้เงินต้นสินเชื่อธุรกิจที่มีอยู่กับสถาบันการเงิน สถาบันการเงินสามารถพิจารณานำมูลค่าคงเหลือของหลักประกันดังกล่าวไปประกอบการพิจารณากำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ให้ครอบคลุมภาระหนี้อื่นของสินเชื่อและหนี้อุปกรณ์ที่เกิดขึ้นจากสินเชื่อที่มีอยู่แล้วก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 นอกเหนือจากยอดหนี้เงินต้นสินเชื่อธุรกิจได้ หากผู้ประกอบธุรกิจและทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันมีคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด

31. หากผู้ประกอบธุรกิจเคยได้รับวงเงิน soft loan จาก ธปท. สถาบันการเงินสามารถกำหนดราคา รับโอนทรัพย์สินหลักประกันครอบคลุมยอดหนี้ soft loan ดังกล่าวได้หรือไม่

​สถาบันการเงินสามารถกำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันครอบคลุมยอดหนี้ soft loan ได้

​32. สถาบันการเงินสามารถคิดค่าธรรมเนียมสำหรับการโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้จากผู้ประกอบธุรกิจได้หรือไม่

​สถาบันการเงินต้องไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากที่สถาบันการเงินจ่ายไปเพื่อดูแลรักษาทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการตกลงหรือทำสัญญารับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรการ ตามประกาศ ธปท. ที่ สนส.4/2564 ข้อ 4.3 (4)

​33. สถาบันการเงินสามารถกำหนดข้อสัญญาเพื่อยกเลิกข้อตกลงและเงื่อนไขในสัญญาเพื่อรับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามที่ประกาศ ธปท. ที่ สนส.4/2564 ข้อ 4.3 (3.1) – (3.5) กำหนดได้หรือไม่

​นอกจากสถาบันการเงินต้องกำหนดข้อสัญญาให้เป็นไปตามที่ประกาศ ธปท. ที่ สนส.4/2564ข้อ 4.3 (3.1) – (3.5) กำหนดแล้ว สถาบันการเงินต้องไม่กำหนดข้อสัญญาหรือเงื่อนไขที่มีลักษณะทำให้ข้อสัญญาที่กำหนดตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นอันยกเลิก หรือสิ้นผล หรือทำให้สถาบันการเงินมีสิทธิแก้ไขข้อสัญญาให้แตกต่างไปจากหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้เพียงฝ่ายเดียว

​34. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีภาระหนี้ 50 ล้านบาท และมีทรัพย์สินหลักประกันมูลค่า 100 ล้านบาท สถาบันการเงินสามารถกำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันเกินกว่าภาระหนี้ได้หรือไม่ หากได้ สถาบันการเงินจะต้องคืนเงินส่วนต่างให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือไม่ 

​มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ เป็นมาตรการสนับสนุนให้สถาบันการเงินรับโอนหลักประกันจากผู้ประกอบธุรกิจเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่กับสถาบันการเงิน ซึ่งเป็นการลดภาระหนี้ชั่วคราวระหว่างสถานการณ์ COVID-19 โดยผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด มีสิทธิซื้อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันคืนได้และเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีโอกาสกลับมาประกอบธุรกิจต่อไปได้ ซึ่งโดยทั่วไปสถาบันการเงินจะกำหนดราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ไม่เกินยอดหนี้คงค้างที่ผู้ประกอบธุรกิจมีกับสถาบันการเงิน

ทั้งนี้ ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจประสงค์ที่จะเช่าทรัพย์สินและต้องการสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน (working capital) เพื่อดำเนินกิจการต่อ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูได้ หากมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสถาบันการเงินจะเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติและวงเงินสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ภายใน

​35. กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีหลักประกันมูลค่าสูงกว่ายอดหนี้ สถาบันการเงินสามารถนำมูลค่าส่วนเกินดังกล่าวไปใช้ชำระหนี้ของบริษัทอื่นในกลุ่มของผู้ประกอบธุรกิจได้หรือไม่ หากดำเนินการได้ ธุรกรรมดังกล่าวยังคงได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมและภาษีตามมาตรการอยู่หรือไม่ หากหลักประกันดังกล่าว

35.1 ไม่ได้จดจำนองกับบริษัทอื่นในกลุ่ม

35.2 จดจำนองร่วมกับบริษัทอื่นในกลุ่ม โดยอาจเป็นการจำนองในลำดับเดียวกันหรือลำดับต่างกัน




​ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันที่สถาบันการเงินจะรับโอนตามมาตรการต้องเป็นทรัพย์สินที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินนำมาเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินนั้นก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 เพื่อประกันการชำระหนี้ของสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ ดังนั้น กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีทรัพย์สินหลักประกันมูลค่าสูงกว่ายอดหนี้ แต่ทรัพย์สินดังกล่าวไม่ได้จดจำนองเพื่อเป็นหลักประกันของบริษัทอื่นในกลุ่มของผู้ประกอบธุรกิจ สถาบันการเงินไม่สามารถนำมูลค่าส่วนเกินดังกล่าวไปใช้ชำระหนี้ของบริษัทอื่นในกลุ่มได้ ในกรณีที่ทรัพย์สินดังกล่าวจดจำนองเพื่อเป็นหลักประกันร่วมกับบริษัทอื่นในกลุ่มของผู้ประกอบธุรกิจก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 สถาบันการเงินสามารถนำมูลค่าส่วนเกินดังกล่าวไปใช้ชำระหนี้ของบริษัทอื่นได้ หากบริษัทอื่นมีคุณสมบัติตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด

​36. หากผู้ประกอบธุรกิจมีที่ดินเป็นทรัพย์สินหลักประกันกับสถาบันการเงินก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 ราคาประเมิน 130 ล้านบาท แต่มียอดหนี้เพียง 100 ล้านบาท ผู้ประกอบธุรกิจสามารถรังวัดแบ่งแยกที่ดินเป็น 2 แปลง ราคาประเมิน 100 ล้านบาท และ 30 ล้านบาท และนำที่ดินเฉพาะแปลงที่มีราคาประเมินใกล้เคียงกับยอดหนี้มาตีโอนได้หรือไม่

​หากผู้ประกอบธุรกิจมีที่ดินซึ่งจำนองไว้กับสถาบันการเงินก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 ผู้ประกอบการธุรกิจสามารถรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่อยู่ภายใต้การจำนองและนำมาเข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ เฉพาะบางส่วนได้ 

​37. สถาบันการเงินสามารถพิจารณากำหนดราคารับโอนทรัพย์สิน ให้รวมถึงบรรดาค่าประเมินราคาหลักประกัน ค่าใช้จ่ายดำเนินคดี และค่าใช้จ่ายการยื่นฟ้องดังกล่าว ได้หรือไม่

​การกำหนดราคารับโอนทรัพย์ ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจจะตกลงกัน ทั้งนี้ ขอให้สถาบันพิจารณาตามความเสี่ยงและความจำเป็นที่ต้องไม่เป็นภาระของผู้ประกอบธุรกิจจนเกินไป 

​38. หากผู้ประกอบธุรกิจเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของบริษัทในกลุ่ม แต่ทรัพย์สินหลักประกันไม่ได้ประกันหนี้ของบริษัทอื่นในกลุ่มด้วย สถาบันการเงินสามารถนำมูลค่าส่วนเกินของทรัพย์สินหลักประกันไปใช้ชำระหนี้ของบริษัทอื่นในกลุ่มตามมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้หรือไม่ หากผู้ประกอบธุรกิจยินยอมด้วยเหตุผลว่ารับผิดชอบหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกัน

​สถาบันการเงินไม่สามารถรับโอนทรัพย์สินหลักประกันของผู้ประกอบธุรกิจเพื่อไปชำระหนี้ให้กับบริษัทอื่นที่ผู้ประกอบธุรกิจค้ำประกันหนี้ได้นอกเหนือจากภาระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจเอง หากทรัพย์สินดังกล่าวไม่ได้จดจำนองเพื่อเป็นหลักประกันของบริษัทอื่นก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 หรือบริษัทอื่นไม่มีคุณสมบัติประกาศ ธปท. เนื่องจากหลักเกณฑ์ ข้อ 4.3 ของประกาศ ธปท. ที่ สนส. 4/2564 กำหนดว่า สถาบันการเงินต้องทำสัญญารับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจที่ค้างชำระอยู่กับสถาบันการเงิน ดังนั้น หนี้ของบริษัทอื่นจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าว 

​39. กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจและจดจำนองหลักประกันก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 และหลังวันดังกล่าวได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม โดยใช้หลักประกันเดิมจำนองเป็นประกันหนี้ใหม่ สถาบันการเงินสามารถรับโอนทรัพย์สินหลักประกันดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ของทั้งวงเงินสินเชื่อที่ได้รับก่อนและหลังวันที่ 1 มีนาคม 2564 ได้หรือไม่ 

​ตามมาตรา 17 แห่ง พ.ร.ก. และประกาศ ธปท. ที่ สนส.4/2564 ข้อ 4.3 (1) และ (2) กำหนดคุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจที่จะเข้าร่วมมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ไว้ว่าจะต้องเป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 และทรัพย์สินที่จะโอนชำระหนี้ต้องเป็นทรัพย์สินที่นำมาเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินนั้นก่อนวันที่ 1 มีนาคม 2564 เพื่อประกันหนี้ของวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ

ดังนั้น กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับสินเชื่อเพิ่มเติมภายหลังวันที่ 1 มีนาคม 2564 และนำทรัพย์สินหลักประกันเดิมมาจดจำนองเป็นประกันหนี้ตามวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมภายหลังวันดังกล่าว ถือได้ว่าความเป็นลูกหนี้ตามวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม และความเป็นหลักประกันที่จำนองเป็นประกันหนี้ที่เพิ่มเติมนั้น เกิดขึ้นภายหลังวันที่ 1 มีนาคม 2564 กรณีดังกล่าวจึงไม่เข้าข่ายเป็นการรับโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ตามมาตรการพักทรัพย์ พักหนี้

ทั้งนี้ สถาบันการเงินอาจพิจารณารับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ของทั้งวงเงินสินเชื่อที่ได้รับก่อนและหลังวันที่ 1 มีนาคม 2564 ก็ได้ แต่ในส่วนของหนี้ตามวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมที่ได้รับภายหลังวันที่ 1 มีนาคม 2564 จะไม่อยู่ภายใต้มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.ก. ที่ระบุข้างต้น

อย่างไรก็ดี ในกรณีสถาบันการเงินรับตีโอนทรัพย์สินหลักประกันชิ้นเดียวกัน ไม่สามารถแยกขายได้ และมีสัญญากำหนดระยะเวลาการขายคืนที่ชัดเจน โดยมีทั้งส่วนที่อยู่และไม่อยู่ภายใต้มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ ธปท. ยังคงผ่อนผันการถือครอง NPA ดังนี้

1. ผ่อนผันให้สถาบันการเงินสามารถเริ่มนับระยะเวลาการถือครองตั้งแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ไม่ใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันคืนหรือสิ้นสิทธิดังกล่าว ตามประกาศ ธปท. ที่ สนส. 4/2564 ข้อ 4.7 (2)

2. ผ่อนผันให้สถาบันการเงินประเมินราคา NPA ดังกล่าวได้ทุก 5 ปี ตามประกาศ ธปท. ที่ สนส. 4/2564 ข้อ 4.5 (2)

04 การเช่าทรัพย์สิน

40. หากผู้ประกอบธุรกิจไม่ประสงค์จะเช่าทรัพย์สิน สถาบันการเงินสามารถนำทรัพย์สินดังกล่าวไปให้บุคคลอื่นเช่าได้หรือไม่

​สถาบันการเงินต้องให้สิทธิผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน เช่าทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพื่อนำไปประกอบธุรกิจตามสภาพแห่งทรัพย์สินได้ ตามอัตราค่าเช่าที่จะตกลงกัน โดยผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันต้องแจ้งความประสงค์เช่าทรัพย์สินภายใน 15 วัน นับแต่วันที่สถาบันการเงินรับโอน ทั้งนี้ หากผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแสดงความประสงค์ไม่เช่าทรัพย์สิน หรือไม่แจ้งความประสงค์จะใช้สิทธิเช่าภายในระยะเวลาดังกล่าว สถาบันการเงินอาจนำทรัพย์สินไปให้บุคคลอื่นเช่าก็ได้ โดยสัญญาเช่าทรัพย์สินที่ทำกับบุคคลอื่นดังกล่าวต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการซื้อทรัพย์สินคืน

ทั้งนี้ หากผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแจ้งความประสงค์ไม่เช่าทรัพย์สิน หรือไม่ได้แจ้งความประสงค์ภายในระยะเวลาที่กำหนด แต่ในเวลาต่อมามีความประสงค์หรือมีความพร้อมจะกลับมาประกอบธุรกิจ ในกรณีนี้ ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันสามารถขอเช่าทรัพย์สินจากสถาบันการเงินได้ หากสถาบันการเงินยังไม่ได้นำทรัพย์สินดังกล่าวไปให้บุคคลอื่นเช่า

41. สถาบันการเงินต้องนำเงินค่าเช่าที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันชำระในระหว่างสัญญาเช่าไปหักจากราคาขายคืนทรัพย์สินหลักประกันเต็มจำนวนหรือไม่

​กรณีผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเช่าทรัพย์สินที่สถาบันการเงินรับโอน สถาบันการเงินต้องนำเงินค่าเช่าที่ได้รับชำระในระหว่างสัญญาเช่าไปหักจากราคาขายทรัพย์สินนั้นคืนเต็มจำนวน แต่กรณีสถาบันการเงินให้บุคคลอื่นเช่าทรัพย์สินดังกล่าว สถาบันการเงินไม่ต้องนำเงินค่าเช่าที่ได้รับชำระในระหว่างสัญญาเช่าไปหักจากราคาขายทรัพย์สินนั้นคืน 

42. หากผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันที่ใช้สิทธิเช่าทรัพย์สินไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาเช่าได้ เช่น ค้างชำระค่าเช่า สถาบันการเงินจะมีแนวทางดำเนินการอย่างไร และหากสถาบันการเงินสามารถนำทรัพย์สินให้บุคคลอื่นเช่าได้ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ประกอบธุรกิจหรือไม่





ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเช่าทรัพย์สินที่สถาบันการเงินรับโอน สถาบันการเงินต้องไม่นำเหตุที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันผิดสัญญาเช่ามาเป็นเงื่อนไขในการยกเลิกสิทธิในการซื้อทรัพย์สินนั้นคืนหรือสิทธิการขยายระยะเวลาซื้อทรัพย์สินนั้นคืน เว้นแต่เป็นเหตุที่เกี่ยวข้องกับกรณีผู้เช่ากระทำให้ทรัพย์สินที่เช่าเสียหาย เสื่อมสภาพ ชำรุดบกพร่อง รื้อถอน ย้าย เอาไปเสีย หรือทำให้เสื่อมค่า

ทั้งนี้ สถาบันการเงินอาจนำทรัพย์สินดังกล่าวไปให้บุคคลอื่นเช่าได้ เมื่อสิทธิการเช่าของผู้ประกอบธุรกิจสิ้นสุดลงตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาที่ตกลงกันระหว่างสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้ประกอบธุรกิจอีก

​43. ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่า เช่น ห้างสรรพสินค้า ตลาด หรือธุรกิจอื่นที่ไม่ได้ดำเนินเพื่อการปล่อยเช่า สามารถใช้สิทธิเช่าทรัพย์สินและให้บุคคลอื่นมาเช่าช่วงต่อได้หรือไม่ และสถาบันการเงินต้องนำเงินค่าเช่าไปหักจากราคาขายคืนทรัพย์สินหลักประกันหรือไม่

​ผู้ประกอบธุรกิจสามารถใช้สิทธิเช่าทรัพย์สินและให้บุคคลอื่นมาเช่าช่วงต่อได้ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจจะตกลงกัน ทั้งนี้ ค่าเช่าที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันจ่ายให้กับสถาบันการเงินต้องนำไปหักออกจากราคาขายคืนทรัพย์สินหลักประกันด้วย

​44. กรณีผู้ประกอบธุรกิจไม่มีการดูแลทรัพย์สินอย่างเหมาะสมให้อยู่ในสภาพที่ดีตามควร สถาบันการเงินสามารถเรียกร้องให้ผู้ประกอบธุรกิจซ่อมแซมทรัพย์สินหรือเสียค่าปรับได้หรือไม่ 

​สถาบันการเงินและผู้เช่ามีสิทธิและหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนด ซึ่งรวมถึงสิทธิในการบอกกล่าวเพื่อกำชับให้ผู้เช่าปฏิบัติตามสัญญาได้ อย่างไรก็ตาม ประกาศ ธปท. ที่ สนส. 4/2564 กำหนดว่าสถาบันการเงินต้องไม่กำหนดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการซื้อคืนทรัพย์สินของผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน เช่น ไม่กำหนดว่าการที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขการดูแลซ่อมแซมทรัพย์ในสัญญาเช่าเป็นเหตุในการตัดสิทธิซื้อทรัพย์สินคืน

​45. สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บมัดจำค่าเช่าล่วงหน้าจากผู้ประกอบธุรกิจเหมือนสัญญาเช่าทั่วไป ได้หรือไม่

​การเรียกเก็บมัดจำค่าเช่าล่วงหน้าขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจจะตกลงกัน ทั้งนี้ ขอให้สถาบันพิจารณาตามความเสี่ยงและความจำเป็นที่ต้องไม่เป็นภาระของผู้ประกอบธุรกิจจนเกินไป 

05 การซื้อคืนทรัพย์สิน

​46. ผู้ประกอบธุรกิจมีกำหนดซื้อทรัพย์สินหลักประกันกลับคืนภายในระยะเวลาเท่าใด

​สถาบันการเงินต้องให้ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด มีสิทธิซื้อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันคืนได้ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 3 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่รับโอน โดยไม่มีเงื่อนไขการตัดสิทธิดังกล่าวของสถาบันการเงินฝ่ายเดียว

ทั้งนี้ ภายในระยะเวลาการใช้สิทธิซื้อคืน สถาบันการเงินต้องไม่นำทรัพย์สินที่รับโอนไปขายให้บุคคลอื่น เว้นแต่จะได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ว่าไม่ประสงค์จะใช้สิทธิซื้อคืนดังกล่าว

​47. การกำหนดราคาซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันมีแนวทางอย่างไร

การกำหนดราคาซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันของผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน แบ่งได้เป็น 2 กรณี

1. กรณีผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ไม่ใช้สิทธิในการเช่าทรัพย์สิน : ราคาซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกัน ≤ ราคารับโอน + carrying cost ไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปีของราคารับโอน + ค่าใช้จ่ายอื่นเพื่อดูแลทรัพย์สินที่ได้จ่ายจริงและสอดคล้องกับการดูแลรักษาทรัพย์สินที่ผ่านมา เช่น ค่าซ่อมแซมทรัพย์ ค่าจ้างพนักงานรักษาความปลอดภัย ค่าประกันภัย ค่าภาษี ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย ค่าใช้จ่ายในการต่อใบอนุญาตต่าง ๆ โดยให้จ่ายครั้งเดียวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาหรือเมื่อต้องการซื้อคืน เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้ประกอบธุรกิจในช่วงที่สถานการณ์และความสามารถในการหารายได้ยังไม่แน่นอน 

2. กรณีผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ใช้สิทธิในการเช่าทรัพย์สิน : ราคาซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกัน < ราคารับโอน + carrying cost ไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี ของราคารับโอน – ค่าเช่าที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันจ่ายให้สถาบันการเงิน

โดยจะรวมค่าใช้จ่ายอื่นด้วยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการเจรจาตกลงกันระหว่างผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกับสถาบันการเงินว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นภายใต้มาตรการ ซึ่งหากผู้ประกอบธุรกิจได้จ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปแล้ว สถาบันการเงินก็ไม่ควรนำมาเรียกเก็บกับผู้ประกอบธุรกิจเพิ่มเติมอีก 

ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องนำเงินค่าเช่าที่ได้รับชำระในระหว่างสัญญาเช่าไปหักจากราคาขายทรัพย์สินนั้นคืน แต่กรณีสถาบันการเงินให้บุคคลอื่นเช่าทรัพย์สินดังกล่าว สถาบันการเงินไม่ต้องนำเงินค่าเช่าที่ได้รับชำระในระหว่างสัญญาเช่าไปหักจากราคาขายทรัพย์สินนั้นคืน 
อย่างไรก็ตาม แนวทางการคำนวณราคาซื้อทรัพย์สินคืนข้างต้น ไม่ครอบคลุมถึงกรณีบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด หรือบุคคลภายนอกอื่น เป็นผู้ซื้อทรัพย์สินดังกล่าวจากสถาบันการเงิน

​48. ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันตามมาตรการก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาได้หรือไม่

ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด มีสิทธิซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันตามมาตรการได้ก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญา โดยไม่มีค่าธรรมเนียมหรือเบี้ยปรับเพิ่มเติม

​49. เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาภายใต้มาตรการ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันได้หรือไม่

​ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นคำขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินเพื่อนำมาซื้อคืนทรัพย์หลักประกันตามมาตรการได้ ซึ่งการพิจารณาให้สินเชื่อนั้นจะขึ้นกับดุลยพินิจของสถาบันการเงิน ซึ่งสถาบันการเงินจะพิจารณาจากศักยภาพในการพลิกฟื้นธุรกิจและความสามารถในการชำระหนี้ได้ในระยะถัดไปของผู้ประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ ผู้ประกอบธุรกิจอาจพิจารณาแหล่งเงินทุนอื่นในการซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันร่วมด้วย เช่น การหาหุ้นส่วนในการร่วมทุน การ refinance ไปสถาบันการเงินอื่น เป็นต้น

​50. กรณีผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถซื้อทรัพย์สินหลักประกันกลับคืนเมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาภายใต้มาตรการ

50.1 สถาบันการเงินสามารถขายให้บุคคลอื่นได้หรือไม่

50.1 หากผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด แจ้งเป็นหนังสือแสดงความประสงค์ไม่ใช้สิทธิซื้อคืนทรัพย์สินภายในระยะเวลาการใช้สิทธิซื้อคืน หรือไม่แจ้งความประสงค์จะใช้ สิทธิดังกล่าว เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการใช้สิทธิซื้อคืน สถาบันการเงินจึงจะสามารถนำทรัพย์สินไปขายให้บุคคลอื่นได้ ทั้งนี้ ก่อนครบกำหนดระยะเวลาการใช้สิทธิซื้อคืนให้สถาบันการเงินแจ้งสิทธิดังกล่าวกับผู้ประกอบธุรกิจทราบอีกครั้งหนึ่ง

​50.2 สถาบันการเงินสามารถคิดเบี้ยปรับได้หรือไม่

50.2 สถาบันการเงินต้องไม่กำหนดข้อสัญญาใด ๆ ให้ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ต้องชำระค่าเสียหายหรือเบี้ยปรับ อันเนื่องมาจากการไม่ใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันคืน หรือการที่ ธปท. เรียกให้สถาบันการเงินคืนเงินกู้ยืมก่อนครบกำหนด หรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเรียกคืนภาษีหรือค่าธรรมเนียมที่ได้รับยกเว้นตาม พ.ร.ก. ด้วยเหตุที่สถาบันการเงินปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเข้าร่วมมาตรการหรือการกู้ยืมเงินจาก ธปท. ตามประกาศ ธปท. ที่ สนส.4/2564 ข้อ 4.3 (4)

50.3 หากสถาบันการเงินสามารถขายทรัพย์สินหลักประกันได้มูลค่าสูงกว่าหรือต่ำกว่าภาระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจที่รับตีโอนมา สถาบันการเงินต้องคืนเงินส่วนต่างให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือผู้ประกอบธุรกิจยังมีภาระหนี้คงเหลือในส่วนต่างดังกล่าวหรือไม่

50.3 หากผู้ประกอบธุรกิจไม่ใช้สิทธิซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันภายในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อสถาบันการเงินขายทรัพย์สินดังกล่าวได้สูงกว่าภาระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจที่รับตีโอนมา สถาบันการเงินไม่ต้องคืนส่วนต่างให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ และในทางกลับกัน หากสถาบันการเงินขายทรัพย์สินดังกล่าวได้ต่ำกว่าภาระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจที่รับตีโอนมา สถาบันการเงินไม่สามารถเรียกเก็บส่วนต่างจากผู้ประกอบธุรกิจได้

​51. หากผู้ประกอบธุรกิจผิดสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สถาบันการเงินสามารถยกเลิกสิทธิในการซื้อทรัพย์สินหลักประกันคืนได้หรือไม่

​ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เกี่ยวข้องกับการรับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน สถาบันการเงินต้องไม่นำเหตุที่ผู้ประกอบธุรกิจผิดสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าวมาเป็นเงื่อนไขในการยกเลิกสิทธิในการซื้อทรัพย์สินนั้นคืนหรือสิทธิการขยายระยะเวลาซื้อทรัพย์สินนั้นคืน เว้นแต่ผู้ประกอบธุรกิจผิดนัดชำระหนี้จนเป็นเหตุให้มีการยกเลิกข้อตกลงผ่อนผันการชำระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ดังกล่าว และผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ไม่แสดงเจตนาใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนภายใน 30 วันนับแต่ที่ได้รับแจ้งจากสถาบันการเงิน 

​52. สถาบันการเงินสามารถระบุเงื่อนไขในสัญญาว่าหากผู้ประกอบธุรกิจผิดสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้หลายครั้ง จะถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้จนเป็นเหตุให้มีการยกเลิกข้อตกลงผ่อนผันการชำระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งสามารถยกเลิกสิทธิในการซื้อทรัพย์สินหลักประกันคืนได้หรือไม่หรือไม่

​ผู้ประกอบธุรกิจที่ผิดสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้หลายครั้ง เนื่องจากไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข ไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้จนเป็นเหตุให้มีการยกเลิกข้อตกลงผ่อนผันการชำระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ เนื่องจากตามหลักการของโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ นั้น การผิดเงื่อนไขตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ ควรมีผลเฉพาะกับเงื่อนไขในการตกลงปรับโครงสร้างหนี้ในส่วนที่เหลือ และไม่กระทบสิทธิในการซื้อทรัพย์สินหลักประกันคืน ยกเว้นกรณีผู้ประกอบธุรกิจผิดเงื่อนไขร้ายแรง จนเป็นเหตุให้สถาบันการเงินไม่อาจให้ความช่วยเหลือได้อีก ซึ่งในกรณีนี้สถาบันการเงินอาจพิจารณายกเลิกสิทธิในการซื้อทรัพย์คืนหรือสิทธิในการขยายระยะเวลาซื้อทรัพย์สินคืน และในกรณีที่สถาบันการเงินจะนำทรัพย์สินออกขายให้บุคคลภายนอก สถาบันการเงินต้องให้ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด แสดงเจตนาใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นคืนภายใน 30 วันนับแต่ที่ได้รับแจ้งจากสถาบันการเงิน

​53. สถาบันการเงินสามารถยกเลิกสิทธิในการซื้อทรัพย์สินคืนหรือสิทธิในการขยายระยะเวลาซื้อทรัพย์สินคืนได้หรือไม่ หากสถาบันการเงินสืบทราบได้แน่ชัดว่าผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนดไม่สามารถซื้อทรัพย์สินคืนได้เมื่อครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญา เนื่องจาก

53.1 ปิดกิจการและติดต่อไม่ได้ หรือ

53.2 ต้องคดีที่ส่งผลต่อการชำระหนี้คืน เช่น ถูกจำคุก ฉ้อโกง ฟอกเงิน ยาเสพติด หรือ

53.3 ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้อีก เช่น เสียชีวิต หรือ

53.4 ผิดนัดชำระหนี้กับเจ้าหนี้อื่นและถูกฟ้องดำเนินคดี ล้มละลาย 

​ผู้รับโอนมีสิทธิในการยกเลิกสิทธิในการซื้อทรัพย์คืนหรือสิทธิในการขยายระยะเวลาซื้อทรัพย์คืน เมื่อเกิดเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้ 

1. ลูกหนี้หรือผู้โอนกระทำหรือยินยอมให้บุคคลอื่นกระทำให้ทรัพย์ที่โอนเสียหาย เสื่อมสภาพ ชำรุดบกพร่อง รื้อถอน ย้าย เอาไปเสีย หรือทำให้เสื่อมค่า เป็นต้น 

2. ลูกหนี้ หรือผู้โอน หรือบุคคลที่ลูกหนี้หรือผู้โอนให้ความยินยอมหรือแจ้งเป็นหนังสือให้เป็นผู้มีสิทธิซื้อทรัพย์แทน ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ทั้งนี้ ให้มีผลเฉพาะบุคคลที่ถูกศาลสั่งดังกล่าว

อย่างไรก็ดี หากสถาบันการเงินพิสูจน์ทราบโดยสิ้นสงสัยได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด จะไม่ใช้สิทธิซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันภายในระยะเวลาที่กำหนด สถาบันการเงินอาจยกเลิกสิทธิซื้อคืนและขายทรัพย์สินดังกล่าวให้บุคคลอื่นได้ แต่ต้องระบุเหตุในการยกเลิกสิทธิซื้อคืนตามที่ระบุในคำถามให้ชัดเจนไว้ในสัญญารับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ และจัดเก็บเอกสารหลักฐานยืนยันเพื่อมิให้เกิดการร้องเรียนในภายหลัง


​54. กรณีผู้ประกอบธุรกิจผิดนัดชำระหนี้จนเป็นเหตุให้มีการยกเลิกข้อตกลงผ่อนผันการชำระหนี้ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ สถาบันการเงินสามารถแจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจแสดงเจตนาใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินหลักประกันคืนภายใน 30 วันนับแต่ที่มีเหตุยกเลิกข้อตกลงผ่อนผันได้ทันทีหรือต้องรอให้มีบุคคลอื่นแสดงความประสงค์ซื้อทรัพย์สินนั้นก่อน และหากผู้ประกอบธุรกิจไม่ใช้สิทธิซื้อคืนจะถือว่าสิทธิซื้อทรัพย์สินคืนเป็นอันดับแรกของผู้ประกอบธุรกิจถือว่าเป็นอันสิ้นสุดแล้วใช่หรือไม่ โดยหากภายหลังมีผู้สนใจซื้อรายใหม่ สถาบันการเงินยังต้องแจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจทราบหรือไม่

สถาบันการเงินสามารถแจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจแสดงเจตนาใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินหลักประกันคืนภายใน 30 วัน ภายหลังที่สถาบันการเงินได้รับข้อเสนอซื้อทรัพย์สินและจะนำออกขายให้บุคคลภายนอกแล้ว 

หากสถาบันการเงินได้แจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจแสดงเจตนาใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินหลักประกันคืนภายใน 30 วันแล้ว และผู้ประกอบธุรกิจแจ้งเป็นหนังสือแสดงความประสงค์ไม่ใช้สิทธิซื้อคืนทรัพย์สิน หรือไม่แจ้งความประสงค์จะใช้สิทธิดังกล่าวภายในระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งแจ้งผู้ประกอบธุรกิจอย่างชัดเจนว่าได้ยกเลิกสิทธิซื้อทรัพย์สินคืนข้างต้นแล้ว หากภายหลังมีผู้สนใจซื้อทรัพย์สินรายใหม่ สถาบันการเงินก็ไม่ต้องแจ้งผู้ประกอบธุรกิจอีก เนื่องจากสิทธิซื้อทรัพย์สินคืนได้สิ้นสุดลงแล้ว ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวไว้ในสัญญาโอนทรัพย์สินและแจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจทราบถึงเงื่อนไขดังกล่าวให้ชัดเจนด้วย




​55. กรณีที่ทรัพย์สินหลักประกันที่ตีโอนมีจำนวนหลายรายการ เช่น ผู้ประกอบธุรกิจตีโอนคอนโดมิเนียมทั้งโครงการในคราวเดียว ต่อมามีผู้สนใจติดต่อขอซื้อคอนโดมิเนียม 1 ห้อง จากผู้ประกอบธุรกิจ

​55.1 ผู้ประกอบธุรกิจสามารถทยอยซื้อคืนทรัพย์สินดังกล่าวจากสถาบันการเงินก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาได้หรือไม่ หรือต้องซื้อคืนทั้งหมดในคราวเดียว หากทำได้ สถาบันการเงินต้องทำสัญญาซื้อคืนแยกเป็นรายสัญญาตามหลักประกันแต่ละรายการเมื่อครั้งตีโอนหรือไม่ และการคิด carrying cost ไม่เกินร้อยละ 1 จะต้องคิดบนฐานของราคารับโอนหักเงินที่ทยอยซื้อคืนทรัพย์สินหรือไม่

​55.1 ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนดสามารถทยอยซื้อคืนทรัพย์สินจากสถาบันการเงินก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาได้ โดยการทำสัญญาซื้อคืนแยกเป็นรายสัญญาตามหลักประกันแต่ละรายการเมื่อครั้งตีโอนขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจจะตกลงกัน 

สำหรับการคิด carrying cost ไม่เกินร้อยละ 1 จะต้องคิดบนฐานของราคารับโอนหักเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจทยอยซื้อคืนทรัพย์สิน เนื่องจากสถาบันการเงินไม่มีภาระต้องดูแลทรัพย์สินในส่วนดังกล่าวอีก

​55.2 ผู้ประกอบธุรกิจสามารถสละสิทธิซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันเพียงบางส่วนได้หรือไม่

​55.2 ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนดสามารถสละสิทธิซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันเพียงบางส่วนก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาได้

​56. กรณีสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินหลักประกัน 1 รายการ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถทยอยชำระราคาซื้อคืนให้สถาบันการเงินก่อนกำหนดได้หรือไม่ หากทำได้ การคิด carrying cost ไม่เกินร้อยละ 1 จะต้องคิดบนฐานของราคารับโอนหักเงินที่ทยอยชำระมาหรือไม่ และหากเมื่อครบกำหนด ผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถซื้อคืนทรัพย์สินได้ส่วนที่เหลือได้ สถาบันการเงินต้องคืนเงินที่ได้รับชำระมาล่วงหน้าให้ผู้ประกอบธุรกิจหรือไม่

ผู้ประกอบธุรกิจสามารถทยอยชำระราคาซื้อคืนให้สถาบันการเงินก่อนกำหนดได้ หากเป็นความประสงค์ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยไม่มีเงื่อนไขต้องมัดจำเงินเพื่อซื้อทรัพย์สินคืน โดยการคิด carrying cost ไม่เกินร้อยละ 1 จะต้องคิดบนฐานของราคารับโอนโดยไม่ต้องหักเงินที่ทยอยชำระมา และหากเมื่อครบกำหนดผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถซื้อคืนทรัพย์สินส่วนที่เหลือได้ เงื่อนไขการคืนเงินที่ได้รับชำระมาล่วงหน้าขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินจะตกลงกัน โดยต้องกำหนดในสัญญาโอนทรัพย์สินให้ชัดเจน และสถาบันการเงินควรกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวอย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันข้อร้องเรียนในภายหลัง

​57. บุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด มีสิทธิซื้อทรัพย์สินหลักประกันคืนในราคาที่กำหนดตามแนวทางของ ธปท. (ราคารับโอน + carrying cost + ค่าใช้จ่ายอื่นเพื่อดูแลทรัพย์สิน) หรือไม่

​บุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด มีสิทธิซื้อทรัพย์สินหลักประกันคืนในราคาที่สถาบันการเงินและบุคคลอื่นจะตกลงกัน และไม่ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจำนองและค่าธรรมเนียมอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สิน

​58. ค่าใช้จ่ายประเมินราคาทรัพย์สินหลักประกันในระหว่างระยะเวลาตามมาตรการถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลทรัพย์สินในการกำหนดราคาซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันหรือไม่ 

​การประเมินราคาหลักประกัน เป็นไปเพื่อการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินที่ได้รับทรัพย์สินหลักประกันมา จึงไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายเพื่อดูแลทรัพย์สินในการกำหนดราคาซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกัน ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ธปท. ผ่อนผันให้สถาบันการเงินประเมินราคา NPA ที่เข้าโครงการ ทุก 5 ปี (เดิมทุก 1 ปี)

​59. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจชำระค่าเช่ามา 1 ปี แต่ยังคงใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินอยู่โดยค้างชำระค่าเช่าเป็นเวลารวม 2 ปี ค่าเช่าที่ชำระมาเพียง 1 ปีนั้น สถาบันการเงินยังคงต้องนำมาหักจากราคาซื้อคืนหรือไม่ 

​ให้สถาบันการเงินนำค่าเช่าเฉพาะที่ได้รับจากผู้ประกอบธุรกิจมาหักออกจากราคาซื้อคืนทรัพย์สิน ตามแนวทางการคำนวณราคาที่ผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถซื้อทรัพย์สินคืนที่ ธปท. กำหนด

สำหรับการผิดสัญญาเช่าทรัพย์สิน ให้สถาบันการเงินดำเนินการตามข้อตกลงในสัญญาเช่า ซึ่งต้องไม่กระทบสิทธิการซื้อทรัพย์สินคืนของผู้ประกอบธุรกิจ

60. ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จากรายได้ค่าเช่าที่เกิดขึ้นในช่วง 3-5 ปี สถาบันการเงินสามารถนำไปหักออกจากค่าเช่าที่ต้องนำไปหักราคาซื้อคืนต่อได้หรือไม่ เช่น ค่าเช่าปีละ 10 ล้านบาท ผู้ประกอบธุรกิจเช่า 5 ปี เสียภาษีเงินได้ร้อยละ 20 ค่าเช่ารวมที่ให้นำไปหักออกจากราคาซื้อคืนควรเป็น 40 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท เนื่องจากค่าเช่าดังกล่าวมีลักษณะคล้ายการจ่ายชำระเงินต้นซึ่งเดิมสถาบันการเงินไม่มีภาระภาษีจากการรับชำระคืนเงินต้น 

​ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ค่าเช่าที่สถาบันการเงินได้รับจะ offset กับผลขาดทุนจากราคาขายทรัพย์สินคืนให้กับผู้ประกอบธุรกิจในวันที่สิ้นสุดโครงการ ดังนั้น รายได้ค่าเช่าและขาดทุนจากการขายทรัพย์สินคืนจะชดเชยต้นทุนทางภาษี ราคาขายทรัพย์สินคืนจึงไม่สามารถเอาภาษีเงินได้จากค่าเช่ามาบวกเพิ่มได้ 

61. กรณีที่สถาบันการเงินได้รับเงินค่าเช่ารวมกันมากกว่าราคาซื้อคืน ส่วนที่เกิน (หลังหักภาษี หากสถาบันการเงินต้องเสียภาษีเงินได้จากค่าเช่า) ให้นับเป็นรายได้ของสถาบันการเงินหรือต้องส่งคืนให้ผู้ประกอบธุรกิจ 

เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดให้สถาบันการเงินต้องนำเงินค่าเช่าที่ได้รับชำระจากผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินในระหว่างสัญญาเช่าไปหักราคาซื้อทรัพย์สินคืน โดยถือว่าค่าเช่าเป็นเสมือนส่วนหนึ่งของการชำระค่าซื้อทรัพย์สินคืน ซึ่งสถาบันการเงินพึงกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจชำระค่าซื้อทรัพย์สินคืนได้ไม่เกินจำนวนเงินที่กฎหมายกำหนด ไม่สูงกว่าราคาที่รับโอนไว้ รวมกับค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาทรัพย์สินดังกล่าว (carrying cost) อีกไม่เกินร้อยละ 1 ต่อปี ของราคาที่รับโอน และค่าใช้จ่ายอื่นที่สถาบันการเงินได้จ่ายไปจริงเพื่อดูแลรักษาทรัพย์สินตามโครงการ

ดังนั้น สถาบันการเงินจึงไม่ควรทำสัญญาเช่าที่ให้มีการเรียกเก็บค่าเช่ารวมแล้วเป็นจำนวนมากไปกว่าราคาซื้อทรัพย์สินคืน






​62. สถาบันการเงินสามารถกำหนดระยะเวลาชำระเงินและรับโอนกรรมสิทธิ์ เมื่อผู้ประกอบธุรกิจแสดงความประสงค์ใช้สิทธิซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันได้หรือไม่ 

​ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินจะตกลงกัน ทั้งนี้ หากผู้ประกอบธุรกิจแสดงความประสงค์ใช้สิทธิซื้อคืนทรัพย์สินแต่ไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด สถาบันการเงินต้องไม่นำเป็นเหตุยกเลิกสิทธิในการซื้อทรัพย์คืนหรือสิทธิในการขยายระยะเวลาซื้อทรัพย์คืนภายในระยะเวลา 5 ปี

63. กรณีผู้ประกอบธุรกิจขอทั้งสินเชื่อฟื้นฟูและขอเข้าโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ สถาบันการเงินสามารถกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบธุรกิจชำระยอดคงค้างสินเชื่อฟื้นฟูและสินเชื่ออื่นทั้งหมดก่อนที่จะชำระเงินเพื่อซื้อทรัพย์สินคืนได้หรือไม่ หากทำได้และต่อมาผู้ประกอบธุรกิจขอซื้อทรัพย์สินคืน โดยไม่ชำระยอดหนี้คงเหลือให้เสร็จสิ้น จะถือว่าผู้ประกอบธุรกิจผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้หรือไม่ 

​สถาบันการเงินต้องไม่กำหนดเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคต่อการซื้อทรัพย์สินคืน โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจชำระยอดคงค้างสินเชื่อฟื้นฟูและสินเชื่ออื่นทั้งหมด ก่อนที่จะชำระเงินเพื่อซื้อทรัพย์สินคืน ในสัญญาภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ และสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 

​64. ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันต้องระบุรายชื่อบุคคลอื่นที่กำหนดให้มีสิทธิซื้อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันคืนได้ในสัญญารับโอนทรัพย์สินหลักประกันหรือไม่ และต้องแจ้งรายชื่อเมื่อตีโอนทรัพย์สินเลยหรือสามารถแจ้งภายหลังได้ และหากผู้โอนระบุรายชื่อบุคคลอื่นที่มีสิทธิซื้อคืนทรัพย์สินหลายราย สถาบันการเงินสามารถกำหนดให้ผู้โอนลำดับสิทธิในการซื้อคืนได้หรือไม่ 

​ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินจะตกลงกัน

​65. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจยินยอมให้สถาบันการเงินกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาซื้อทรัพย์สินคืนภายใน 3 ปี โดยไม่ประสงค์ขอขยายระยะเวลา สถาบันการเงินสามารถไม่ใส่เงื่อนไขเรื่องการขยายระยะเวลาซื้อทรัพย์สินคืนในสัญญาภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้หรือไม่

​สถาบันการเงินยังต้องกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวในสัญญาภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ตามข้อความมาตรฐานที่ ธปท. ตกลงร่วมกับสมาคมธนาคารไทย

06 การจัดชั้นหนี้และการกันเงินสำรอง

​66. สถาบันการเงินต้องจัดชั้นหนี้และกันเงินสำรองสำหรับลูกหนี้ผู้ประกอบธุรกิจที่เข้าร่วมมาตรการนี้ แต่ยังมีหนี้คงค้างกับสถาบันการเงินอย่างไร

​เมื่อสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรการแล้ว หากผู้ประกอบธุรกิจยังมีหนี้คงค้างอยู่กับสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับผู้ประกอบธุรกิจแล้ว ให้สถาบันการเงินจัดชั้นหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นที่ไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต (performing) หรือชั้นปกติ ได้ทันทีนับแต่วันที่ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จ หากพิจารณาว่าผู้ประกอบธุรกิจสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ 

นอกจากนี้ หากในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ สถาบันการเงินมีการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบธุรกิจเป็นการชั่วคราว ให้สถาบันการเงินคงการจัดชั้นหนี้ตลอดช่วงระยะเวลาการพักชำระหนี้ดังกล่าว 

ทั้งนี้ ในกรณีที่การรับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรการและการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับหนี้คงค้าง ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเดิม (original effective interest rate) ไม่สะท้อนประมาณการกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากหนี้แล้ว สถาบันการเงินสามารถใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงใหม่ (current effective interest rate) เป็นอัตราคิดคำนวณมูลค่าปัจจุบันของหนี้ส่วนที่เหลือได้

67. หากก่อนการรับโอนทรัพย์สิน ลูกหนี้จัดชั้น NPL เมื่อรับโอนทรัพย์สินแล้ว ภาระหนี้ส่วนที่เหลือให้จัดชั้น stage 1 ได้ทันที หรือลูกหนี้ต้องสามารถชำระหนี้ตามสัญญา TDR ใหม่ได้ติดต่อกัน 3 เดือน ก่อน จึงจะจัดชั้น stage 1 ได้ ตามหนังสือที่ ธปท.ฝนส.(23)ว. 276/2563 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 

​สถาบันการเงินสามารถจัดชั้นภาระหนี้ส่วนที่เหลือเป็น stage 1 ได้ทันที ภายหลังได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับผู้ประกอบธุรกิจแล้วและพิจารณาว่าผู้ประกอบธุรกิจสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ ตามที่ ธปท. ผ่อนผันให้สถาบันการเงินสามารถถือปฏิบัติตามแนวทางผ่อนปรนในข้อ 4.6 ของประกาศ ธปท. ที่ สนส. 4/2564 เกี่ยวกับการจัดชั้นและการกันเงินสำรอง

​68. ภายหลังสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินและจัดชั้นหนี้คงค้างส่วนที่เหลือเป็น stage 1 ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่ออื่นที่ไม่ได้เข้าร่วมมาตรการ วงเงินอื่นจะสามารถจัดชั้นเป็น stage 1 หรือยังคงจัดชั้นตามเกณฑ์ปกติ โดยผู้ประกอบธุรกิจรายหนึ่งอาจมี stage ที่แตกต่างกันได้ในแต่ละวงเงิน

​เมื่อสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมาตรการแล้ว หากผู้ประกอบธุรกิจยังมีหนี้คงค้างอยู่กับสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับผู้ประกอบธุรกิจแล้ว ให้สถาบันการเงินจัดชั้นหนี้ดังกล่าวเป็นชั้นที่ไม่มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของความเสี่ยงด้านเครดิต (performing) หรือชั้นปกตินับแต่วันที่ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เสร็จได้ทันทีเฉพาะสินเชื่อธุรกิจที่เข้ามาตรการ หากพิจารณาว่าผู้ประกอบธุรกิจสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ได้ ในขณะที่สินเชื่ออื่น ให้สถาบันการเงินยังคงจัดชั้นตามเกณฑ์ปกติ

​69. วงเงิน O/D หรือ P/N ซึ่งมี unused credit line คงเหลือ ในส่วนนี้สถาบันการเงินไม่ต้องตั้งสำรองตาม TFRS 9 ไปจนถึงสิ้นปี 2564 ตามหนังสือที่ ธปท.ฝนส.(23)ว. 276/2563 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 และต้องตั้งสำรองในส่วนดังกล่าวตั้งแต่เดือนมกราคม 2565 เป็นต้นไป ใช่หรือไม่

กรณีลูกหนี้มีวงเงินที่ยังไม่ได้เบิกใช้ (unused credit line) สถาบันการเงินสามารถคำนวณผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (expected credit loss) จากยอดสินเชื่อคงค้างเฉพาะส่วนของวงเงินที่เบิกใช้แล้วตามหนังสือที่ ธปท.ฝนส.(23)ว. 276/2563 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เรื่อง แนวทางในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และตามหนังสือที่ ธปท.ฝนส2.ว. 802/2564 ลงวันที่ 3 กันยายน 2564 เรื่อง แนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (มาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566

70. สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ได้โอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ตามโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ แล้วยังมียอดหนี้คงเหลืออยู่ ซึ่งสถาบันการเงินได้ให้ความช่วยเหลือโดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้ว หากในเวลาต่อมาผู้ประกอบธุรกิจประสงค์จะปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม สถาบันการเงินสามารถให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมได้หรือไม่ และจะสามารถถือปฏิบัติตามแนวทางผ่อนปรนเกี่ยวกับการจัดชั้นและการกันเงินสำรอง รวมถึงการใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงใหม่ (current effective interest rate) เป็นอัตราคิดคำนวณมูลค่าปัจจุบันได้หรือไม่

​สำหรับสถาบันการเงินที่ให้ความช่วยเหลือโดยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพิ่มเติมในภายหลังให้กับผู้ประกอบธุรกิจที่มียอดหนี้คงเหลือภายหลังการโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ตามโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่เพิ่มเติมนั้น อยู่ในช่วงระยะเวลาตามโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ธปท. ผ่อนผันให้สถาบันการเงินสามารถถือปฏิบัติตามแนวทางผ่อนปรนในข้อ 4.6 ของประกาศ ธปท. ที่ สนส. 4/2564 เกี่ยวกับการจัดชั้นและการกันเงินสำรอง รวมถึงการใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงใหม่ (current effective interest rate) เป็นอัตราคิดคำนวณมูลค่าปัจจุบัน หากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เพิ่มเติม ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเดิม (original effective interest rate) ไม่สะท้อนประมาณการกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากหนี้แล้วได้

71. ภายหลังที่สถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินหลักประกัน หากผู้ประกอบธุรกิจยังมีหนี้คงค้างอยู่กับสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับผู้ประกอบธุรกิจแล้ว ทาให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเดิม (original effective interest rate) ไม่สะท้อนประมาณการกระแสเงินสดที่คาดว่าจะได้รับจากหนี้ สถาบันการเงินสามารถใช้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงใหม่ (current effective interest rate) กับสินเชื่อที่เข้าร่วมโครงการได้ตามความเหมาะสม ตามที่อนุโลมในหนังสือที่ ธปท.ฝนส.(23)ว. 276/2563 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งอาจเลยกรอบเวลาสิ้นสุดของประกาศดังกล่าวในปี 2564  

แนวทางการจัดชั้นและการกันเงินสำรองแบบผ่อนปรนตามประกาศ ธปท. ที่ สนส. 4/2564 ให้บังคับใช้ตามระยะเวลาโครงการและใช้เฉพาะกับสินเชื่อที่เข้าร่วมโครงการพักทรัพย์ พักหนี้เท่านั้น สำหรับแนวทางการผ่อนปรนหลักเกณฑ์สินเชื่อที่ไม่ได้อยู่ภายใต้โครงการ สามารถดำเนินการตามหนังสือที่ ธปท.ฝนส.(23)ว. 276/2563 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เรื่อง แนวทางในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย นั้น จะสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 อย่างไรก็ดี ธปท. ได้ออกหนังสือที่ ธปท.ฝนส2.ว. 802/2564 ลงวันที่ 3 กันยายน 2564 เรื่อง แนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (มาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน) เพื่อกำหนดแนวทางการผ่อนปรนหลักเกณฑ์สินเชื่อเพิ่มเติมตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566

07 การบันทึกบัญชี

​72. สถาบันการเงินจะบันทึกบัญชีการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ โดยให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสิทธิซื้อทรัพย์สินนั้นกลับคืนในภายหลังภายใต้ พ.ร.ก. อย่างไร

​- การบันทึกบัญชีธุรกรรม : ให้สถาบันการเงินถือว่าการโอนทรัพย์สินหลักประกันดังกล่าวเพื่อชำระหนี้ตามประกาศฉบับนี้ โดยสามารถตัดรายการลูกหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ดังกล่าวออกจากบัญชีได้ และให้แสดงรายการทรัพย์สินที่ได้รับมาดังกล่าวเป็นอสังหาริมทรัพย์รอการขายได้เช่นเดียวกับกรณีการโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ทั่วไป ซึ่งสอดคล้องกับกรรมสิทธิ์ที่ได้รับตามกฎหมาย

- การพิจารณาอำนาจควบคุมกรณีมีการให้เช่าทรัพย์สินระหว่างถือครอง : ในกรณีที่สถาบันการเงินมีการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินหลักประกันดังกล่าว เช่น ให้เช่าแก่ลูกหนี้ ให้ถือว่าสถาบันการเงินยังคงเป็นผู้มีอำนาจควบคุมในตัวทรัพย์สินหลักประกันดังกล่าว เนื่องจากยังคงมีหน้าที่ดูแลรักษาทรัพย์สินหลักประกันและมีความเสี่ยงหากหลักประกันดังกล่าวเสื่อมมูลค่าลง 

- การพิจารณามูลค่ายุติธรรมของราคาที่รับซื้อคืน : ให้สถาบันการเงินถือว่าราคาที่รับซื้อคืนนั้นเป็นราคายุติธรรม เนื่องจากสถาบันการเงินได้รับการชดเชยเพิ่มเติมจากภาครัฐ 

ทั้งนี้ ให้สถาบันการเงินพิสูจน์ความมีนัยสำคัญของธุรกรรมดังกล่าวต่องบการเงินกับผู้สอบบัญชี

​73. ขอทราบแนวทางการบันทึกบัญชีสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ

​ผู้ประกอบธุรกิจจะบันทึกบัญชีตามที่มาตรฐานการบัญชีกำหนด ซึ่งขึ้นกับว่าตนเป็นกิจการที่มีส่วนได้เสียสาธารณะหรือไม่ โดยให้อ้างอิงตามเอกสารที่สภาวิชาชีพบัญชีจะกำหนดเพิ่มเติมต่อไป 

​74. กรณีที่การรับโอนทรัพย์สินเกิดขึ้นในปี 2564 การบันทึกบัญชีรายการทรัพย์สินรอการขายในสิ้นปี 2565 ต้องคำนึงถึง carrying cost, ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และรายได้ค่าเช่าสะสมด้วยหรือไม่ หรือให้ใช้ราคาที่สถาบันการเงินรับโอนเท่านั้น

​ให้สถาบันการเงินบันทึกบัญชีทรัพย์สินรอการขายด้วยราคารับโอนทรัพย์สินหลักประกันตลอดระยะเวลาที่เข้าร่วมโครงการ หรือราคาตามที่ได้หารือกับผู้สอบบัญชี

​75. สถาบันการเงินสามารถเพิ่มเงื่อนไขในสัญญาภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ เช่น การให้สินเชื่อเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบธุรกิจเพื่อซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกัน จะถือว่าผิดเงื่อนไขทำให้ไม่สามารถใช้แนวทางปฏิบัติที่ให้สถาบันการเงินถือว่าการรับโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามมาตรการสามารถตัดรายการลูกหนี้ที่ได้รับชำระหนี้ดังกล่าวออกจากบัญชีได้และให้แสดงรายการทรัพย์สินที่ได้รับมาดังกล่าวเป็นอสังหาริมทรัพย์รอการขายได้ หรือไม่

​ธปท. เห็นด้วยหากสถาบันการเงินจะให้สินเชื่อกับผู้ประกอบธุรกิจเพื่อซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเพิ่มเงื่อนไขในดังกล่าวในสัญญาภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ อาจส่งผลต่อการพิจารณาตัดรายการตามบัญชีได้ ดังนั้น สถาบันการเงินจึงควรกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวไว้ในหนังสือหรือข้อตกลงแยกต่างหากจากสัญญาภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ หรือให้ commitment กับผู้ประกอบธุรกิจในลักษณะของ letter of intent แทน

08 การผ่อนผันการถือครองอสังหาริมทรัพย์รอการขาย (NPA)

​76. สถาบันการเงินจะเริ่มนับระยะเวลาการถือครอง NPA ตั้งแต่เมื่อใด

ธปท. ผ่อนผันให้สถาบันการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์ เริ่มนับระยะเวลาการถือครองตั้งแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ไม่ใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันคืน หรือสิ้นสิทธิดังกล่าว

(ไม่นับระยะเวลาการถือครอง NPA ในช่วงระหว่างที่อยู่ในโครงการพักทรัพย์ พักหนี้)


77. การประเมินราคา NPA มีแนวทางอย่างไร

​ธปท. ผ่อนผันให้สถาบันการเงินประเมินราคา NPA ทุก 5 ปี (เดิมทุก 1 ปี) ตามแนวนโยบาย ธปท. ว่าด้วยการประเมินราคาหลักประกันและอสังหาริมทรัพย์รอการขายที่ได้มาจากการชำระหนี้ การประกันการให้สินเชื่อ หรือที่ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของสถาบันการเงิน หรือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ 

​78. กรณีที่สถาบันการเงินประเมินราคา NPA แล้วมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี สถาบันการเงินมีแนวทางการจัดชั้นและกันสำรองอย่างไร

​ธปท. ผ่อนผันให้สถาบันการเงินพิจารณาจัดชั้นสินทรัพย์ที่เป็น NPA เฉพาะส่วนที่เป็นผลต่างของราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่าที่ได้จากการประเมินราคาไว้ไม่เกิน 5 ปี เป็นสินทรัพย์ที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (non-performing) หรือสินทรัพย์จัดชั้นสงสัยจะสูญ (doubtful of loss) ตามประกาศ ธปท. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสารองของสถาบันการเงิน หรือของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ทั้งนี้ หากสถาบันการเงินได้ทำการประเมินราคาไว้เกินกว่า 5 ปี ให้นำมูลค่าที่ได้จากการประเมินราคามาใช้ได้เพียงร้อยละ 50

​79. ทรัพย์สินหลักประกันตามมาตรการที่สถาบันการเงินออกให้เช่าต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการสถาบันการเงินหรือไม่

​สถาบันการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์อาจนำ NPA ออกให้เช่าเพื่อประกอบธุรกิจได้ตามแนวทางที่กำหนดในประกาศ ธปท. ที่ สนส.4/2564 ข้อ 4.3 ตลอดช่วงระยะเวลาที่อยู่ในมาตรการ โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการของสถาบันการเงินตามประกาศ ธปท. ว่าด้วยการอนุญาตให้สถาบันการเงินประกอบธุรกิจการนาอสังหาริมทรัพย์ออกให้เช่า

​80. ในกรณีที่สถาบันการเงินไม่สามารถขาย NPA ได้ตามระยะเวลาที่ประกาศ ธปท.กำหนด ธปท. มีแนวทางผ่อนผันหรือไม่ อย่างไร

​หากสถาบันการเงินไม่สามารถขาย NPA ได้ตามระยะเวลาที่ประกาศ ธปท.กำหนด 5 ปี นับถัดจากวันที่ผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ไม่ใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันคืน หรือสิ้นสิทธิดังกล่าว ธปท. ผ่อนผันให้สามารถถือครองต่อไปได้อีก 5 ปี โดยหลักเกณฑ์ให้เป็นไปตามประกาศ ธปท. ที่ สนส. 22/2552 เรื่อง อสังหาริมทรัพย์รอการขาย

81. หากผู้ประกอบธุรกิจ เจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน หรือบุคคลอื่นซึ่งผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันกำหนด ไม่ใช้สิทธิซื้อทรัพย์สินคืนและสถาบันการเงินยังต้องถือครอง NPA ต่อไป ธปท. จะยังคงผ่อนผันให้ใช้เกณฑ์การประเมินทุก 5 ปี ตลอดการถือครอง NPA หรือไม่ หรือต้องประเมินทุก 1 ปี ตามเกณฑ์เดิม

​ธปท. ผ่อนผันให้สถาบันการเงินประเมินราคา NPA ที่ได้รับจากโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ทุก 5 ปี นับจากวันที่ได้ประเมินราคาทรัพย์สินดังกล่าวครั้งล่าสุด เฉพาะในช่วงระยะเวลาที่ผู้ประกอบธุรกิจอยู่ในมาตรการ

09 การรายงาน NCB

​82. ผู้ประกอบธุรกิจที่เข้าร่วมมาตรการจะมีสถานะใน NCB เป็นอย่างไร

​- เมื่อผู้ประกอบธุรกิจที่เข้าร่วมมาตรการได้โอนทรัพย์สินชำระหนี้ หากโอนทรัพย์สินชำระหนี้จนหมด จะถือว่าผู้ประกอบธุรกิจได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว สถานะใน NCB จะขึ้นเป็นปิดบัญชี 

- หากเดิมมีหนี้ท่วมทรัพย์ ทำให้โอนทรัพย์สินแล้วยังมีหนี้เหลือ จะยังคงหนี้เฉพาะส่วนที่เหลือใน NCB โดยมีสถานะเช่นเดิม กล่าวคือ หากผู้ประกอบธุรกิจเป็นลูกหนี้ non-NPL ก็จะถือว่าเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน (pre-emptive) จึงไม่ถือเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา (trouble debt restructuring: TDR) และไม่ต้องรายงานข้อมูลวันที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต่อ NCB แต่หากผู้ประกอบธุรกิจเป็นลูกหนี้ NPL ให้ถือว่าเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ TDR และต้องรายงานข้อมูลวันที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ต่อ NCB

10 ประเด็นอื่น ๆ

​83. โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ คืออะไรและมีวัตถุประสงค์ใด

​- โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ เป็นมาตรการที่อาศัยกลไก asset warehousing โดยสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินหลักประกันจากผู้ประกอบการที่ประสบปัญหา เพื่อหยุดภาระหนี้ชั่วคราว โดยให้สิทธิแก่ผู้ประกอบธุรกิจรายเดิมในการซื้อทรัพย์สินคืนเป็นลำดับแรกที่ราคาและระยะเวลาตามที่หลักเกณฑ์กำหนด พร้อมทั้งให้สิทธิในการเช่าทรัพย์สินกลับระหว่างที่อยู่ในโครงการเพื่อดำเนินกิจการต่อได้ในอัตราค่าเช่าที่เหมาะสม ทั้งนี้ การตัดสินใจเข้าร่วมโครงการต้องเกิดจากความสมัครใจของทั้งสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ (voluntary basis)

- วัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อช่วยเหลือของผู้ประกอบธุรกิจที่มีศักยภาพ ซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงและต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวนาน โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่พึ่งพาอุปสงค์จากต่างประเทศเป็นหลัก ให้ไม่ต้องรับภาระต้นทุนทางการเงินชั่วคราว และมีโอกาสการกลับมาดำเนินธุรกิจได้ในอนาคต โดยไม่ถูกกดราคาหรือบังคับขาย (fire sale) ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาทรัพย์สินในตลาดปรับลดลงอย่างมาก และกิจการจำเป็นต้องเปลี่ยนมือไปสู่กลุ่มทุนขนาดใหญ่ทั้งไทยหรือต่างชาติ  

​84. ค่าธรรมเนียมในการตีโอนทรัพย์ที่สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจได้รับยกเว้นจากภาครัฐมีรายการใดบ้าง

สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจ และเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม ดังต่อไปนี้

1. ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจำนอง และค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ อันเนื่องมาจากการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อคืนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน

2. ค่าธรรมเนียมอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ให้แก่สถาบันการเงินหรือการโอนทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันคืนผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน

ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันซื้อกลับคืน 

นอกจากนี้ กรมสรรพากรได้ยกเว้นภาษีเพิ่มเติมตามมาตรการภาษีอากรเพื่อสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้ (อยู่ระหว่างการออกกฎหมาย) ดังนี้

1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ สำหรับเงินได้ที่รับจากการปลดหนี้ของสถาบันการเงิน 

2. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจ และเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน สำหรับการโอนทรัพย์สิน การขายสินค้า และการกระทำตราสาร 

3. กำหนดให้การจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งเป็นสถาบันการเงินสำหรับหนี้ที่สถาบันการเงินได้ปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ตามมาตรการ ให้กระทำได้โดยไม่ต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ในข้อ 4 ข้อ 5 หรือข้อ 6 แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๘๖ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้

ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด 

85. มาตรการนี้แตกต่างจากการตีทรัพย์ชำระหนี้ตามปกติอย่างไร

​โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ต่างจากการตีทรัพย์ชำระหนี้ตามปกติ เนื่องจากมีการกำหนดแนวทาง การคำนวณราคาซื้อคืนไว้ชัดเจน และให้โอกาสลูกหนี้รายเดิมมาซื้อคืนก่อนเป็นลำดับแรกในราคาที่กำหนดไว้ โดยระหว่างอยู่ในโครงการ ลูกหนี้ยังสามารถเช่าทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อดำเนินธุรกิจต่อไปได้ พร้อมกับได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย ในขณะที่การตีทรัพย์ชำระหนี้ทั่วไปนั้น สถาบันการเงินมีสิทธิที่จะขายทรัพย์ให้กับใครก็ได้ที่ราคาตลาด   

86. ผู้ประกอบธุรกิจที่สนใจเข้าร่วมมาตรการต้องดำเนินการอย่างไร

​ผู้ประกอบธุรกิจที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดและสนใจเข้าร่วมมาตรการสามารถติดต่อสถาบันการเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจใช้บริการอยู่เพื่อพิจารณาตามหลักเกณฑ์ภายในของสถาบันการเงินแห่งนั้นต่อไป 

87. ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้ารับการช่วยเหลือทั้งมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ในช่วงเวลาเดียวกันได้หรือไม่

​ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเข้าร่วมทั้งมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูและโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ได้ในช่วงเวลาเดียวกัน หากมีคุณสมบัติครบตามที่ พ.ร.ก. กำหนด 

​88. เมื่อสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินหลักประกันจากผู้ประกอบธุรกิจแล้ว ผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นความรับผิดในภาระหนี้สินหรือไม่ และในกรณีที่มีภาระสินเชื่อคงเหลือหลังการรับโอนทรัพย์ ภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันยังคงอยู่หรือไม่

เมื่อสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินหลักประกันจากผู้ประกอบธุรกิจแล้ว ถือว่าหนี้ระหว่างผู้ประกอบธุรกิจและสถาบันการเงินได้สิ้นสุดลง ดังนั้น ผู้ค้ำประกันเป็นอันหลุดพ้นจากความรับผิด แต่หากภายหลังการโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้กับสถาบันการเงินแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจยังมีภาระหนี้เหลืออยู่ ผู้ค้ำประกันยังคงมีภาระการค้ำประกันในหนี้ดังกล่าวอยู่ต่อไป 
ทั้งนี้ เป็นไปตามข้อตกลงและเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญาค้ำประกัน



​89. หากสถาบันการเงินรับโอนทรัพย์สินหลักประกันหมู่บ้านจัดสรรจากผู้ประกอบธุรกิจ ธปท. มีแนวทางผ่อนผันให้สถาบันการเงินสามารถรับโอนใบอนุญาตจัดสรรที่ดินด้วยหรือไม่ เนื่องจากการรับโอนดังกล่าวอาจเข้าข่ายการประกอบธุรกิจอื่นนอกเหนือจากธุรกิจปกติของสถาบันการเงิน และหากไม่สามารถรับโอนได้อาจกระทบต่อการขายทรัพย์สินหลักประกันให้บุคคลอื่นในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจ หรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันไม่ประสงค์จะใช้สิทธิซื้อคืน

​ใบอนุญาตประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินหลักประกัน ภายใต้โครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ที่สถาบันการเงินจะรับโอนจากลูกหนี้จะไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินหลักประกันที่ลูกหนี้โอนเพื่อชำระหนี้ โดยสถาบันการเงินสามารถรับโอนใบอนุญาตเหล่านั้นได้ หากเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจของสถาบันการเงินที่มีวัตถุประสงค์เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อมูลค่าทรัพย์ที่รับโอนมาจากลูกหนี้ตามโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ และไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ. ธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551

อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินไม่สามารถประกอบธุรกิจตามใบอนุญาตประกอบกิจการที่รับโอนดังกล่าว เช่น กรณีการรับโอนใบอนุญาตทำการจัดสรรที่ดิน สถาบันการเงินไม่สามารถแยกขายบ้านหรือที่ดินในโครงการจัดสรรแก่ผู้ที่สนใจซื้อเป็นรายแปลงย่อย หรือจัดทำสาธารณูปโภคเพิ่มเติม หรือกรณีการรับโอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงแรม สถาบันการเงินก็ไม่สามารถเปิดดำเนินการโรงแรมให้เข้าพักได้ เช่นเดียวกับกรณีการรับโอนใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน สถาบันการเงินก็ไม่สามารถประกอบกิจการโรงงานต่อไปได้ เป็นต้น

90. หากทรัพย์สินหลักประกันที่ตีโอนให้สถาบันการเงินเกิดความเสียหายระหว่างที่สถาบันการเงินถือครองหรือปล่อยเช่าให้กับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ประกอบธุรกิจ เช่น ไฟไหม้ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเรียกร้องความเสียหายกับสถาบันการเงินได้หรือไม่ 

​ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินจะตกลงกัน

91. ภาษีและค่าธรรมเนียมต่อไปนี้ได้รับยกเว้นภายใต้มาตรการพักทรัพย์ พักหนี้ หรือไม่

91.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือภาษีอื่น ๆ เช่น ภาษีธุรกิจเฉพาะ ภาษีมูลค่าเพิ่ม อากรแสตมป์สัญญาเช่า ที่เกี่ยวข้องกับ carrying cost รายได้ค่าเช่าทรัพย์สินหรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาทรัพย์สินและค่าใช้จ่ายอื่นที่สถาบันการเงินได้จ่ายจริงเพื่อดูแลรักษาทรัพย์สิน ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจจ่ายให้สถาบันการเงิน 

91.2 ค่าธรรมเนียมการเช่าร้อยละ 1 ของค่าเช่าทั้งหมด กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจใช้สิทธิเช่าทรัพย์สินกลับมาทำธุรกิจ และเช่าตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พร้อมทั้งจดทะเบียนการเช่ากับกรมที่ดิน




สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจ และเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมตามข้อ 82 ทั้งนี้ ไม่รวมถึงภาษีอื่นที่เกี่ยวข้องกับ carrying cost รายได้ค่าเช่าทรัพย์สินหรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาทรัพย์สิน ค่าใช้จ่ายอื่นที่สถาบันการเงินได้จ่ายจริงเพื่อดูแลรักษาทรัพย์สิน ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจจ่ายให้สถาบันการเงินภายใต้มาตรการ และค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการเช่า

​92. ผู้ประกอบธุรกิจหรือเจ้าของทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันที่ได้จดจำนองเรือกับกรมเจ้าท่า ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจำนองและค่าธรรมเนียมอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินเหมือนการจดจำนองที่ดินกับกรมที่ดินหรือไม่

​ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจำนอง ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ และค่าธรรมเนียมการโอนทรัพย์สิน ได้รับยกเว้นครอบคลุมถึงกรมเจ้าท่าด้วย 

​93. ตาม พ.ร.บ. การประกอบธุรกิจสถาบันการเงิน มาตรา 80 (2) กำหนดว่า “...ห้ามมิให้สถาบันการเงินกระทำการ ซื้อหรือมีไว้ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ เว้นแต่ (ข) เป็นการได้มาจากการชำระหนี้ การประกันการให้สินเชื่อ การซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่สถาบันการเงินนั้นรับจำนองไว้จากการขายทอดตลาดโดยคำสั่งศาลหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แต่ต้องจำหน่ายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวภายใน 5 ปี นับแต่วันที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตกเป็นของสถาบันการเงิน...”

แต่เมื่อพิจารณาจากประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งระบุไว้ในหมวด 8 การกำหนดสิทธิในที่ดินของคนต่างด้าว และหมวด 9 การกำหนดสิทธิในที่ดินของนิติบุคคลบางประเภทแล้ว กลับไม่ปรากฏบทบัญญัติของกฎหมายที่อนุญาตให้สถาบันการเงินต่างประเทศสามารถถือครองที่ดินได้ตามกฎหมายสาขาของสถาบันการเงินต่างประเทศที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการสามารถดำเนินการได้โดยไม่ขัดกับหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายที่ดินหรือไม่ 

​กรณีสาขาของ ธพ. ต่างประเทศจะถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้หรือไม่นั้น นอกจากจะพิจารณาการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินตาม ป.ที่ดิน ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปแล้ว ยังต้องพิจารณาตามกฎหมายเฉพาะว่ามีบทบัญญัติที่ให้บุคคลซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายเฉพาะดังกล่าวสามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ด้วยหรือไม่ตามนัยของมาตรา 3 (2) แห่ง ป.ที่ดิน ซึ่งในกรณีของสาขาของ ธพ. ต่างประเทศนั้น ปัจจุบันมาตรา 80 (2) (ข) แห่ง พ.ร.บ. สง. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์และการถือครองอสังหาริมทรัพย์ไว้เป็นการเฉพาะในทำนองเดียวกับมาตรา 12 (4) (ข) และมาตรา 12 ตรี แห่ง พ.ร.บ. ธพ. และมาตรา 33 (9) แห่ง พ.ร.บ.ประกันชีวิตฯ จึงพิจารณาได้ว่าสาขาของ ธพ. ต่างประเทศ สามารถถือครองที่ดินที่ได้มาจากการรับชำระหนี้ตามมาตรการ asset warehousing ได้ ตามมาตรา 80 (2) (ข) แห่ง พ.ร.บ. สง. และประกาศ ธปท. ที่เกี่ยวข้อง โดยไม่ติดขัดในเรื่องการถือครองที่ดินของคนต่างด้าวตาม ป.ที่ดิน

​94. สถาบันการเงินสามารถจัดทำสัญญามาตรฐานรับโอนทรัพย์สินหลักประกันตามมาตรการเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจลงนามได้เลยหรือไม่ หรือต้องนำส่งให้ ธปท. พิจารณาก่อน

​ขอให้สถาบันการเงินจัดส่งร่างสัญญามาตรฐานรับโอนทรัพย์สินหลักประกันตามมาตรการให้ ธปท. พิจารณาก่อนผ่านทางอีเมล์ DP-RPD2@bot.or.th เมื่อ ธปท. พิจารณาเสร็จสิ้นแล้ว จึงจะสามารถนำสัญญาดังกล่าวใหผู้ประกอบธุรกิจลงนามก่อนเข้ามาตรการได้ 

1 - 101

ตอบทุกคำถามกับ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ (สินเชื่อฟื้นฟู)

ค้นหา
คำถาม คำตอบ
01 คุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจที่สามารถเข้ารับความช่วยเหลือตามมาตรการ

1. ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มใดบ้างที่เข้าเงื่อนไขตามมาตรการ

  1. ผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอสินเชื่อตามมาตรการไม่เกิน 500 ล้านบาท ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 หรือไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 
    ทั้งนี้ ไม่รวมถึงวงเงินตามภาระผูกพันและวงเงินสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค อันหมายความถึง วงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ วงเงินสินเชื่อบัตรเครดิต วงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และวงเงินสินเชื่อเช่าซื้อ เว้นแต่เป็นวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ

  2. กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ต้องไม่เป็นลูกหนี้ NPL ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ของสถาบันการเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอสินเชื่อตามมาตรการ (การจัดชั้นพิจารณาเป็นรายลูกหนี้ ลูกหนี้ที่เป็น NPL หลังวันที่ 31 ธันวาคม 2562 สามารถยื่นขอสินเชื่อตามมาตรการนี้ได้ ทั้งนี้ ขึ้นกับการพิจารณาของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง)

  3. ไม่เป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน

  4. ไม่เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เว้นแต่เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI)

เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทย ที่มีสถานประกอบการและประกอบธุรกิจในประเทศไทย โดยไม่ต้องพิจารณาสัดส่วนการถือหุ้น

2. ผู้ประกอบธุรกิจที่จะยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟู รวมผู้ประกอบธุรกิจในธุรกิจสถาบันการเงินด้วยหรือไม่ เช่น สถาบันการเงิน บริษัทประกัน บริษัทหลักทรัพย์ สหกรณ์ เป็นต้น

​ประเภทองค์กรของผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ ได้แก่

  • องค์กรทางการไทย เช่น รัฐบาลกลาง (กระทรวง, ทบวง และกรมของรัฐบาลไทย) รัฐบาลท้องถิ่น (เช่น เทศบาล, สุขาภิบาล, องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น, เทศพาณิชย์ที่มิได้ดำเนินการในรูปบริษัท เป็นต้น) รัฐวิสาหกิจ และองค์การของรัฐ
  • หน่วยงานรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นที่ดำเนินการในรูปบริษัทฯ
  • สถาบันการเงินในประเทศ เช่น ธนาคารพาณิชย์ไทย ธนาคารพาณิชย์ไทยเพื่อรายย่อย ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ สาขาธนาคารต่างประเทศ สำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศ สถาบันการเงินพิเศษของรัฐ สำนักงานผู้แทนธนาคารต่างประเทศ บริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บริษัทเครดิตฟองซิเอร์
  • ธุรกิจการเงินต่าง ๆ เช่น ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพภายใต้การกำกับที่มิใช่สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจลิสซิ่ง ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อ ผู้ประกอบธุรกิจ factoring ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อราย่อยระดับจังหวัด (pico finance) บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ออมทรัพย์ ชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์ บริษัทบริหารสินทรัพย์ โรงรับจำนำ
    ทั้งนี้ไม่รวมถึง บุคคลรับอนุญาตให้แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Money Changer) เนื่องจากไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการปล่อยกู้สินเชื่อ
  • กองทุนต่าง ๆ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนเงินทดแทน
  • องค์กรที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อหากำไร เช่น วัด มูลนิธิ สมาคม โรงเรียนรัฐบาล มหาวิทยาลัยรัฐบาล เนื่องจากวัตถุประสงค์การจัดตั้งองค์กรดังกล่าวไม่ได้จัดตั้งขึ้น

เพื่อการประกอบธุรกิจ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีลักษณะเป็นโรงเรียนเอกชน มหาวิทยาลัยเอกชน และวิสาหกิจชุมชน สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้

3. การนับวงเงินของผู้ประกอบธุรกิจที่เข้ามาตรการสินเชื่อฟื้นฟูของ ธปท. 

​3.1 ครอบคลุมสินเชื่อประเภทใดบ้าง เช่น เงินกู้ระยะยาว, O/D, P/N, T/R, สินเชื่อเพื่อการค้า (trade finance), soft loan ของธนาคารออมสิน, สินเชื่อเช่าซื้อ fleet เพื่อการประกอบธุรกิจ

​3.1 ขอบเขตของสินเชื่อภายใต้มาตรการนี้ครอบคลุมสินเชื่อธุรกิจทุกประเภท แต่ไม่นับรวมวงเงินตามภาระผูกพันและวงเงินสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค เว้นแต่เป็นวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจ

​3.2 ถ้าวงเงินถูก hold จะต้องนับเป็นวงเงินรวมตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูหรือไม่

​3.2 นับจากวงเงินรวมที่สถาบันการเงินอนุมัติและรายงาน DMS ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 

​3.3 กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินเกิน 500 ล้านบาท ต่อมาทยอยผ่อนชำระหนี้ทำให้มียอดหนี้คงเหลือ 300 ล้านบาท ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถเข้าร่วมมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​3.3 ผู้ประกอบธุรกิจที่สามารถเข้ารับความช่วยเหลือตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู วงเงินสินเชื่อธุรกิจที่มีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งต้องไม่เกิน 500 ล้านบาท ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 หรือไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ในกรณีดังกล่าวผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถเข้ามาตรการสินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากมีวงเงินเกินกว่าที่เกณฑ์กำหนด

​3.4 วงเงินรวมของสินเชื่อธุรกิจครอบคลุมสินเชื่อบัตรเครดิตเพื่อธุรกิจ และค่าเบี้ยประกัน หรือค่าธรรมเนียมอื่นที่สถาบันการเงินออกให้ลูกหนี้ล่วงหน้าหรือไม่

​3.4 กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอยู่กับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ในการนับวงเงินให้นับรวมถึงวงเงินสินเชื่อบัตรเครดิตเพื่อธุรกิจด้วย แต่ไม่ครอบคลุมค่าเบี้ยประกันหรือค่าธรรมเนียมอื่นที่สถาบันการเงินออกให้ลูกหนี้ล่วงหน้า

​3.5 การนับวงเงินรวมของผู้ประกอบธุรกิจ นับรวมสินเชื่อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) ด้วยหรือไม่

​3.5 หากเป็น MRTA ที่ทำเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อธุรกิจ ให้นับรวมวงเงิน MRTA ดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ไม่นับรวม MRTA สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

​3.6 วงเงินสินเชื่อธุรกิจตามมาตรการ นับรวมวงเงินภาระผูกพันหรือไม่

​3.6 ไม่นับรวมวงเงินภาระผูกพันประเภทวงเงินค้ำประกัน ตราสารอนุพันธ์ ทั้งนี้ หากสถาบันการเงินไม่สามารถแยกวงเงิน letter of credit กับ trust receipt ให้นับทั้งวงเงินเป็นวงเงินสินเชื่อตาม พ.ร.ก. นี้

​3.7 วงเงินสินเชื่อ nano หรือ micro finance สามารถนำมายื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​3.7 การนับวงเงินรวม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ครอบคลุมวงเงินสินเชื่อ nano finance และ micro finance และสามารถนำวงเงินดังกล่าวมายื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้

​4. ในการขอสินเชื่อฟื้นฟู สถาบันการเงินยังคงต้องพิจารณาเครดิตของลูกค้าหรือไม่ และเมื่อสถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อและยื่นเรื่องมาที่ ธปท. แล้ว ธปท. จะต้องอนุมัติตามที่สถาบันการเงินยื่นเรื่องมาทุกรายหรือไม่ รวมทั้ง กรณีผู้ประกอบธุรกิจที่ยื่นเรื่องเข้าเกณฑ์คุณสมบัติตามที่ ธปท. กำหนด แต่ไม่ผ่านหลักเกณฑ์ภายในของสถาบันการเงิน สถาบันการเงินสามารถปฏิเสธการอนุมัติสินเชื่อได้หรือไม่

​หากผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด ผู้ประกอบธุรกิจต้องยื่นความจำนงมาที่สถาบันการเงินก่อน ซึ่งสถาบันการเงินจะเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติและวงเงินสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ภายในและเมื่อสถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติสินเชื่อและยื่นเรื่องมาที่ ธปท. แล้ว ธปท. มีสิทธิที่จะปฏิเสธการให้สินเชื่อฟื้นฟู ในกรณีที่ ธปท. ตรวจสอบแล้วพบว่าคุณสมบัติของผู้ประกอบธุรกิจไม่เป็นไปตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด แต่หากสถาบันการเงินมีข้อมูลชี้แจงเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อ RM เพื่อให้ ธปท. ตรวจสอบคุณสมบัติเพิ่มเติมได้ 

ในกรณีที่สถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูให้กับผู้ประกอบธุรกิจและผู้ประกอบธุรกิจประสงค์ที่จะขอทราบเหตุผลของการที่สถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อ ให้สถาบันการเงินชี้แจงให้ผู้ประกอบธุรกิจทราบเหตุผลการปฏิเสธสินเชื่อดังกล่าวอย่างชัดเจนตามหนังสือที่ ธปท. ฝนส. (21) ว. 71/2553 เรื่องการชี้แจงเหตุผลของการไม่อนุมัติสินเชื่อเป็นลายลักษณ์อักษร

​5. การนับวงเงินรวมของผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งไม่เกิน 500 ล้านบาท ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ครอบคลุมวงเงิน soft loan เดิมหรือไม่

​การพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบธุรกิจและการกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูพิจารณาบนฐานวงเงินสินเชื่อธุรกิจทั้งหมดรวมวงเงิน soft loan เดิมของผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายที่มีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง 

​6. การนับวงเงินรวมกรณีผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินกู้ร่วม 

ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สถาบันการเงินแห่งหนึ่งให้สินเชื่อแก่บริษัท A และบริษัท B ประกอบด้วย วงเงินกู้เดี่ยวในนามบริษัท A จำนวน 100 ล้านบาท และวงเงินกู้ร่วมในนามบริษัท A และบริษัท B จำนวน 500 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 บริษัท A และบริษัท B ไม่มีวงเงินกับสถาบันการเงินดังกล่าว

​การนับวงเงินรวมของผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินกู้เดี่ยวและกู้ร่วม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 หากผู้ประกอบธุรกิจมีความประสงค์ขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในนามผู้กู้เดี่ยว ให้นับวงเงินกู้เดี่ยวรวมกับวงเงินกู้ร่วมตามสัดส่วนความรับผิดในหนี้ (prorate) ของผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวที่กำหนดในสัญญา โดยวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งต้องไม่เกิน 500 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สถาบันการเงินสามารถอนุมัติวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจในนามผู้กู้เดี่ยวที่มายื่นขอกู้ หรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท ทั้งนี้ ไม่รวมวงเงินสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค

​6.1 บริษัท A สามารถกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​6.1 บริษัท A มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมเท่ากับ 350 ล้านบาท (100 + (500/2)) โดยสามารถยื่นขอกู้ในนามบริษัท A ได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท (max [(30% × 100), 50])

​6.2 บริษัท B สามารถกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​6.2 บริษัท B มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ โดยสามารถยื่นขอกู้ในนามบริษัท B ในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท เมื่อนับรวมทุกสถาบันการเงิน หากบริษัท B ไม่มีวงเงินสินเชื่ออยู่กับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564

​6.3 บริษัท A + บริษัท B สามารถกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​6.3 บริษัท A + บริษัท B มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมเท่ากับ 500 ล้านบาท โดยสามารถยื่นขอกู้ในนามบริษัท A + บริษัท B ได้ไม่เกิน 150 ล้านบาท (max [(30% × 500), 50])

​6.4 หากบริษัท A มีวงเงินกู้เดี่ยว 400 ล้านบาท บริษัท A สามารถกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​6.4 บริษัท A ไม่มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมเท่ากับ 650 ล้านบาท (400 + (500/2)) เกิน 500 ล้านบาท

​6.5 หากบริษัท A บริษัท B และบริษัท C มีวงเงินกู้ร่วมอีก 300 ล้านบาท บริษัท A + บริษัท B สามารถกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

6.5 บริษัท A + บริษัท B ไม่มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมเท่ากับ 700 ล้านบาท [500 + (2/3 × 300)] เกิน 500 ล้านบาท

​6.6 หากบริษัท A บริษัท C และบริษัท D มีวงเงินกู้ร่วมอีก 300 ล้านบาท บริษัท A + บริษัท B สามารถกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​6.6 บริษัท A + บริษัท B มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมเท่ากับ 500 ล้านบาท ไม่ต้อง prorate จากวงเงินกู้ร่วมบริษัท A + บริษัท C + บริษัท D เนื่องจากบริษัท A + บริษัท B ไม่ได้เป็น subset ของวงเงินดังกล่าว โดยสามารถยื่นขอกู้ในนามบริษัท A + บริษัท B ได้ไม่เกิน 150 ล้านบาท (max [(30% × 500), 50])


 



​7.การนับวงเงินรวมกรณีผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินร่วม 

ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สถาบันการเงินแห่งหนึ่งให้สินเชื่อวงเงินร่วมแก่บริษัท A บริษัท B และบริษัท C โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 บริษัทไม่มีวงเงินกับสถาบันการเงินดังกล่าว การนับวงเงินรวมและการกำหนดวงเงินจะพิจารณาอย่างไร

​การนับวงเงินรวมของผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินร่วม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ให้นับวงเงินร่วมตามสัดส่วนความรับผิดในหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจแต่ละราย (sublimit) ที่กำหนดในสัญญา แต่ต้องไม่เกิน 500 ล้านบาท

ทั้งนี้ สถาบันการเงินสามารถอนุมัติวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อตามสัดส่วนความรับผิดในหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายที่มายื่นขอกู้ (sublimit) หรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูของผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายรวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินร่วม หรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท

ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจที่มีทั้งวงเงินเดี่ยวและวงเงินร่วม สถาบันการเงินสามารถอนุมัติวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินรวมทั้งหมด หรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท

​7.1 บริษัท A มีวงเงิน P/N จำนวน 300 ล้านบาท และวงเงิน O/D จำนวน 300 ล้านบาท แต่ใช้ได้รวมกันไม่เกิน 400 ล้านบาท

​7.1 บริษัท A มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมนับตามจำนวนที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกใช้ได้เท่ากับ 400 ล้านบาท โดยสามารถยื่นขอกู้ในนามบริษัท A ได้ไม่เกิน 120 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 400 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) 

​7.2 บริษัท A บริษัท B และบริษัท C มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนใช้ร่วมกันไม่เกิน 1,200 ล้านบาท โดยไม่ได้กำหนด sublimit แต่ละราย

​7.2 บริษัท A บริษัท B และบริษัท C ไม่มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมนับตามจำนวนที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายเบิกใช้ได้เท่ากับ 1,200 ล้านบาท เกิน 500 ล้านบาท 

​7.3 บริษัท A บริษัท B และบริษัท C มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนใช้ร่วมกันไม่เกิน 1,200 ล้านบาท โดยกำหนด sublimit แต่ละรายให้บริษัท A ใช้ได้ไม่เกิน 800 ล้านบาท บริษัท B ใช้ได้ไม่เกิน 600 ล้านบาท และบริษัท C ใช้ได้ไม่เกิน 400 ล้านบาท

​7.3 บริษัท A และบริษัท B ไม่มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมนับตามจำนวนที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายเบิกใช้ได้เท่ากับ 800 ล้านบาท และ 600 ล้านบาท ตามลำดับ เกิน 500 ล้านบาท แต่บริษัท C มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ โดยสามารถยื่นขอกู้ได้ไม่เกิน 120 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 400 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า)

​7.4 บริษัท A บริษัท B และบริษัท C มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนใช้ร่วมกันไม่เกิน 400 ล้านบาท โดยกำหนด sublimit แต่ละรายให้บริษัท A ใช้ได้ไม่เกิน 200 ล้านบาท บริษัท B ใช้ได้ไม่เกิน 200 ล้านบาท และบริษัท C ใช้ได้ไม่เกิน 200 ล้านบาท

​7.4 บริษัท A บริษัท B และบริษัท C มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมนับตามจำนวนที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายเบิกใช้ได้เท่ากับ 200 ล้านบาท โดยสามารถยื่นขอกู้ได้ในนามบริษัท A บริษัท B หรือบริษัท C รายละไม่เกิน 60 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 200 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 120 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 400 ล้านบาท หรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า)

​7.5 บริษัท A และบริษัท B มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนใช้ร่วมกันไม่เกิน 100 ล้านบาท

​7.5 บริษัท A และบริษัท B มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมนับตามจำนวนที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายเบิกใช้ได้เท่ากับ 100 ล้านบาท โดยสามารถยื่นขอกู้ได้ในนามบริษัท A หรือบริษัท B รวมกันแล้วไม่เกิน 50 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 100 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) 

​7.6 บริษัท A มีวงเงินสินเชื่อเดี่ยว 100 ล้านบาท และบริษัท A และ บริษัท B มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนใช้ร่วมกันไม่เกิน 40 ล้านบาท

​7.6 บริษัท A และบริษัท B มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมนับตามจำนวนที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายเบิกใช้ได้เท่ากับ 140 ล้านบาท และ 40 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสามารถยื่นขอกู้ได้ในนามบริษัท A ได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 140 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) หรือบริษัท B ได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 40 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 80 ล้านบาท (สิทธิส่วนวงเงินเดี่ยวของบริษัท A จำนวน 30 ล้านบาท รวมกับสิทธิส่วนวงเงินร่วมของบริษัท A และบริษัท B อีก 50 ล้านบาท)

​7.7 บริษัท A และบริษัท B มีวงเงินสินเชื่อเดี่ยวรายละ 40 ล้านบาท และบริษัท A และ บริษัท B มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนใช้ร่วมกันไม่เกิน 40 ล้านบาท

​7.7 บริษัท A และบริษัท B มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมนับตามจำนวนที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายเบิกใช้ได้เท่ากับ 80 ล้านบาท โดยสามารถยื่นขอกู้ได้ในนามบริษัท A หรือบริษัท B ได้รายละไม่เกิน 50 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 80 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) 

​7.8 บริษัท A มีวงเงินสินเชื่อเดี่ยว 200 ล้านบาท บริษัท B มีวงเงินสินเชื่อเดี่ยว 100 ล้านบาท และบริษัท A และ บริษัท B มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนใช้ร่วมกันไม่เกิน 40 ล้านบาท

​7.8 บริษัท A และบริษัท B มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมนับตามจำนวนที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายเบิกใช้ได้เท่ากับ 240 ล้านบาท และ 140 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสามารถยื่นขอกู้ได้ในนามบริษัท A ได้ไม่เกิน 72 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 240 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) หรือบริษัท B ได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 140 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) 

​7.9 บริษัท A มีวงเงินสินเชื่อเดี่ยว 90 ล้านบาท บริษัท B มีวงเงินสินเชื่อเดี่ยว 80 ล้านบาท และบริษัท A และ บริษัท B มีวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนใช้ร่วมกันไม่เกิน 100 ล้านบาท

​7.9 บริษัท A และบริษัท B มีคุณสมบัติสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการนับวงเงินรวมนับตามจำนวนที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายเบิกใช้ได้เท่ากับ 190 ล้านบาท และ 180 ล้านบาท ตามลำดับ โดยสามารถยื่นขอกู้ได้ในนามบริษัท A ได้ไม่เกิน 57 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 190 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) หรือบริษัท B ได้ไม่เกิน 54 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 180 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า) แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 81 ล้านบาท (สิทธิส่วนวงเงินเดี่ยวของบริษัท A จำนวน 27 ล้านบาท รวมกับสิทธิส่วนวงเงินเดี่ยวของบริษัท B จำนวน 24 ล้านบาท และสิทธิส่วนวงเงินร่วมของบริษัท A และบริษัท B อีก 30 ล้านบาท)

​8. หากเกณฑ์ภายในของสถาบันการเงินจัดลูกค้าอยู่ในกลุ่ม corporate เพื่อการบริหารจัดการดูแล ผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถเข้าร่วมมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​หากผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเข้าร่วมมาตรการได้ อย่างไรก็ตาม ขอให้สถาบันการเงินพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจที่มีขนาดกลางและขนาดย่อมก่อน และต้องไม่มีลักษณะเป็นการให้สินเชื่อฟื้นฟูแก่ผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ (large corporate) ที่มีศักยภาพและความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนอยู่แล้ว

​9. ผู้ประกอบธุรกิจต่างชาติที่จดทะเบียนในประเทศไทยหรือบริษัทที่ถือหุ้นโดยต่างชาติ สามารถเข้ามาตรการสินเชื่อฟื้นฟู ได้หรือไม่

​บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่จดทะเบียนในประเทศไทยที่มีสถานประกอบการและประกอบธุรกิจในประเทศไทยสามารถเข้าร่วมมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูได้ โดยไม่ต้องพิจารณาสัดส่วนการถือหุ้น

​10. สินเชื่อที่นำที่อยู่อาศัยหรือรถยนต์มาเป็นหลักประกัน หรือสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่กู้ในนามนิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดา ที่เป็นสินเชื่อเชิงพาณิชย์หรือสินเชื่อธุรกิจ (commercial) ซึ่งระบุวัตถุประสงค์เพื่อใช้ประกอบธุรกิจ หรือเพื่อใช้ในกิจการ สามารถเข้าร่วมมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้หรือไม่

หากสถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อที่นำที่อยู่อาศัยหรือรถยนต์มาเป็นหลักประกัน หรือสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ในลักษณะที่เป็นสินเชื่อเชิงพาณิชย์ สินเชื่อธุรกิจ เพื่อใช้ในกิจการ หรือเพื่อประกอบธุรกิจ สินเชื่อดังกล่าวเข้าข่ายเป็นสินเชื่อธุรกิจที่สามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้ตามหลักเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนด โดยสถาบันการเงินต้องชี้แจงและนำส่งเอกสารหลักฐานตามกฎหมายยืนยันวัตถุประสงค์การให้สินเชื่อดังกล่าวมาให้ ธปท. ประกอบการพิจารณา เช่น ใบคำขอ เอกสารพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ (CA) สัญญาเงินกู้ เป็นต้น แต่หากสถาบันการเงินอนุมัติสินเชื่อในนามนิติบุคคลหรือรายงานเป็นสินเชื่อธุรกิจมายัง ธปท. สินเชื่อดังกล่าวถือเป็นสินเชื่อธุรกิจ สถาบันการเงินไม่จำเป็นต้องนำส่งเอกสารหลักฐานยืนยันวัตถุประสงค์การให้สินเชื่อมาให้ ธปท.


ทั้งนี้ หากผู้ประกอบธุรกิจมีสินเชื่อที่มีลักษณะดังกล่าว ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ในระบบสถาบันการเงิน จะไม่สามารถเข้ายื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้ เว้นแต่สถาบันการเงินจะพิสูจน์โดยใช้เอกสารตามกฎหมายอ้างอิงได้ว่าสินเชื่อดังกล่าวไม่ใช่สินเชื่อธุรกิจ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสัญญาเงินกู้จะไม่ได้ระบุว่าสินเชื่อดังกล่าวเป็นสินเชื่อธุรกิจ แต่สถาบันการเงินอาจพิสูจน์หลักฐานอื่นเพิ่มเติม เช่น ใบคำขอ เอกสารพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ (CA) ที่ระบุว่าผู้ประกอบธุรกิจนำสินเชื่อดังกล่าวไปซื้อทรัพย์สินเพื่อใช้ส่วนตัวหรือใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค

​11. หากผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งก่อนการควบกิจการ การนับวงเงินสินเชื่อ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จะพิจารณาแยกนับตามสถาบันการเงินแต่ละแห่งหรือนับรวมเป็นแห่งเดียวกัน

​กรณีที่สถาบันการเงินที่จะให้สินเชื่อฟื้นฟูมีการควบรวมกิจการกับสถาบันการเงินอื่น หรือรับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนที่สำคัญจากสถาบันการเงินอื่นตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน การนับวงเงินสินเชื่อจะนับตามวงเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจมีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งก่อนการควบกิจการ หรือรับโอนกิจการ ที่ไม่เกิน 500 ล้านบาท ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564

ทั้งนี้ ให้สถาบันการเงินที่จะให้กู้ยืม ให้สินเชื่อแยกตามวงเงินสินเชื่อที่ผู้ประกอบธุรกิจมีอยู่กับแต่ละสถาบันการเงินก่อนมีการควบกิจการ หรือรับโอนกิจการ แต่วงเงินสินเชื่อที่สถาบันการเงินจะให้กู้ยืมรวมกันต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท

​12. ถ้าผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินเดิม ภายหลังผู้ประกอบธุรกิจต้องการหันมาใช้วงเงินอีกประเภทชั่วคราว สถาบันการเงินจึงกันวงเงินเดิมเพื่อออกวงเงินใหม่ก่อนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 โดยที่ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวยังมี exposure กับสถาบันการเงินเท่าเดิม วงเงินเดิมที่ถูกกันไว้และวงเงินใหม่จะต้องนับวงเงินรวมอย่างไร 

12.1 กันวงเงิน O/D เดิม 20 ล้านบาท เพื่อออกวงเงิน P/N ใหม่ 20 ล้านบาท
12.2 กันวงเงิน O/D เดิม 20 ล้านบาท เพื่อออกวงเงิน L/G ใหม่ 20 ล้านบาท
12.3 กันวงเงิน L/G เดิม 20 ล้านบาท เพื่อออกวงเงิน O/D ใหม่ 20 ล้านบาท



​การนับวงเงินรวมและการกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูกรณีดังกล่าวให้พิจารณาตามวงเงินรวมที่ได้รับอนุมัติ 20 ล้านบาท โดยไม่รวมภาระผูกพัน ตามแนวทางการนับวงเงินรวมข้อ 7.1

​13. ผู้ประกอบธุรกิจได้รับอนุมัติวงเงิน 60 ล้านบาท แต่สามารถเบิกใช้ได้เพียง 40 ล้านบาท เนื่องจากสถาบันการเงินกำหนดเงื่อนไขวงเงินที่เบิกใช้ได้ผันแปรตามยอดขายของผู้ประกอบธุรกิจ การนับวงเงินรวมจะคำนวณอย่างไร

​นับจากวงเงินรวมที่สถาบันการเงินอนุมัติและรายงาน DMS ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ซึ่งกรณีดังกล่าวนับวงเงินรวม 60 ล้านบาท

14. การนับวงเงินกรณีลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขก่อนการเบิก (condition precedent) หรือปฏิบัติได้บางส่วน จะต้องนับวงเงินรวมที่ได้รับอนุมัติหรือวงเงินที่ตั้งในระบบ

14.1 กรณีที่ลูกหนี้ได้รับวงเงินสินเชื่อเดิม แต่สถาบันการเงินมีเงื่อนไขให้ลูกหนี้สามารถเบิกวงเงินได้ตามมูลค่าหลักประกันที่ลูกหนี้นำมาจดจำนองกับสถาบันการเงิน ส่งผลให้สถาบันการเงินตั้งวงเงินในระบบและรายงานมา DMS เท่ากับวงเงินที่มีหลักประกันเท่านั้น เช่น ลูกหนี้ได้รับอนุมัติวงเงินเดิมรวม 520 ล้านบาท แต่นำหลักประกันมาจดจำนอง 200 ล้านบาท ทำให้สถาบันการเงินตั้งวงเงินในระบบเพียง 200 ล้านบาท

14.2 กรณีที่ลูกหนี้ได้รับอนุมัติวงเงินรวมเกิน 500 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขก่อนการเบิก (condition precedent)  อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ลูกหนี้ยังไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นได้ สถาบันการเงินจึงยังไม่ตั้งวงเงินดังกล่าวในระบบภายในของสถาบันการเงินและไม่ได้รายงานใน DMS

14.3 กรณีสถาบันการเงินอนุมัติกรอบวงเงินสินเชื่อเช่าซื้อ fleet ให้กับผู้ประกอบธุรกิจ แต่สถาบันการเงินอาจทยอยตั้งวงเงินในระบบและรายงานมา DMS เป็นวงเงิน fleet ย่อย ตามรถแต่ละคันที่จดจำนำ ซึ่งรวมแล้วอาจมีวงเงินไม่เท่ากับกรอบวงเงินใหญ่ที่อนุมัติ

การนับวงเงินรวมให้พิจารณาตามวงเงินรวมที่สถาบันการเงินอนุมัติและทำสัญญาเงินกู้กับผู้ประกอบธุรกิจแล้ว ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แต่หากผู้ประกอบธุรกิจยังปฏิบัติตาม condition precedent ได้เพียงบางส่วน และระยะเวลาการปฏิบัติตามเงื่อนไขสิ้นสุดแล้ว ส่งผลให้เบิกใช้ได้ตามเงื่อนไขที่ปฏิบัติได้ ตามจำนวนวงเงินที่ตั้งในระบบ ให้นับตามวงเงินที่ตั้งในระบบ ณ วันดังกล่าว

ทั้งนี้ การกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูให้ใช้หลักการเดียวกับการนับวงเงินรวม โดยพิจารณา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 หรือ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

15. สถาบันการเงินรายงานวงเงินสินเชื่อของผู้ประกอบธุรกิจใน DMS ตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติและทำสัญญาเงินกู้กับผู้ประกอบธุรกิจ 20 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สถาบันการเงินมีการทบทวนวงเงินดังกล่าวและปรับลดวงเงินในระบบภายในตามยอดหนี้คงค้างที่เหลืออยู่ 15 ล้านบาท โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงวงเงินในสัญญาเงินกู้ การนับวงเงินรวม
จะนับตามวงเงินในสัญญาเงินกู้หรือวงเงินคงเหลือตามระบบภายใน

การนับวงเงินรวมให้พิจารณาตามวงเงินที่สถาบันการเงินอนุมัติและทำสัญญาเงินกู้กับผู้ประกอบธุรกิจ แต่หาก ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สถาบันการเงินพิจารณาอนุมัติปรับเพิ่มลดวงเงินตามสัญญาเงินกู้ ให้นับตามวงเงินภายหลังการปรับเพิ่มลดดังกล่าว ทั้งนี้ ไม่รวมถึงกรณีที่สถาบันการเงินพิจารณาปรับเพิ่มลดวงเงินตามยอดหนี้คงค้างในระบบภายใน โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงวงเงินตามสัญญาเงินกู้กับผู้ประกอบธุรกิจ ในกรณีดังกล่าวให้นับวงเงินรวม 20 ล้านบาท ตามวงเงินในสัญญาเงินกู้

​16. หากผู้ประกอบธุรกิจชำระหนี้หมดแล้วก่อนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แต่สถาบันการเงินยังไม่ได้ล้างวงเงินออกจากระบบ ส่งผลให้ข้อมูล DMS ยังมีวงเงินดังกล่าวอยู่ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถนำวงเงินดังกล่าวมายื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้หรือไม่ 

ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจชำระหนี้ทั้งหมดและไม่สามารถเบิกใช้วงเงินสินเชื่อได้แล้ว แต่สถาบันการเงินยังไม่ได้ล้างวงเงินออกจากระบบ เนื่องจากสัญญาการให้สินเชื่อยังไม่ระงับสิ้นไป ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ด้วยเหตุที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือสถาบันการเงินยังคงมีหน้าที่อื่น ๆ ที่ต้องดำเนินการตามที่กำหนดในสัญญาให้แล้วเสร็จ เช่น อยู่ระหว่างไถ่ถอนหลักประกัน ถือได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจยังมีวงเงินกับสถาบันการเงินอยู่ จึงสามารถนำวงเงินดังกล่าวมายื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้

ทั้งนี้ กรณีที่สัญญาระหว่างผู้ประกอบธุรกิจและสถาบันการเงินระงับไปแล้ว เช่น มีการโอนภาระหนี้ไปวงเงินสัญญาอื่นแล้ว หรือไม่ได้มีข้อผูกพันต้องดำเนินการตามสัญญาอีก เพียงแต่สถาบันการเงินยังไม่ดำเนินการล้างวงเงินออกจากระบบ ต้องถือว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินอีกต่อไป




​17. ผู้ประกอบธุรกิจได้รับวงเงินชั่วคราว 40 ล้านบาท และเบิกใช้เต็มจำนวน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อย่างไรก็ตาม วงเงินชั่วคราวหมดอายุวันที่ 31 มกราคม 2564 แต่มียอดหนี้คงค้าง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และสถาบันการเงินไม่ได้รายงานวงเงินดังกล่าวใน DMS ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวมีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้เดิมหรือไม่ และหากเข้าเกณฑ์ วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูพิจารณาอย่างไร

​สถาบันการเงินต้องรายงานจำนวนวงเงินของลูกหนี้ใน DMS ไม่น้อยกว่าจำนวนยอดหนี้คงค้าง หากสถาบันการเงินรายงานจำนวนวงเงินใน DMS น้อยกว่าจำนวนยอดหนี้คงค้าง ให้สถาบันการเงินส่งเอกสารหลักฐานเพื่อยืนยันว่าลูกหนี้รายดังกล่าวมีวงเงิน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และมีคุณสมบัติตามประกาศ ธปท. ผ่านเจ้าหน้าที่สัมพันธ์ (RM) ที่ดูแลสถาบันการเงินดังกล่าว 

​18. กรณีที่นิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดามีวงเงินกู้เดี่ยวแต่ไม่มีวงเงินกู้ร่วม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 หากต่อมานิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดายื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในนามผู้กู้ร่วม จะถือว่าเป็นการยื่นกู้ในฐานะลูกหนี้รายเดิมหรือลูกหนี้รายใหม่  

​กรณีที่นิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดาไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินทุกแห่งหรือมีเฉพาะวงเงินกู้เดี่ยวแต่ไม่มีวงเงินกู้ร่วม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 หากต่อมานิติบุคคลหรือบุคคลธรรมดายื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในนามผู้กู้ร่วม จะถือว่าเป็นการยื่นกู้ในฐานะลูกหนี้รายใหม่ ซึ่งสถาบันการเงินจะเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติและวงเงินสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ภายใน


19. หากลูกหนี้กู้ร่วมรายหนึ่งเสียชีวิต ส่งผลให้ลูกหนี้กู้ร่วมอีกรายต้องรับสภาพหนี้ส่วนที่เหลือ หรือลูกหนี้กู้ร่วมหย่ากัน โดยศาลมีคำพิพากษาแบ่งทรัพย์สินและตกลงแบ่งสภาพหนี้คนละครึ่ง ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นขอกู้เดี่ยวสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้หรือไม่ 

  • กรณีลูกหนี้กู้ร่วมรายหนึ่งเสียชีวิต เนื่องจากลูกหนี้ร่วมไม่สามารถมีหรือใช้วงเงินได้โดยลำพังแต่จะต้องร่วมกับลูกหนี้ร่วมรายอื่นเท่านั้น แม้ว่าลูกหนี้ร่วมรายหนึ่งจะเสียชีวิตและลูกหนี้รายที่ยังมีชีวิตอยู่รับสภาพหนี้ส่วนที่เหลือก็ตาม หนี้ร่วมดังกล่าวก็ไม่ได้ระงับไปด้วยความตายของลูกหนี้ร่วม แต่จะตกทอดเป็นกองมรดกของลูกหนี้ร่วมที่เสียชีวิต ดังนั้น หากลูกหนี้ข้างต้นมาขอสินเชื่อฟื้นฟูโดยการยื่นขอกู้เดี่ยว โดยที่ไม่เคยกู้เดี่ยวมาก่อน จึงต้องพิจารณาว่าเป็นกรณีลูกหนี้ใหม่
  • กรณีลูกหนี้กู้ร่วมที่เป็นสามีภริยาหย่ากัน แม้ว่าศาลจะมีคำพิพากษาแบ่งทรัพย์สินและตกลงสภาพหนี้คนละครึ่ง แต่การแบ่งทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าวเป็นเพียงการแบ่งระหว่างสามีภริยาที่หย่าร้างกัน ซึ่งไม่กระทบต่อความผูกพันในฐานะลูกหนี้ร่วม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ดังนั้น หากลูกหนี้ข้างต้นมาขอสินเชื่อฟื้นฟูโดยการยื่นขอกู้เดี่ยวโดยที่ไม่เคยกู้เดี่ยวมาก่อน จึงต้องพิจารณาว่าเป็นกรณีลูกหนี้ใหม่เช่นเดียวกัน

​20. ผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนแปลงประเภทนิติบุคคลหรือเปลี่ยนแปลงชื่อภายหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ส่งผลให้ customer ID เปลี่ยนไป ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวสามารถขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้หรือไม่ 

กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูแต่มีการเปลี่ยนแปลง customer ID ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้ โดยให้สถาบันการเงินส่งเอกสารหลักฐานการเปลี่ยนแปลงเพื่อยืนยันว่าผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวเป็นรายเดิมที่มีข้อมูลใน DMS ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ผ่านเจ้าหน้าที่สัมพันธ์ (RM) ที่ดูแลสถาบันการเงินดังกล่าว

​21. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงิน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แต่ปัจจุบันได้ชำระหนี้ปิดวงเงินไปแล้ว ถือว่าผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติยื่นขอสินเชื่อตามมาตรการในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้หรือไม่ 

21.1 ปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวไม่มีวงเงินกับสถาบันการเงิน

21.2 ปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวมีเฉพาะวงเงินสินเชื่อธุรกิจใหม่ที่ได้รับอนุมัติภายหลังเดือนกุมภาพันธ์ 2564

21.3 ปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวมีเฉพาะวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคล แต่ไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจ


แม้ว่าปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจได้ชำระหนี้ปิดวงเงินไปแล้ว แต่หากมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอยู่กับสถาบันการเงินที่จะให้กู้ยืม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และมีคุณสมบัติอื่นตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวสามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้ โดยวงเงินที่กู้ยืมต้องไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจหรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 3 กรณีดังกล่าว สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้

​22. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แต่ปัจจุบันมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงิน ถือว่าผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติยื่นขอสินเชื่อตามมาตรการในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้หรือไม่ 

แม้ว่าปัจจุบันผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงิน แต่หากไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอยู่กับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และมีคุณสมบัติอื่นตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวสามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้ โดยวงเงินที่ให้กู้ยืมต้องไม่เกินรายละ 50 ล้านบาท เมื่อนับรวมทุกสถาบันการเงิน

​23. ผู้ประกอบธุรกิจที่จดทะเบียนบริษัทภายหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ไม่เกิน 50 ล้านบาท เมื่อนับรวมวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินทุกแห่งได้หรือไม่

​ผู้ประกอบธุรกิจที่จดทะเบียนบริษัทภายหลังวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้ หากผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติอื่นตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด

​24. กรณีผู้ประกอบธุรกิจเป็น NPL

​24.1 หากผู้ประกอบธุรกิจถูกจัดประเภทเป็น NPL (จัดชั้นเชิงคุณภาพ) ตามประกาศของ ธปท. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ในขณะที่ยังชำระเงินปกติ ผู้ประกอบธุรกิจรายนี้สามารถเข้าร่วมในโปรแกรมนี้ได้หรือไม่ 

​24.1 กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และเป็น NPL ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ไม่มีคุณสมบัติที่จะรับความช่วยเหลือตามมาตรการนี้ ขอให้ยึดข้อมูลการจัดชั้นลูกหนี้ที่สถาบันการเงินรายงาน DMS ให้ ธปท. ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 

​24.2 ผู้ประกอบธุรกิจที่ยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิม มีวงเงินกับสถาบันการเงิน 3 แห่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 แต่เป็น NPL กับสถาบันการเงินอื่นที่ไม่ใช่สถาบันการเงินที่ขอกู้สินเชื่อฟื้นฟู ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูกับสถาบันการเงินที่ไม่จัดชั้นเป็น NPL ได้หรือไม่

​24.2 การพิจารณาคุณสมบัติประกอบธุรกิจ พิจารณาแยกแต่ละสถาบันการเงิน ดังนั้น สถาบันการเงินที่ยังไม่จัดชั้นลูกหนี้เป็น NPL ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562  ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอเข้ามาตรการสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิมผ่านสถาบันการเงินดังกล่าวได้

​24.3 ผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่มีวงเงินกับสถาบันการเงินแห่งใดเลย ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แต่เคยเป็นลูกหนี้จัดชั้น NPL ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง สามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่กับสถาบันการเงินดังกล่าวได้หรือไม่

​24.3 ประกาศ ธปท. ไม่ได้กำหนดหลักเกณฑ์พิจารณาการจัดชั้นลูกหนี้ NPL ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ ทั้งนี้ หากผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติอื่นตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด สถาบันการเงินจะเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติและวงเงินสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ภายใน

​25. ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นลูกหนี้รายเดิม มีวงเงินกับสถาบันการเงินหลายบัญชี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​25.1 มีบัญชีวงเงินสินเชื่ออุปโภคบริโภคจัดชั้น NPL ในขณะที่บัญชีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอื่นจัดชั้นปกติ

​25.1 หากผู้ประกอบธุรกิจมีบัญชีวงเงินสินเชื่ออุปโภคบริโภคจัดชั้น NPL ในขณะที่บัญชีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอื่นจัดชั้นปกติ ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการพิจารณาสินเชื่อฟื้นฟูไม่นับรวมวงเงินอุปโภคบริโภค

25.2 มีบัญชีวงเงินสินเชื่อธุรกิจหนึ่งจัดชั้น NPL ในขณะที่บัญชีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอื่นจัดชั้นปกติ

​25.2 หากผู้ประกอบธุรกิจมีบัญชีวงเงินสินเชื่อธุรกิจหนึ่งจัดชั้น NPL ในขณะที่บัญชีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอื่นจัดชั้นปกติ ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวไม่สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากการพิจารณาจัดชั้นพิจารณาเป็นรายลูกหนี้ ไม่ใช่รายบัญชี

​26. ผู้ประกอบธุรกิจที่มีสินเชื่อ fleet card เพื่อให้ผู้บริหารใช้ แต่ไม่มีสินเชื่อธุรกิจอื่นกับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้หรือไม่ 

- กรณีผู้ประกอบธุรกิจไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินทุกแห่ง แต่มีเฉพาะวงเงิน fleet card ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ให้พิจารณาลักษณะการใช้วงเงิน fleet card ที่ผ่านมา หากมีลักษณะการใช้แบบเงินทดรองจ่าย เมื่อครบกำหนด
ก็จ่ายชำระคืนโดยไม่เสียดอกเบี้ย สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้ ทั้งนี้ เมื่อยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟู ขอให้สถาบันการเงินนำส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้ ธปท. เช่น statement 6 เดือนย้อนหลังนับจากวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เพื่อยืนยันลักษณะการใช้วงเงิน fleet card ดังกล่าว และสถาบันการเงินต้องแจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจทราบว่าจะไม่สามารถใช้สิทธิ์วงเงินดังกล่าวในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้อีก

- กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอยู่กับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ในการนับวงเงินให้นับรวมถึงวงเงินสินเชื่อ fleet card ด้วย 

​27. ผู้ประกอบธุรกิจที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลกับเจ้าหนี้และผ่อนชำระตามเงื่อนไขที่ตกลงได้เป็นปกติ ยังดำเนินธุรกิจอยู่สามารถจะขอเข้ารับการช่วยเหลือและขอสินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่ 

​ผู้ประกอบธุรกิจที่มีคุณสมบัติตามที่ พ.ร.ก. กำหนด สามารถยื่นขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูได้

​28. กรณีผู้ประกอบธุรกิจเป็นบุคคลธรรมดาและขอเงินกู้เพื่อนำไปให้บริษัทในกลุ่มกู้ยืมต่อ (ซึ่งได้รับผลกระทบจาก COVID-19 เช่น กิจการโรงแรม) 

28.1 กรณีที่บริษัทในกลุ่มไม่เข้าเกณฑ์มาตรการนี้ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอเข้ามาตรการนี้ได้หรือไม่

28.2 กรณีที่บริษัทในกลุ่มเข้าเกณฑ์และขอกู้ตามมาตรการนี้ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอกู้เพิ่มให้บริษัทในกลุ่มด้วยได้หรือไม่

การพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบธุรกิจเป็นการพิจารณาแต่ละราย หากผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวผ่านคุณสมบัติตามที่กำหนด ก็สามารถเข้ามาตรการสินเชื่อฟื้นฟูได้ โดยมีวัตถุประสงค์ของการใช้สินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องในการประกอบธุรกิจ ลดผลกระทบต่อการจ้างงาน และฟื้นฟูการประกอบธุรกิจ

​29. กรรมการบริษัทสามารถขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในนามกรรมการแทนในนามบริษัทได้หรือไม่

​ได้ หากกรรมการบริษัทท่านนี้ ขอสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อนำไปใช้ในการประกอบธุรกิจและมีคุณสมบัติอื่นตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด 

​30. ผู้ประกอบธุรกิจที่มีลักษณะเป็น holding company จดทะเบียนในประเทศไทยและมีรายได้หลักจากเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทลูกที่ประกอบธุรกิจและจดทะเบียนในต่างประเทศ สามารถเข้ามาตรการสินเชื่อฟื้นฟูโดยนำเงินที่ได้ไปช่วยเหลือบริษัทลูกที่ต่างประเทศได้หรือไม่

ผู้ประกอบธุรกิจที่มีลักษณะเป็น holding company มีรายได้หลักมาจากเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทลูกเท่านั้น ไม่ว่าจะมีรายได้จากในประเทศหรือนอกประเทศ แต่ไม่ได้ประกอบธุรกิจอื่นใด ไม่สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากมาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประคับประคองกิจการและรักษาการจ้างงานภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอน แต่หากบริษัทลูกประกอบธุรกิจและจดทะเบียนในประเทศไทยและมีคุณสมบัติอื่นตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด และต้องการใช้สินเชื่อฟื้นฟู สามารถยื่นขอกู้ได้โดยตรง 

​31. ผู้ประกอบธุรกิจกิจการร่วมค้า (joint venture) หรือกิจการค้าร่วม (consortium) ที่มีองค์ประกอบนิติบุคคลหลายแห่งรวมกัน การนับวงเงินรวมและการกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูใช้หลักการเดียวกับวงเงินกู้ร่วมหรือไม่

กิจการร่วมค้าหรือกิจการค้าร่วมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจร่วมกันชั่วคราวและเมื่องานนั้นทำเสร็จสิ้นลงก็จะถือว่าการร่วมค้าหรือค้าร่วมนั้นยุติลงด้วย การนับวงเงินรวมและการกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูใช้หลักการเดียวกับวงเงินกู้ร่วม

​32. ผู้ประกอบธุรกิจแพลตฟอร์ม Peer to Peer lending ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินที่ไม่มีคุณสมบัติขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูหรือไม่ 

​ผู้ประกอบธุรกิจ Peer to Peer lending ที่มีลักษณะการให้สินเชื่อโดยใช้เงินของตัวเอง เข้าข่ายเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน ไม่มีคุณสมบัติขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูตามประกาศ ธปท. แต่หากเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีลักษณะการให้บริการระบบหรือเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์เท่านั้น โดยไม่เข้าข่ายเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูตามประกาศ ธปท. ได้

​33. ผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าหรือตัวแทนบริษัทประกันชีวิต มีคุณสมบัติขอยื่นสินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

ผู้ประกอบธุรกิจนายหน้าหรือตัวแทนบริษัทประกันชีวิต มีคุณสมบัติขอยื่นกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้  อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบธุรกิจประกันชีวิตหรือประกันภัยเข้าข่ายเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน ไม่มีคุณสมบัติขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูตามประกาศ ธปท.

​34. ผู้ประกอบธุรกิจบริษัทติดตามทวงหนี้รับงานจากสถาบันการเงินและมีสินเชื่อกับสถาบันการเงิน สามารถขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูนี้ได้หรือไม่

ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ หากมีคุณสมบัติตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด

​35. ผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 กับบริษัทในเครือสถาบันการเงินหรือ Non-bank เช่น บริษัทลีสซิ่ง สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูกับบริษัทดังกล่าวในฐานะลูกหนี้รายเดิมได้หรือไม่ 

ขอบเขตการบังคับใช้ของ พ.ร.ก. ครอบคลุมเฉพาะสถาบันการเงินที่เป็นธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 กับบริษัทในเครือสถาบันการเงินหรือ Non-bank จึงไม่ถือว่ามีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงิน ทั้งนี้ หากผู้ประกอบธุรกิจไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอื่นกับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเข้าร่วมมาตรการในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้ โดยผ่านการขอสินเชื่อฟื้นฟูจากสถาบันการเงินที่ระบุข้างต้น ไม่สามารถกู้ยืมโดยตรงจากบริษัทในเครือสถาบันการเงินหรือ Non-bank ได้

​36. กรณีลูกหนี้ประกอบธุรกิจทางการเงินและธุรกิจอื่น

​36.1 หากลูกหนี้ประกอบธุรกิจหลักขายสินค้า แต่ประกอบธุรกิจรองที่มีลักษณะคล้ายผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน เช่น ประกอบธุรกิจหลักขายรถยนต์ แต่มีธุรกิจรองให้เช่าซื้อ (leasing) หรือประกอบธุรกิจหลักขายเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่มีบริการจ่ายชำระเป็นเงินผ่อน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกับลูกค้า ลูกหนี้สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​36.1 หากรายได้จากการจำหน่ายสินค้า เช่น รถยนต์ มากกว่ารายได้จากธุรกิจทางการเงินถือว่าธุรกิจหลักไม่ใช่ธุรกิจทางการเงินและผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติอื่นตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวสามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูได้

​36.2 หากสหกรณ์การเกษตรประกอบธุรกิจตัวกลางทางการเงินและประกอบธุรกิจซื้อวัตถุดิบมาจำหน่ายให้แก่สมาชิกด้วยต้นทุนต่ำ รวบรวม แปรรูป และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สหกรณ์การเกษตรดังกล่าวมีคุณสมบัติขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่ หากได้ การนับวงเงินจะนับวงเงินสินเชื่อธุรกิจทั้งหมดหรือนับเฉพาะวงเงินสินเชื่อธุรกิจเพื่อประกอบธุรกิจการค้า

​36.2 สหกรณ์การเกษตรซึ่งประกอบธุรกิจทั้งตัวกลางทางการเงินและประกอบธุรกิจทางการค้าควบคู่ไปด้วย และได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ก็เข้าข่ายขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูเพื่อไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจทางการค้าได้ โดยสถาบันการเงินต้องมีฐานข้อมูลและสามารถคัดกรองการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจการค้า และต้องควบคุมติดตามให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเงินไปใช้ให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ขอกู้ การนับวงเงิน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ไม่เกิน 500 ล้านบาท จะนับทั้งวงเงินสินเชื่อสำหรับเป็นตัวกลางทางการเงินและวงเงินสินเชื่อสำหรับประกอบธุรกิจการค้า

สำหรับวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่จะให้ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นลูกหนี้เดิมแต่ละรายไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อหรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า จะนับเฉพาะวงเงินที่ใช้สำหรับประกอบธุรกิจการค้าเท่านั้น

​37. กรณีผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าในลักษณะสัญญาเช่า ถือเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินหรือไม่

37.1 ผู้ประกอบธุรกิจขายสินค้าเป็นลักษณะสัญญาเช่า โดยจะทำสัญญาเช่าระยะยาวเป็นเวลา 3-6 ปี เมื่อหมดสัญญาแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจจะนำสินค้าเหล่านั้นกลับคืนจากผู้เช่าเพื่อนำมาปล่อยเช่าต่อให้แก่ผู้เช่ารายใหม่ โดยกรรมสิทธิ์ของสินค้ายังเป็นของผู้ประกอบธุรกิจ ไม่มีการโอนให้ผู้เช่าเมื่อหมดสัญญา

37.2 ผู้ประกอบธุรกิจเป็นบริษัทรับจ้างวางระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อออกแบบวางระบบแล้ว บางครั้งผู้ซื้อจะขอให้วางระบบพร้อมเช่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วย โดยอุปกรณ์ต่าง ๆ เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ประกอบธุรกิจ ไม่ได้โอนให้ผู้ซื้อ

กรณีผู้ประกอบธุรกิจผลิตสินค้าและบริการเป็นธุรกิจหลัก แต่ขายสินค้าในลักษณะสัญญาเช่า ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวไม่เข้าข่ายเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินตามประกาศ ธปท. และสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้

​38. ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ประกอบธุรกิจยังไม่เป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แต่ต่อมาภายหลัง ผู้ประกอบธุรกิจได้รับอนุมัติจาก ตลท. ให้นำหุ้นสามัญเข้าจดทะเบียนใน SET ได้ แต่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวมีคุณสมบัติที่จะได้รับสินเชื่อฟื้นฟูตาม พ.ร.ก. และประกาศของ ธปท. หรือไม่




​การพิจารณาลักษณะของผู้ประกอบธุรกิจตามประกาศ ธปท. ที่ สกส1. 1/2564 ข้อ 4.6 (1.5) ต้องพิจารณา ณ วันที่ ธปท. พิจารณาเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน โดยการที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับอนุมัติจาก ตลท. ให้นำหุ้นสามัญออกขายใน SET ย่อมถือได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวสามารถจะมีหลักทรัพย์ที่ได้รับการจดทะเบียนออกขายใน ตลท. ได้แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ที่สามารถหาแหล่งเงินได้โดยวิธีทางตลาดทุน จึงถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจที่มีลักษณะที่ไม่อาจได้รับสินเชื่อฟื้นฟูได้ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ยื่นคำขอ (filing) เข้าจดทะเบียนและอยู่ระหว่างการพิจารณาจาก ตลท. มีคุณสมบัติขอยื่นกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนที่ ตลท. จะอนุมัติหรือไม่ จึงยังไม่อาจถือได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจจะสามารถหาแหล่งเงินได้โดยวิธีทางตลาดทุน หากภายหลังการรับเงินกู้สินเชื่อฟื้นฟูแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่ระหว่าง filing ได้รับอนุมัติให้เข้าจดทะเบียนและนำหุ้นสามัญออกขายใน SET ได้ ก็ไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังนั้นมาใช้พิจารณาลักษณะของผู้ประกอบธุรกิจที่จะได้รับสินเชื่อฟื้นฟูไปแล้วได้ สถาบันการเงินไม่ต้องคืนเงินกู้ยืมดังกล่าวให้ ธปท. 


​39. บริษัทที่ถูกเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียน (delisted) ออกจาก SET แล้ว แต่ชื่อบริษัทยังเป็น บมจ. มีคุณสมบัติเข้าเงื่อนไขตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูหรือไม่ 

ให้พิจารณาสถานะ ณ วันที่ ธปท. พิจารณาเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน หากบริษัทถูกเพิกถอนหลักทรัพย์จดทะเบียนออกจาก SET แล้ว สามารถยื่นกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ แต่หากผู้ประกอบธุรกิจยังอยู่ระหว่างดำเนินการเพิกถอน ย่อมถือได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวยังมีหลักทรัพย์ที่ได้รับการจดทะเบียนออกขายใน ตลท. ซึ่งแสดงให้เห็นว่ายังเป็นผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ที่สามารถหาแหล่งเงินได้โดยวิธีทางตลาดทุน จึงถือได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวมีลักษณะที่ไม่อาจได้รับสินเชื่อสินเชื่อฟื้นฟูได้ 

​40. สถาบันการเงินยื่นคำขอสินเชื่อฟื้นฟูมายัง ธปท. ให้แก่บริษัท ก และได้รับอนุมัติวงเงิน ต่อมา บริษัท ก และบริษัทในกลุ่มได้ควบรวมกิจการเป็น 1 บริษัท ในนามบริษัท ข โดยได้ดำเนินการโอนย้ายทรัพย์สิน หนี้สิน บุริมสิทธิ์ การดำเนินการด้านนิติกรรม รวมถึงเริ่มดำเนินธุรกรรมกับสถาบันการเงินในนามบริษัท ข ในภายหลัง สถาบันการเงินสามารถโอนย้ายวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูของบริษัท ก ไปยัง บริษัท ข ซึ่งเป็นบริษัทใหม่ที่ยังไม่มีภาระหนี้กับสถาบันการเงินได้หรือไม่

เมื่อมีการควบบริษัทจำกัดเข้าด้วยกัน บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นจากการควบบริษัทนั้นย่อมได้ไป ทั้งสิทธิและความรับผิดทั้งหมดที่มีอยู่กับบริษัทเดิมที่ได้มาควบรวมเข้าด้วยกัน ตามมาตรา 1243 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นเดียวกับกรณีการควบบริษัทมหาชนที่ควบกันและจดทะเบียนแล้วย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของบริษัทเหล่านั้นทั้งหมด ตามมาตรา 153 แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 

ดังนั้น เมื่อมีการควบบริษัทเข้าด้วยกัน บริษัทใหม่ดังกล่าวย่อมได้รับทั้งสิทธิและความรับผิดบรรดามีอยู่แก่บริษัทเดิมด้วย ซึ่งรวมถึงสิทธิหน้าที่ในฐานะลูกหนี้เดิมของสถาบันการเงิน เพราะฉะนั้น สถาบันการเงินจึงสามารถโอนย้ายวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ได้รับไปยังบริษัทใหม่ได้

41. การนับวงเงินรวมกรณีสถาบันการเงินกันวงเงินของผู้ประกอบธุรกิจรายหนึ่ง (ระงับการใช้วงเงินชั่วคราว) ไปออกวงเงินให้ผู้ประกอบธุรกิจอีกรายก่อนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 

41.1. บริษัท A มีวงเงิน O/D จำนวน 10 ล้านบาท ต่อมาสถาบันการเงินกันวงเงินดังกล่าวไปออกวงเงิน O/D จำนวน 10 ล้านบาท ให้บริษัท B โดยที่บริษัท A และบริษัท B เป็นบริษัทในกลุ่มเดียวกัน ทั้งนี้เมื่อกันวงเงินให้บริษัท B แล้ว บริษัท A จะไม่สามารถใช้วงเงินได้ชั่วคราว ในขณะที่บริษัท B จะสามารถใช้วงเงินได้ 10 ล้านบาท 

41.2 บริษัท A และบริษัท B มีวงเงินสินเชื่อใช้ร่วมกันไม่เกิน 35 ล้านบาท โดยบริษัท A มี sub limit จำนวน 35 ล้านบาท และบริษัท B มี sub limit จำนวน 35 ล้านบาท ต่อมาสถาบันการเงินกันวงเงิน sub limit ของบริษัท A จำนวน 35 ล้านบาท ไปออกวงเงิน P/N ของบริษัท B จำนวน 20 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัท A สามารถใช้วงเงินได้ชั่วคราวเพียง 15 ล้านบาท ในขณะที่บริษัท B สามารถใช้วงเงิน sub limit และวงเงิน P/N รวมกันได้ 35 ล้านบาท 



​41.1 บริษัท A ยังคงมีวงเงินตามสัญญาสินเชื่อ 10 ล้านบาท เพียงแต่บริษัท A ไม่สามารถเบิกใช้วงเงินดังกล่าวได้เนื่องจากถูกกันไปให้บริษัท B เบิกใช้ได้ชั่วคราว แต่ถ้ามีการยกเลิกการกันวงเงินที่กันไว้เพียงชั่วคราวเมื่อใด บริษัท A ก็จะสามารถเบิกเงินได้ 10 ล้านบาท เช่นเดิม และบริษัท B ได้รับการกันวงเงินมา 10 ล้านบาท ดังนั้น ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จึงต้องถือว่าบริษัท B มีวงเงินอยู่กับสถาบันการเงิน 10 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัท A และ บริษัท B สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูรวมกันได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 10 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า)

41.2 หากมีการยกเลิกการกันวงเงินที่กันไว้เพียงชั่วคราวเมื่อใด บริษัท A และบริษัท B ก็ยังเบิกสินเชื่อได้ไม่เกิน sublimit ของตน และเบิกรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 35 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพดานของวงเงินร่วม ดังนั้น จึงถือว่าบริษัท A และบริษัท B มีวงเงินอยู่กับสถาบันการเงินรายละ 35 ล้านบาท ตาม sublimit ที่ตนมีสิทธิเบิกได้ แต่บริษัท A และบริษัท B สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูรวมกันได้ไม่เกิน 50 ล้านบาท (ร้อยละ 30 ของ 35 ล้านบาท หรือ 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า)




​42. บุคคลธรรมดาที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อฟื้นฟู สามารถโอนสภาพหนี้ไปให้นิติบุคคลผ่อนชำระต่อ เพื่อผลประโยชน์ทางภาษีตามนโยบายบัญชีเดียวได้หรือไม่ หากทำไม่ได้ กรณีที่สถาบันการเงินยินยอมโอนสภาพหนี้ตามความประสงค์ของผู้ประกอบธุรกิจแล้ว สถาบันการเงินจะต้องชำระเงินคืน ธปท. ภายในกี่วัน 

​การโอนหนี้ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้สินเชื่อฟื้นฟูจากบุคคลหนึ่งกลายเป็นอีกบุคคลหนึ่ง มีลักษณะเป็นการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ ซึ่งทำให้หนี้สินเชื่อฟื้นฟูของลูกหนี้เดิมต้องระงับสิ้นไปตามมาตรา 349 และมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ดังนั้น นับแต่วันที่การแปลงหนี้ใหม่มีผลบังคับ จะถือได้ว่าลูกหนี้เดิมไม่มีหนี้สินเชื่อฟื้นฟูอยู่กับสถาบันการเงินอีกต่อไป และถือเป็นการเข้าข่ายกรณีที่สถาบันการเงินได้รับชำระหนี้คืนทั้งหมด โดยมีลูกหนี้รายใหม่แทนและเป็นการปิดบัญชีของลูกหนี้เดิมสถาบันการเงิน จึงต้องชำระหนี้คืน ธปท. ภายใน 30 วันนับแต่วันที่การแปลงหนี้ใหม่มีผลบังคับ ตามข้อ 4.8 (1) ของประกาศ ธปท. ที่ สกส1.2/2563 

ทั้งนี้ ในส่วนของหนี้ที่ได้มีการโอนไปแล้วและลูกหนี้ที่ได้รับโอนหนี้จากการแปลงหนี้ใหม่จะไม่อยู่ภายใต้มาตรการตาม พ.ร.ก. 




​43. ผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินแต่ได้โอนภาระหนี้สินดังกล่าวให้บุคคลอื่นก่อนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 และไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ทุกแห่ง สามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้หรือไม่

​ผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินแต่ได้โอนภาระหนี้สินดังกล่าวให้บุคคลอื่นเสร็จสิ้นก่อนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ถือได้ว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินแล้ว และหากไม่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินอื่น ๆ ทุกแห่ง ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ได้

02 การกำหนดวงเงิน อัตราดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมตามมาตรการ

​44. ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ในวงเงินเท่าใด

​1. กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่ออยู่กับสถาบันการเงินที่จะให้กู้ยืม ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 วงเงินที่ให้กู้ยืมต้องไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อหรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท โดยวงเงินสินเชื่อให้คำนวณจากวงเงินสินเชื่อของผู้ประกอบธุรกิจที่มีอยู่กับสถาบันการเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 หรือ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า ทั้งนี้ ไม่รวมถึงวงเงินตามภาระผูกพันและวงเงินสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค 

หากผู้ประกอบธุรกิจข้างต้นเป็นผู้ได้รับสินเชื่อตาม พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 อยู่ก่อนแล้ว เมื่อรวมสินเชื่อดังกล่าวกับสินเชื่อตาม พ.ร.ก. ฉบับใหม่ต้องไม่เกินวงเงินสินเชื่อที่สถาบันการเงินสามารถให้ผู้ประกอบธุรกิจกู้ยืมตามวงเงินข้างต้น 

2. กรณีผู้ประกอบธุรกิจไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 วงเงินที่ให้กู้ยืมต้องไม่เกินรายละ 50 ล้านบาท เมื่อนับรวมทุกสถาบันการเงิน

​45. ระยะเวลาและอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อฟื้นฟูภายใต้ พ.ร.ก. มีรายละเอียดอย่างไร

​- ให้สถาบันการเงินชำระคืนเงินที่ได้กู้ยืมพร้อมดอกเบี้ยแก่ ธปท. ภายใน 5 ปีนับแต่วันที่ได้รับเงินกู้ สำหรับการกำหนดระยะเวลาเงินกู้ของผู้ประกอบธุรกิจ สามารถกำหนดได้นานกว่า 5 ปี หรือสอดคล้องกับระยะเวลาที่ บสย. ค้ำประกันก็ได้ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ เพียงแต่สถาบันการเงินจะรับการช่วยเหลือและชดเชยตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่สัญญาเงินกู้ยืมมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ หลังระยะเวลา 5 ปี สถาบันการเงินสามารถพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจต่อได้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยตามต้นทุนเงินและความเสี่ยงของสถาบันการเงิน

- ในช่วง 5 ปีแรกของสัญญากู้ยืมเงินที่สถาบันการเงินทำกับผู้ประกอบธุรกิจ สถาบันการเงินต้องคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยตลอดอายุสัญญา (simple average) ไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี 

ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 2 ปีแรกของสัญญา ให้คิดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี โดยในการทยอยเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ให้สถาบันการเงินพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ

ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องไม่เรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้ประกอบธุรกิจเป็นระยะเวลา 6 เดือนแรกนับแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับสินเชื่องวดแรกของการยื่นขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. แต่ละครั้ง (รัฐชดเชยดอกเบี้ย 6 เดือนแรกแทนผู้ประกอบธุรกิจ)

​46. มีเงื่อนไขควบคุมวัตถุประสงค์การใช้วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูหรือไม่

​มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประคับประคองกิจการและรักษาการจ้างงานภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอน อีกทั้งเพื่อให้สามารถฟื้นกิจการได้ไว ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจจึงสามารถขอสินเชื่อเพื่อเป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน (working capital) เช่น การชำระหนี้แก่เจ้าหนี้การค้า การจ่ายค่าแรงงาน หรือ term loan เพื่อต่อยอดธุรกิจ เช่น การต่อเติมโรงงาน การซื้อเครื่องจักร ทั้งสำหรับธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ โดยไม่สามารถนำเงินที่ได้รับไปชำระคืน soft loan เดิม หรือสินเชื่อที่มีอยู่เดิม 

​47. ประเภทของวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่อนุมัติให้กับผู้ประกอบธุรกิจ ครอบคลุมวงเงินประเภทใดบ้าง เช่น term loan, O/D, P/N, trade finance

​ไม่จำกัดประเภทวงเงิน โดยสถาบันการเงินต้องให้ตามความต้องการของผู้ประกอบธุรกิจ เช่น working capital หรือ term loan

​48. การตั้งวงเงินสินเชื่อฟื้นฟู

​48.1 กรณีมีวงเงินเดิมที่ลูกค้าไม่ได้ใช้ (unused credit line) สามารถเปลี่ยนมาเป็นวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่

​48.1 วงเงิน unused credit line สามารถเปลี่ยนมาเป็นวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อลดภาระดอกเบี้ยของผู้ประกอบธุรกิจได้ ทั้งนี้ ขอให้สถาบันการเงินพิจารณาตามความจำเป็นและจำนวนวงเงินที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีสภาพคล่องเพียงพอด้วย

​48.2 สถาบันการเงินต้องตั้งวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูแยกออกจากวงเงินกู้เดิมหรือไม่ หรือสามารถ ขยายจากวงเงินเดิมได้

​48.2 สถาบันการเงินต้องตั้งวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูเป็นวงเงินใหม่แยกออกจากวงเงินเดิมของผู้ประกอบธุรกิจ

​49. สถาบันการเงินสามารถกำหนดเงื่อนไขการผ่อนชำระเงินกู้สินเชื่อฟื้นฟูในรูปแบบของสถาบันการเงินเองได้หรือไม่ (ผ่อนชำระดอกเบี้ยทุกเดือนและชำระคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด / ผ่อนเป็นค่างวดเท่ากันทุกเดือน)

​การกำหนดเงื่อนไขการผ่อนชำระเงินกู้สินเชื่อฟื้นฟูขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจจะตกลงกัน ทั้งนี้ ขอให้คำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายด้วย 

​50. การกำหนดดอกเบี้ยสินเชื่อฟื้นฟูในอัตราเฉลี่ยตลอดอายุสัญญาไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ในช่วงระยะเวลา 5 ปีแรก โดยไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี ในช่วงระยะเวลา 2 ปีแรก นับจากวันที่ผู้ประกอบธุรกิจทำสัญญาเงินกู้หรือวันที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกใช้เงินกู้ครั้งแรก

​ให้นับจากวันที่สัญญาเงินกู้มีผลบังคับใช้

​51. การกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูให้กับผู้ประกอบธุรกิจไม่เกิน 150 ล้านบาท เป็นการพิจารณาวงเงินสินเชื่อรวมของกลุ่มธุรกิจและพิจารณาแยกสถาบันการเงินแต่ละแห่งหรือไม่

​การพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบธุรกิจและการกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูเป็นการพิจารณาแต่ละรายผู้ประกอบธุรกิจ และแต่ละรายสถาบันการเงิน เว้นแต่เป็นกรณีผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่มีวงเงินสินเชื่ออยู่กับสถาบันการเงินทุกแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 การกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟู ไม่เกินรายละ 50 ล้านบาท เป็นการพิจารณานับรวมวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินทุกแห่ง

​52. ผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 จำนวน 550 ล้านบาท แต่ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 มีวงเงินเหลือ 450 ล้านบาท ผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวมีคุณสมบัติสามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูได้หรือไม่ และวงเงินที่จะได้รับอนุมัติเป็นเท่าไร 

​- การพิจารณาคุณสมบัติผู้ประกอบธุรกิจในฐานะลูกหนี้รายเดิมที่จะเข้าร่วมมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูพิจารณาจากวงเงินสินเชื่อรวมของผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายที่มีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ไม่เกิน 500 ล้านบาท ทั้งนี้ ไม่นับรวมวงเงินตามภาระผูกพันและวงเงินสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค 

- ในกรณีดังกล่าว ผู้ประกอบธุรกิจมีคุณสมบัติยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูได้ เนื่องจาก ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 มีวงเงินรวม 450 ล้านบาท ไม่เกิน 500 ล้านบาท และสามารถยื่นขอกู้ได้ไม่เกิน 150 ล้านบาท เนื่องจากวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูต้องไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อ (30% × max (550,450) = 165 ล้านบาท) หรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า (165 ล้านบาท) แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท

​53. การคิดค่าธรรมเนียมกับผู้ประกอบธุรกิจที่ขอกู้สินเชื่อฟื้นฟู

​53.1 ในกรณีที่สถาบันการเงินเรียกหลักประกันเพิ่มจากผู้ประกอบธุรกิจ ค่าใช้จ่ายในการประเมินราคาสามารถเรียกเก็บจากลูกค้าได้หรือไม่

​53.1 สถาบันการเงินต้องไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ จากผู้ประกอบธุรกิจ ในช่วง 5 ปีแรกของสัญญากู้ยืมเงินภายใต้มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูนี้ ทั้งนี้ ไม่รวมถึงค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายให้บุคคลภายนอก เช่น ค่าอากรที่จ่ายให้หน่วยงานราชการ ค่าประเมินราคาที่จ่ายให้กับบริษัทประเมินราคาภายนอก

​53.2 หากสถาบันการเงินให้ผู้ประกอบธุรกิจทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงของสถาบันการเงิน สถาบันการเงินจะสามารถเรียกเก็บจากลูกค้าได้หรือไม่ 

​53.2 สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อได้ตามค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง แต่สถาบันการเงินต้องไม่บังคับทำประกันชีวิตและไม่กำหนดเป็นเงื่อนไขให้ได้รับการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อโดยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามประกาศ ธปท. ที่ สกส. 1/2561 เรื่อง การบริหารจัดการด้านการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม (Market Conduct) และประกาศ ธปท. ที่ สนส. 17/2551 เรื่องการอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจการประกันภัย

​53.3 สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากการปล่อยกู้สินเชื่อฟื้นฟูนอกจากดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 เช่น front-end fee ได้หรือไม่

​53.3 ตามประกาศ ธปท. ที่ สกส1.1/2564 ข้อ 4.6 (5) ในช่วง 5 ปีแรกของสัญญากู้ยืมเงินที่สถาบันการเงินทำกับผู้ประกอบธุรกิจ สถาบันการเงินต้องไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมใด ๆ รวมถึงดอกเบี้ยผิดนัดจากลูกหนี้ในส่วนสินเชื่อที่ให้ตามมาตรการ และต้องไม่กำหนดข้อสัญญาใดๆ ให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องชำระเบี้ยปรับ หรือค่าเสียหายแก่สถาบันการเงิน ในกรณีที่สถาบันการเงินปฏิบัติไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือเงื่อนไขในการรับเงินกู้ยืมจาก ธปท. จนเป็นเหตุให้ ธปท. เรียกเงินกู้ยืมดังกล่าวคืนจากสถาบันการเงิน

ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องไม่กำหนดในข้อสัญญาระหว่างสถาบันการเงินกับผู้ประกอบธุรกิจในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรกให้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตามประกาศ ธปท. ที่ สกส1.1/2564 ข้อ 4.7 (2)

​53.4 ในกรณีที่สถาบันการเงินเรียกหลักประกันเพิ่มจากผู้ประกอบธุรกิจ โดยใช้บริการบริษัทประเมินราคาซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่สถาบันการเงินถือหุ้นร้อยละ 100 บริษัทดังกล่าวถือเป็นบุคคลภายนอกที่สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากลูกค้าได้หรือไม่

​53.4 บริษัทประเมินราคาซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงินไม่ถือเป็นบุคคลภายนอกที่สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บค่าใช้จ่ายหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ จากผู้ประกอบธุรกิจภายใต้มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูนี้

​53.5 สถาบันการเงินสามารถคิดค่า prepayment fee สินเชื่อฟื้นฟูภายหลังปีที่ 5 ได้หรือไม่ 

​53.5 สถาบันการเงินต้องไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียม prepayment fee กับผู้ประกอบธุรกิจ ในช่วง 5 ปีแรกของสัญญากู้ยืมเงินและโดยปกติสถาบันการเงินจะคิดค่าธรรมเนียม prepayment fee สำหรับสินเชื่อทั่วไปในช่วงแรกของสัญญากู้ยืมเงิน ดังนั้น สถาบันการเงินจึงไม่ควรเรียกเก็บค่าธรรมเนียมดังกล่าวภายหลังระยะเวลาสินเชื่อฟื้นฟู

​53.6 ค่าธรรมเนียม management fee ที่ บสย. เรียกเก็บจากสถาบันการเงิน สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บต่อจากผู้ประกอบธุรกิจได้หรือไม่

​53.6 ปัจจุบัน บสย. ไม่ได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากสถาบันการเงิน ดังนั้น สถาบันการเงินจึงไม่สามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ประกอบธุรกิจได้ ซึ่งค่าธรรมเนียมดังกล่าวมีดังนี้ 

1. ค่าดำเนินการค้ำประกัน อัตราค่าดำเนินการค้ำประกัน 500 บาทต่อการออกหนังสือค้ำประกัน 1 ฉบับ ยกเว้น ค่าธรรมเนียมที่ผู้ประกอบธุรกิจหรือสถาบันการเงินประสงค์ให้แก้ไขหนังสือค้ำประกัน เช่น เปลี่ยนชื่อจากห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัด เป็นต้น

2. ค่าจัดการค้ำประกัน อัตราร้อยละ 0.50 ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อต่อครั้ง

3. ค่าธรรมเนียมการจ่ายค่าประกันชดเชย ในอัตราร้อยละ 2 ของจำนวนเงินค่าประกันชดเชยที่ บสย. จ่ายให้กับสถาบันการเงิน

​53.7 ในระหว่าง 5 ปีในช่วงเวลาการรับสินเชื่อฟื้นฟู หากสถาบันการเงินมีการกำหนดเงื่อนไขสัญญาให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายชำระต้นและดอกเบี้ยในระหว่างนี้ แต่ปรากฏว่าผู้ประกอบธุรกิจจ่ายชำระหนี้ไม่ได้จนเป็นหนี้ค้างชำระ ซึ่งสถาบันการเงินไม่สามารถคิดเบี้ยปรับผิดนัดได้ตามประกาศ ธปท. กำหนด อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บค่าติดตามทวงถามหนี้ที่เป็นต้นทุนการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้ได้หรือไม่

​53.7 สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการติดตามทวงถามหนี้ ตามจำนวนที่จ่ายไปจริงและสมควรแก่กรณีตามหลักเกณฑ์ของ ธปท. และ พ.ร.บ. การทวงถามหนี้ 

​54. การคำนวณวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่กำหนดว่าเมื่อรวมกับวงเงิน soft loan เดิม ต้องไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจหรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท หาก ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจ 400 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มีวงเงิน 300 ล้านบาท หากผู้ประกอบธุรกิจเคยได้รับอนุมัติวงเงิน soft loan เดิม 60 ล้านบาท จะสามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูได้ในวงเงินสูงสุดเท่าใด ตามแต่ละกรณีต่อไปนี้

1. เคยเบิกใช้ soft loan เต็มวงเงิน และยังไม่ได้ชำระคืนหรือปิดบัญชี

2. เคยเบิกใช้ soft loan จำนวน 30 ล้านบาท และวงเงินที่เหลืออีก 30 ล้านบาท ยังใช้ได้อยู่

3. เคยเบิกใช้ soft loan เต็มวงเงิน แต่ชำระหนี้ปิดบัญชีแล้ว

4. ได้รับอนุมัติและสถาบันการเงินได้เงินกู้จาก ธปท. ไปเต็มวงเงิน 60 ล้านบาท แต่เบิกไปเพียง 30 ล้านบาท เท่านั้น ลูกหนี้ขอคืนวงเงินส่วนที่เหลือและสถาบันการเงินได้คืนเงิน soft loan ส่วนที่เหลือแก่ ธปท. แล้ว 

ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจที่มีวงเงินสินเชื่อธุรกิจ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 เคยได้รับอนุมัติ soft loan เดิม เมื่อรวมวงเงินสินเชื่อ soft loan ดังกล่าวกับวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูต้องไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจหรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท 

แต่หากผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับอนุมัติ soft loan หรือสินเชื่อฟื้นฟู แต่ไม่เคยเบิกใช้วงเงินและแสดงความประสงค์ไม่ใช้สินเชื่อทั้งจำนวนหรือบางส่วนและสถาบันการเงินได้ดำเนินการคืนเงิน แก่ ธปท. แล้ว ไม่ต้องนำวงเงินสินเชื่อจำนวนข้างต้นไปหักออกจากวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ผู้ประกอบธุรกิจยื่นขออนุมัติ เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจยังไม่เคยได้รับประโยชน์ดอกเบี้ยจากภาครัฐ

สรุป วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่กู้เพิ่มได้ = ร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจหรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า – วงเงิน soft loan และสินเชื่อฟื้นฟูที่เคยได้รับอนุมัติ + วงเงินที่ชำระคืน ธปท. เฉพาะส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้เบิกใช้ (full/partial)

ดังนั้น สำหรับกรณีที่ 1-3 : ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูได้ในวงเงินสูงสุด 60 ล้านบาท (max [{30% × max (300,400)} , 50] – 60)

สำหรับกรณีที่ 4 : ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูได้ในวงเงินสูงสุด 90 ล้านบาท(max [{30% × max (300,400)} , 50] – 60 + 30)

​55. หากผู้ประกอบธุรกิจไม่มีวงเงิน ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 แต่เคยได้รับ soft loan มาก่อนหน้า เนื่องจากมีวงเงิน ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และต่อมาได้ชำระหนี้ปิดบัญชี การกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูของผู้ประกอบธุรกิจในฐานะลูกหนี้รายใหม่รายละไม่เกิน 50 ล้านบาท ต้องนำวงเงิน soft loan เดิมมาหักออกหรือไม่

​กรณีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ให้กู้ยืมไม่ต้องนำวงเงิน soft loan เดิมมาหักออก ต่างจากกรณีผู้ประกอบธุรกิจที่ยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายเดิม วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ให้กู้ยืมต้องนำวงเงิน soft loan เดิมมาหักออก

​56. หากบริษัท A + บริษัท B ได้รับสินเชื่อฟื้นฟูในนามผู้กู้ร่วมแล้ว ต่อมาบริษัท A และบริษัท B ต้องการยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูในนามผู้กู้เดี่ยวเพิ่มเติม การกำหนดวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูไม่เกิน 150 ล้านบาท ต้องนำวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ได้รับก่อนหน้าในนามผู้กู้ร่วมมาหักออกหรือไม่

​กรณีที่วงเงินเดิมเป็นวงเงินกู้ร่วม สถาบันการเงินสามารถพิจารณาให้สินเชื่อฟื้นฟูในนามวงเงินกู้ร่วมได้ไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อหรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า และสถาบันการเงินสามารถพิจารณาให้สินเชื่อฟื้นฟูเพิ่มในนามผู้กู้เดี่ยวได้อีกไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจของผู้กู้เดี่ยวแต่ละรายหรือไม่เกิน 50 ล้านบาท แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า

​57. กรณีวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจเป็น revolving working capital เช่น O/D, P/N, trade finance กรณีผู้ประกอบธุรกิจมีการลดยอดใช้หรือชำระคืนบางส่วนแล้ว ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอเบิกใหม่โดยยังได้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อฟื้นฟูอยู่ได้หรือไม่ และหากผู้ประกอบธุรกิจไม่ประสงค์จะใช้วงเงินแล้วสถาบันการเงินจะต้องดำเนินการอย่างไร

​ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเบิกใช้วงเงินและชำระคืนได้ในระยะ 5 ปีตามสัญญากู้ยืมและสอดคล้องกับความต้องการใช้วงเงินของผู้ประกอบธุรกิจ โดยได้รับอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 ยกเว้นกรณีผู้ประกอบธุรกิจชำระหนี้และปิดบัญชี หรือไม่ประสงค์จะใช้วงเงินดังกล่าว ให้สถาบันการเงินชำระหนี้คืน ธปท. ภายใน 30 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับชำระหนี้คืนทั้งหมดจากผู้ประกอบธุรกิจ หรือวันที่ได้รับแจ้งความประสงค์จากผู้ประกอบธุรกิจแล้วแต่กรณี ตามประกาศ ธปท. ที่ สกส1. 1/2564 ข้อ 4.7 (1)

​58. สถาบันการเงินสามารถเรียกหลักประกันเพิ่มจากผู้ประกอบธุรกิจที่ยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูโดยส่งให้ บสย. ค้ำประกันได้หรือไม่

​ตามหลักเกณฑ์ไม่ได้ห้ามให้สถาบันการเงินเรียกหลักประกันเพิ่มจากผู้ประกอบธุรกิจ 

ทั้งนี้ ขอให้สถาบันการเงินพิจารณาตามความเสี่ยงและความจำเป็นที่ต้องไม่เป็นภาระของผู้ประกอบธุรกิจจนเกินไป และมีกระบวนการป้องกันข้อร้องเรียนในภายหลัง เนื่องจากการชดเชยความเสียหายผ่านกลไก บสย. ถือเป็นการช่วยลดความเสี่ยงด้านเครดิตของสถาบันการเงินอยู่แล้ว 

ในกรณีที่สถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อฟื้นฟูและผู้ประกอบธุรกิจประสงค์ที่จะขอทราบเหตุผลของการที่สถาบันการเงินไม่อนุมัติสินเชื่อ ให้สถาบันการเงินชี้แจงให้ผู้ประกอบธุรกิจทราบเหตุผลการปฏิเสธสินเชื่อดังกล่าวอย่างชัดเจนตามหนังสือที่ ธปท. ฝนส. (21) ว. 71/2553 เรื่องการชี้แจงเหตุผลของการไม่อนุมัติสินเชื่อเป็นลายลักษณ์อักษร 

​59.กรณีสถาบันการเงินกำหนดระยะเวลาสินเชื่อฟื้นฟูน้อยกว่า 5 ปี

​59.1 สถาบันการเงินสามารถกำหนดระยะเวลาสินเชื่อฟื้นฟูในสัญญาเงินกู้ยืมกับผู้ประกอบธุรกิจน้อยกว่า 5 ปี ได้หรือไม่ และสามารถคิดอัตราดอกเบี้ยแบบ step up แต่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 5 ได้หรือไม่ 

59.1 ​สัญญากู้ยืมเงินที่สถาบันการเงินทำกับผู้ประกอบธุรกิจสามารถกำหนดระยะเวลาต่ำกว่า 5 ปีได้ ตามความต้องการและความสามารถชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ โดยอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยตลอดอายุสัญญาต้องไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 2 ปีแรกของสัญญา ให้คิดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี โดยในการทยอยเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ให้สถาบันการเงินพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ

​59.2 หากสถาบันการเงินกำหนดระยะเวลาสินเชื่อฟื้นฟู 3 ปี แล้ว และเมื่อครบกำหนดผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถชำระหนี้ได้ สถาบันการเงินจึงปรับโครงสร้างหนี้ขยายระยะเวลาสินเชื่อออกไปให้อีก 2 ปี สถาบันการเงินยังต้องคิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5 ปี ไม่เกินร้อยละ 5 สำหรับระยะเวลาที่ขยายออกไปหรือไม่ 

59.2 ​สถาบันการเงินยังต้องคงอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขอื่นตามที่ ธปท. กำหนดสำหรับสินเชื่อฟื้นฟู และห้ามเรียกเก็บค่าเบี้ยปรับและดอกเบี้ยผิดนัดหากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ในระหว่าง 5 ปี เนื่องจากสถาบันการเงินมีต้นทุนทางการเงินต่ำสำหรับการปล่อยกู้สินเชื่อฟื้นฟู (อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01) ทั้งนี้ สถาบันการเงินสามารถปรับโครงสร้างหนี้และคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สถาบันการเงินตกลงกับผู้ประกอบธุรกิจภายหลังช่วงเวลาดังกล่าวได้

​60. การดำเนินการกับผู้ประกอบธุรกิจที่ผิดนัดชำระหนี้สินเชื่อฟื้นฟู ซึ่งไม่เข้าเงื่อนไขที่จะได้รับชดเชยจาก บสย. สถาบันการเงินสามารถบอกเลิกสัญญาและไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินกู้ พร้อมทั้งสามารถดำเนินการตามขั้นตอนปกติในการ collection process ได้หรือไม่ โดยไม่ต้องรอครบกำหนด 5 ปี 

60.1 หากผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถจ่ายชำระหนี้สินเชื่อฟื้นฟูตามกำหนดชำระหนี้หรือสถาบันการเงินสืบทราบได้แน่ชัดว่าผู้ประกอบธุรกิจมีเจตนาไม่ชำระหนี้คืนเมื่อครบกำหนดชำระหนี้ เช่น ปิดกิจการและติดต่อไม่ได้ ต้องคดีที่ส่งผลต่อการชำระหนี้คืน (ถูกจำคุก ฉ้อโกง ฟอกเงิน ยาเสพติด เป็นต้น) ไม่สามารถชำระหนี้คืนได้อีก เช่น เสียชีวิต หรือผิดนัดชำระหนี้กับเจ้าหนี้อื่นและถูกฟ้องดำเนินคดี ล้มละลาย 

60.2 หากผู้ประกอบธุรกิจผิดนัดชำระหนี้และสถาบันการเงินได้มีการทำสัญญาผ่อนผันให้ชำระค่างวดลดลงแล้วแต่ผู้ประกอบธุรกิจยังคงผิดนัดชำระหนี้อีก 

60.3 หากผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถชำระได้ตามเงื่อนไข สถาบันการเงินสามารถคืนสินเชื่อฟื้นฟูแก่ ธปท. ก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญา 5 ปี และทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับผู้ประกอบธุรกิจคิดอัตราดอกเบี้ยตามต้นทุนเงินและความเสี่ยงของสถาบันการเงินได้หรือไม่

​สถาบันการเงินอาจพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนปกติสำหรับลูกหนี้ที่ไม่สามารถชำระหนี้ตามเงื่อนไขได้ แต่ยังต้องคงอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขอื่นตามที่ ธปท. กำหนดสำหรับสินเชื่อฟื้นฟู และห้ามเรียกเก็บค่าเบี้ยปรับและดอกเบี้ยผิดนัดหากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ในระหว่าง 5 ปี เนื่องจากสถาบันการเงินมีต้นทุนทางการเงินต่ำสำหรับการปล่อยกู้สินเชื่อฟื้นฟู (อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01) ทั้งนี้ สถาบันการเงินสามารถปรับโครงสร้างหนี้และคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สถาบันการเงินตกลงกับผู้ประกอบธุรกิจภายหลังช่วงเวลาดังกล่าวได้ 

​61. หากภายหลัง 2 ปีแรก ผู้ประกอบธุรกิจมีประวัติการชำระหนี้ไม่เป็นไปตามสัญญา สถาบันการเงินจึงปรับการคิดอัตราดอกเบี้ยในแต่ละปีใหม่ แต่เฉลี่ยแล้วยังไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี เงื่อนไขการคิดอัตราดอกเบี้ยใหม่จะถือเป็นการคิดดอกเบี้ยผิดนัดหรือไม่ 

​สถาบันการเงินสามารถปรับการคิดอัตราดอกเบี้ยในแต่ละปีใหม่ได้ แต่คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยตลอดอายุสัญญาต้องไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ทั้งนี้ ในช่วงระยะเวลา 2 ปีแรกของสัญญา ให้คิดอัตราดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 2 ต่อปี โดยในการทยอยเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ให้สถาบันการเงินพิจารณากำหนดอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจ

​62. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจซื้อที่ดินก่อสร้างโครงการเพื่อขยายธุรกิจ โดยสำรองจ่ายเงินค่าที่ดินไปก่อนหน้า ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจ่ายค่าที่ดินที่สำรองจ่ายไปก่อนหน้า สนับสนุนการก่อสร้างและเสริมสภาพคล่องได้หรือไม่

​มาตรการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประคับประคองกิจการและรักษาการจ้างงานภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอน อีกทั้งเพื่อให้สามารถฟื้นกิจการได้ไว ดังนั้น ผู้ประกอบธุรกิจจึงสามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อเป็นสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน (working capital) เช่น การชำระหนี้แก่เจ้าหนี้การค้า การจ่ายค่าแรงงาน หรือ term loan เพื่อต่อยอดธุรกิจ เช่น การต่อเติมโรงงาน การซื้อเครื่องจักร ทั้งสำหรับธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ ซึ่งครอบคลุมค่าที่ดินที่สำรองจ่ายไปก่อนหน้าได้ 

​63. กรณีสถาบันการเงินควบรวมกิจการ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 กับสถาบันการเงินแต่ละแห่งก่อนการควบรวมกิจการ โดยภายหลังการควบรวมกิจการ สถาบันการเงินอาจมีการให้สินเชื่อฟื้นฟูแก่ผู้ประกอบธุรกิจเกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจที่มีกับสถาบันการเงินแห่งใดแห่งหนึ่งหรือรวมทั้งสองแห่ง ดังนั้น วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่สถาบันการเงินภายหลังควบกิจการจะให้กู้ยืมได้รวมกันต้องไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือพิจารณาแยกตามวงเงินสินเชื่อที่ผู้ประกอบธุรกิจมีอยู่กับแต่ละสถาบันการเงินก่อนควบกิจการแห่งละไม่เกิน 50 ล้านบาท และในกรณีร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อที่ผู้ประกอบธุรกิจมีกับสถาบันการเงินแต่ละแห่งก่อนการควบรวมตามแต่ละกรณีต่อไปนี้ ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูได้ในวงเงินสูงสุดเท่าใด

​หากวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่สถาบันการเงินภายหลังควบกิจการจะให้กู้ยืมแก่ผู้ประกอบธุรกิจเกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจที่มีกับสถาบันการเงินแห่งใดแห่งหนึ่งหรือรวมทั้งสองแห่ง ให้พิจารณาแยกตามวงเงินสินเชื่อของผู้ประกอบธุรกิจที่มีอยู่กับสถาบันการเงินแต่ละแห่งก่อนควบกิจการแห่งละไม่เกิน 50 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจยังคงได้ประโยชน์เช่นเดิมเหมือนก่อนควบกิจการ แต่วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่สถาบันการเงินภายหลังควบรวบกิจการให้กู้ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท

​63.1 สถาบันการเงิน A เท่ากับ 20 ล้านบาท และสถาบันการเงิน B เท่ากับ 20 ล้านบาท

​63.1 ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูได้ในวงเงินสูงสุด 100 ล้านบาท (max (20,50) + max (20,50))

​63.2 สถาบันการเงิน A เท่ากับ 90 ล้านบาท และสถาบันการเงิน B เท่ากับ 20 ล้านบาท

​63.2 ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูได้ในวงเงินสูงสุด 140 ล้านบาท (max (90,50) + max (20,50))

​63.3 สถาบันการเงิน A เท่ากับ 120 ล้านบาท และสถาบันการเงิน B เท่ากับ 20 ล้านบาท

​63.3 ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูได้ในวงเงินสูงสุด 150 ล้านบาท (max (120,50) + max (20,50) = 170 ล้านบาท แต่ต้องไม่เกิน 150 ล้านบาท)

03 กระบวนการยื่นคำขอรับเงิน / เบิกจ่ายสินเชื่อฟื้นฟู และเอกสารที่เกี่ยวข้อง

​64. กำหนดเวลาขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. เงื่อนไขการเบิกกู้ และระยะเวลาการรับเงินโอน

​การยื่นกู้แต่ละครั้ง กำหนดสัปดาห์ละครั้ง ทุกวันจันทร์ (T) ไม่เกิน 11.00 น. หรือวันทำการวันแรกของสัปดาห์ โดยจะทราบผลการพิจารณาภายใน 2 วันทำการ (T+2) ก่อน 16.00 น. ซึ่งสถาบันการเงินจะต้องยื่นเอกสารตัวจริงภายใน 3 วันทำการ (T+3) ช่วง 8.30 น.-11.30 น. และจะได้รับเงินจาก ธปท. ภายใน 4 วันทำการ (T+4) ผ่านระบบ BAHTNET ประมาณ 11.00 น. (อาจกำหนดวันให้สถาบันการเงินยื่นกู้เพิ่มเติม) โดย ธปท. จะจัดสรรวงเงินให้แต่ละสถาบันการเงินตามลำดับที่ยื่นคำขอ (first come, first served) เช่น ครั้งแรกกำหนดยื่นวันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 เวลา 11.00 น. ธปท. จะโอนเงินให้สถาบันการเงินในวันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 เวลา 11.00 น.

​65. สถาบันการเงินยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูได้ภายในกำหนดระยะเวลาเท่าไร

​ให้สถาบันการเงินยื่นคำขอกู้ยืมเงินต่อ ธปท. ภายในระยะเวลา 2 ปีนับแต่วันที่ พ.ร.ก. ใช้บังคับ (10 เมษายน 2564 - 9 เมษายน 2566) แต่ในกรณีที่ยังมีวงเงินเหลืออยู่และมีความจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือต่อไปหรือยุติการดำเนินมาตรการ ธปท. โดยความเห็นชอบของ ครม. จะขยายระยะเวลายื่นคำขอกู้ยืมเงินดังกล่าวออกไปอีก 1 ปี ก็ได้  หรือจะยุติการดำเนินมาตรการนี้ก่อนกำหนดก็ได้ ทั้งนี้ ธปท. กำหนดให้สถาบันการเงินยื่นกู้ครั้งแรกในวันจันทร์ที่ 26 เมษายน 2564 ภายในเวลา 11.00 น.

​66. การขอกู้ยืมสินเชื่อฟื้นฟูจาก ธปท. กำหนดระยะเวลาอย่างไร

​การให้กู้ยืมเงินของ ธปท. จะดำเนินการโดยรับซื้อตั๋วสัญญาใช้เงินที่สถาบันการเงินเป็นผู้ออก โดยตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวต้องมีกำหนดชำระไม่เกินระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันที่สถาบันการเงินได้รับเงินกู้ยืมจาก ธปท. เช่น สถาบันการเงินได้รับเงินผ่านระบบ BAHTNET วันที่ 30 เมษายน 2564 อายุตั๋วจะเริ่มตั้งแต่ 30 เมษายน 2564 ถึงวันที่ 29 เมษายน 2569 ทั้งนี้ หากวันถึงกำหนดใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินหรือวันครบกำหนดคืนเงินกู้ยืมก่อนกำหนดตรงกับวันหยุดทำการ ให้สถาบันการเงินชำระหนี้ในวันทำการถัดไป โดย ธปท. จะเรียกเก็บดอกเบี้ยสำหรับวันหยุดดังกล่าวจนถึงวันที่สถาบันการเงินชำระหนี้

สำหรับการกำหนดระยะเวลาเงินกู้ของผู้ประกอบธุรกิจ สามารถกำหนดได้นานกว่า 5 ปี หรือสอดคล้องกับระยะเวลาที่ บสย. ค้ำประกันก็ได้ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ เพียงแต่สถาบันการเงินจะรับการช่วยเหลือและชดเชยตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่สัญญาเงินกู้ยืมมีผลบังคับใช้ ทั้งนี้ หลังระยะเวลา 5 ปี สถาบันการเงินสามารถพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจต่อได้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยตามต้นทุนเงินและความเสี่ยงของสถาบันการเงิน

​67. กำหนดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน

​สถาบันการเงินแต่ละแห่งมีกระบวนการพิจารณาสินเชื่อที่แตกต่างกัน โดยขึ้นกับขนาดของลูกหนี้ด้วย จึงไม่กำหนดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อเป็นมาตรฐาน เมื่อผู้ประกอบธุรกิจยื่นคำขอสินเชื่อไปยังสถาบันการเงิน สถาบันการเงินต้องเร่งพิจารณาอนุมัติสินเชื่อภายในระยะเวลากำหนด ตามกรอบเวลา SLA ของแต่ละสถาบันการเงิน ซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนที่สุดเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้

​68. สถาบันการเงินสามารถเบิกกู้จาก ธปท. ได้หลายครั้งหรือไม่ สำหรับลูกค้า 1 ราย 

ให้สถาบันการเงินยื่นขอเบิกใช้เงินกู้ตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ 1 ราย ได้ไม่เกิน 6 ครั้ง ต่อสถาบันการเงิน 1 แห่ง แต่วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูทั้ง 6 ครั้ง รวมกันต้องไม่เกินวงเงินสินเชื่อที่สถาบันการเงินจะให้กับผู้ประกอบธุรกิจตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด และผู้ประกอบธุรกิจสามารถเบิกใช้วงเงินงวดเดียวหรือทยอยเบิกใช้วงเงินจากสถาบันการเงินได้ตามความเหมาะสม แต่ดอกเบี้ยที่ทางการจะชดเชยในระยะ 6 เดือนแรกจะคำนวณจากยอดสินเชื่อที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกใช้จริง โดยนับระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินสินเชื่องวดแรกของการยื่นขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. แต่ละครั้ง  

​69. สถาบันการเงินสามารถยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูจาก ธปท. ก่อนอนุมัติสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ ได้หรือไม่

​สถาบันการเงินต้องพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้กับผู้ประกอบธุรกิจก่อนยื่นขอกู้จาก ธปท.

​70. สถาบันการเงินต้องรายงานสถานะของผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับสินเชื่อฟื้นฟูให้ ธปท. ทราบเป็นระยะหรือไม่

​ให้สถาบันการเงินส่งรายงานสถานะผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับสินเชื่อและจำนวนดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินไม่เรียกเก็บ (รายงาน D1 ตามประกาศ ธปท.) ณ สิ้นเดือนของทุกเดือน โดยให้รายงานในระบบ DMS DA Extranet ภายในวันที่ 21 ของเดือนถัดไป เริ่มตั้งแต่งวดเดือนพฤษภาคม 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ การรายงานดังกล่าวให้เป็นไปตามแบบที่ ธปท. กำหนดในเว็บไซต์ของ ธปท.

​71. หากผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูในฐานะลูกหนี้รายใหม่ไม่เกิน 50 ล้านบาทกับสถาบันการเงินหลายแห่งพร้อมกัน ธปท. จะมีแนวทางการดำเนินการอย่างไร 

​หากสถาบันการเงินหลายแห่งยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูกับ ธปท. สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นลูกหนี้รายใหม่ รวมแล้วเกินกว่า 50 ล้านบาท ภายในรอบเดียวกัน ธปท. จะแจ้งให้สถาบันการเงินตกลงกับผู้ประกอบธุรกิจว่าจะยื่นขอกู้กับสถาบันการเงินใดและสามารถยื่นขอกู้ใหม่ในรอบหน้า

04 การคืนเงินต้นและดอกเบี้ยของสินเชื่อฟื้นฟูต่อ ธปท.

​72. การดำเนินการของสถาบันการเงิน กรณีผู้ประกอบธุรกิจเปลี่ยนใจไม่ใช้สินเชื่อกับสถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจชำระหนี้คืนในระหว่าง 5 ปีโดยยังไม่ปิดบัญชี หรือผู้ประกอบธุรกิจชำระคืนปิดวงเงิน 

​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจชำระหนี้บางส่วนหรือทั้งหมดก่อนครบกำหนดเวลาที่สถาบันการเงินต้องชำระหนี้แก่ ธปท. แต่ยังไม่ปิดบัญชี หรือกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเสียชีวิตและสถาบันการเงินมีการตกลงกับทายาทของผู้ประกอบธุรกิจให้แปลงหนี้ใหม่โดยทายาทเข้ารับเป็นลูกหนี้แทน สถาบันการเงินไม่ต้องนำส่งเงินดังกล่าวแก่ ธปท. เว้นแต่กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจชำระหนี้ปิดบัญชีทั้งหมดหรือแสดงความประสงค์ไม่ใช้สินเชื่อ ให้สถาบันการเงินชำระหนี้คืน ธปท. บางส่วนตามจำนวนสินเชื่อของผู้ประกอบธุรกิจรายที่ชำระหนี้ปิดบัญชีทั้งหมด หรือตามจำนวนเงินที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ใช้ ภายใน 30 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับชำระหนี้คืนทั้งหมดจากผู้ประกอบธุรกิจหรือวันที่ได้รับแจ้งความประสงค์จากผู้ประกอบธุรกิจ แล้วแต่กรณี ตามประกาศ ธปท. ที่ สกส1.1/2564 ข้อ 4.7 (1)

​73. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจที่กู้ยืมสินเชื่อฟื้นฟูมีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามเงื่อนไข สถาบันการเงินจะต้องคืนเงินกู้ให้กับ ธปท. ภายในกี่วันหรือสามารถนำไป settlement ได้เมื่อครบ 5 ปี และยอดเงินกู้ที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกไปจะไม่ได้รับการชดเชยจากรัฐ ใช่หรือไม่

​กรณีภายหลังจากที่สถาบันการเงินรับเงินกู้ยืมจาก ธปท. และพบว่าสถาบันการเงินนำเงินดังกล่าวไปให้กู้ยืมแก่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขตาม พ.ร.ก. หรือประกาศ ธปท. ให้สถาบันการเงินคืนเงินกู้ยืมให้แก่ ธปท. ตามจำนวนที่มีการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไข ภายในระยะเวลาที่ ธปท. กำหนด และรัฐไม่รับชดเชยความเสียหายให้ ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องไม่กำหนดในข้อสัญญาระหว่างสถาบันการเงินกับผู้ประกอบธุรกิจในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 5 ปีแรก หรือกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจชำระเบี้ยปรับ หรือความเสียหายประการอื่นแก่สถาบันการเงิน เนื่องจากสถาบันการเงินต้องชำระเงินกู้ก่อนกำหนด ตามประกาศ ธปท. ที่ สกส1.1/2564 ข้อ 4.7 (2) 

อย่างไรก็ดี สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บดอกเบี้ยจากผู้ประกอบธุรกิจในช่วงระยะเวลา 6 เดือนแรกนับตั้งแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับสินเชื่อฟื้นฟูงวดแรกในอัตราไม่เกินร้อยละ 2

​74. สถาบันการเงินจะต้องจ่ายชำระดอกเบี้ยให้ ธปท. เช่น จ่ายทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน หรือทุก 6 เดือน

​สถาบันการเงินจะต้องจ่ายชำระดอกเบี้ยให้ ธปท. เมื่อครบกำหนดตั๋วสัญญาใช้เงินระยะเวลา 5 ปี โดยฐานในการคำนวณ 1 ปี เท่ากับ 365 วัน

​75. ภายหลัง บสย. จ่ายเงินค่าชดเชยแล้วก่อนระยะเวลาครบกำหนด 5 ปี สถาบันการต้องคืนเงินกู้ให้กับ ธปท. ทันทีหรือไม่  

​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจกลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพและ บสย. จ่ายชดเชยความเสียหายให้กับสถาบันการเงินแล้ว สถาบันการเงินไม่ต้องคืนเงินกู้ยืมให้ ธปท. สำหรับผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวก่อนกำหนด 

05 การจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ย

​76. วิธีการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยและเงินชดเชย 

​76.1 รัฐบาลจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยให้กับสถาบันการเงินใช่หรือไม่

​76.1 ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู กระทรวงการคลังจะเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ยจ่ายแทนผู้ประกอบธุรกิจในระยะ 6 เดือนแรก นับแต่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินสินเชื่องวดแรกของการยื่นขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. แต่ละครั้ง

​76.2 การคำนวณดอกเบี้ยที่ภาครัฐออกให้ผู้ประกอบธุรกิจในช่วงระยะเวลา 6 เดือนนับตั้งแต่ที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินสินเชื่องวดแรก จะนับแบบวันชนวันหรือไม่




​76.2 การคำนวณเงินชดเชยดอกเบี้ยให้คิดตั้งแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินกู้ครั้งแรกจนถึงวันที่ครบกำหนด 6 เดือน โดยใช้หลักนับต้นไม่นับท้าย เช่น สถาบันการเงินได้รับสินเชื่อฟื้นฟู จาก ธปท. ไปเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2564 ลูกหนี้เบิกใช้เงินกู้ครั้งแรกจากสถาบันการเงินในวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 

หากลูกหนี้เบิกใช้เงินกู้ครั้งเดียวในวันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ดอกเบี้ยเงินกู้จะได้รับการชดเชยนับตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 เป็นจำนวน 184 วัน(27+30+31+31+30+31+4)

หากลูกหนี้ทยอยเบิกใช้เงินกู้ เช่น วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 เบิกเงินกู้ครั้งแรก ต่อมาวันที่ 5 มิถุนายน 2564 เบิกเงินกู้ส่วนที่เหลือ ดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งแรกจะได้รับการชดเชย 184 วัน แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนที่เหลือจะได้รับการชดเชยนับแต่วันเบิกใช้จนถึงวันที่ครบกำหนด 6 เดือน หรือเป็นจำนวน 153 วัน (26+31+31+30+31+4)

​77. ในช่วง 6 เดือนแรกที่รัฐบาลจะรับภาระดอกเบี้ยแทนผู้ประกอบธุรกิจ ขอทราบกระบวนการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยแทนผู้ประกอบธุรกิจใน 6 เดือน

​- เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันแรกที่ผู้ประกอบธุรกิจแต่ละรายได้รับเงินสินเชื่อตาม พ.ร.ก. จากสถาบันการเงิน ให้สถาบันการเงินคำนวณจำนวนเงินดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินไม่เรียกเก็บตามมาตรา 11 แห่ง พ.ร.ก. 

- สถาบันการเงินยื่นคำขอรับเงินชดเชยดอกเบี้ยที่ไม่เรียกเก็บต่อ ธปท. ตามแบบหนังสือขอรับเงินชดเชยดอกเบี้ยที่ไม่เรียกเก็บจากผู้ประกอบธุรกิจ (เอกสารแนบ 5 ตามประกาศ ธปท. หรือเอกสาร F1) ภายใน 60 วัน นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนด 2 ปี 6 เดือนนับแต่วันที่ พ.ร.ก. ใช้บังคับ โดย ธปท. จะดำเนินการคำนวณเงินชดเชยดอกเบี้ยที่สถาบันการเงินไม่เรียกเก็บโดยพิจารณาจากข้อมูลที่ได้รับจากสถาบันการเงินตามที่คำนวณข้างต้น หรือเอกสารหลักฐานอื่นที่ ธปท. เรียกเพิ่มเติมจากสถาบันการเงิน

- ธปท. จะแจ้งให้สถาบันการเงินทราบผลการคำนวณเงินชดเชยดอกเบี้ยข้างต้นภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำขอ และเรียกเก็บเงินตามจำนวนที่คำนวณได้ดังกล่าวจากกระทรวงการคลัง โดยเมื่อ ธปท. ได้รับเงินชดเชยดอกเบี้ยที่ไม่เรียกเก็บจากกระทรวงการคลังแล้ว ธปท. จะนำเงินเข้าบัญชีเงินฝากของสถาบันการเงินที่ ธปท. ตามจำนวนที่สถาบันการเงินแต่ละแห่งได้รับภายใน 1 วันทำการนับแต่วันที่ได้รับเงินจากกระทรวงการคลัง

​78. กรณีที่สถาบันการเงินพิจารณาให้วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูกับผู้ประกอบธุรกิจโดยแบ่งเป็นหลายสัญญา การคำนวณดอกเบี้ยที่ภาครัฐออกให้ผู้ประกอบธุรกิจในช่วงระยะเวลา 6 เดือนแรกนับตั้งแต่ที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินสินเชื่องวดแรก พิจารณาเริ่มนับตั้งแต่เบิกเงินกู้ครั้งแรกของผู้ประกอบธุรกิจรายนี้ หรือพิจารณาเริ่มนับแยกตามแต่ละสัญญา

​การคำนวณดอกเบี้ยที่ภาครัฐออกให้ผู้ประกอบธุรกิจในช่วงระยะเวลา 6 เดือนแรก พิจารณาเริ่มนับตั้งแต่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินกู้ครั้งแรกในสัญญาแรกของการยื่นขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. แต่ละครั้ง 

​79. วิธีปฏิบัติสำหรับดอกเบี้ยที่จะได้รับชดเชยจากกระทรวงการคลังในช่วงระยะเวลา 6 เดือนแรกนับแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับสินเชื่องวดแรก

​79.1 การบันทึกบัญชี

​79.1 ให้สถาบันการเงินคำนวณและบันทึกยอดดอกเบี้ยค้างรับของลูกหนี้แต่ละรายที่จะต้องขอรับการจ่ายชดเชยจากกระทรวงการคลัง และทุกสิ้นเดือนให้สถาบันการเงินโอนดอกเบี้ยค้างรับดังกล่าวไปบันทึกบัญชีดอกเบี้ยค้างรับรอการชดเชยจากระทรวงการคลัง 

หรือจะบันทึกบัญชีดอกเบี้ยค้างรับรอการชดเชยจากกระทรวงการคลังสำหรับ 6 เดือนแรกโดยตรงก็ได้ ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องมีระบบข้อมูลที่มีรายละเอียดดอกเบี้ยค้างรับของลูกหนี้แต่ละราย เพื่อให้ ธปท. สามารถตรวจสอบได้

สำหรับกรณีที่สถาบันการเงินให้กู้ยืมเงินสินเชื่อฟื้นฟูของ ธปท. ในรูปแบบวงเงินเบิกเกินบัญชี ให้สถาบันการเงินบันทึกบัญชีดอกเบี้ยค้างรับของลูกหนี้แต่ละรายแยกออกมาจากวงเงินเบิกเกินบัญชี และทุกสิ้นเดือนให้สถาบันการเงินโอนดอกเบี้ยค้างรับดังกล่าวไปบันทึกบัญชีดอกเบี้ยค้างรับรอการชดเชยจากกระทรวงการคลัง หรือจะบันทึกบัญชีดอกเบี้ยค้างรับรอการชดเชยจากกระทรวงการคลังสำหรับ 6 เดือนแรกโดยตรงก็ได้ 

ทั้งนี้ สถาบันการเงินต้องไม่คิดดอกเบี้ยดังกล่าวทบเป็นเงินต้นในบัญชีเงินเบิกเกินบัญชี


​79.2 การรายงาน data set  (LAR, TCS, PVS, TDR)

​79.2 ให้สถาบันการเงินรายงานดอกเบี้ยค้างรับในช่วง 6 เดือนแรกนับแต่วันที่ผู้ประกอบธุรกิจได้รับสินเชื่องวดแรกเป็นศูนย์ เนื่องจากกระทรวงการคลังรับจะชดเชยแทนผู้ประกอบธุรกิจ ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงไม่ใช่ภาระของผู้ประกอบธุรกิจ

​79.3 การคำนวณสินทรัพย์เสี่ยงด้านเครดิต (risk weight)

​79.3 จำนวนดอกเบี้ยค้างรับรอการชดเชยจากกระทรวงการคลังจะได้รับ risk weight ร้อยละ 0

​79.4 การจัดชั้นและการกันเงินสำรอง

​79.4 การจัดชั้นและการกันเงินสำรองสำหรับเงินกู้ยืมสินเชื่อฟื้นฟูของ ธปท. ในช่วง 6 เดือนแรก ให้สถาบันการเงินจัดชั้นและกันเงินสำรองตามเกณฑ์ TFRS 9 เฉพาะยอดหนี้ โดยไม่รวมดอกเบี้ยค้างรับ เนื่องจากดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ใช่ภาระของผู้ประกอบธุรกิจ

สำหรับดอกเบี้ยค้างรับรอการชดเชยจากกระทรวงการคลัง ให้สถาบันการเงินจัดชั้นและกันเงินสำรองตามวิธีปฏิบัติสำหรับลูกหนี้ภาครัฐบาล ภายหลัง 6 เดือน ให้สถาบันการเงินจัดชั้นและกันเงินสำรองสำหรับเงินต้นและดอกเบี้ยตามเกณฑ์ TFRS 9

​80. ผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูครั้งแรกและเบิกเงินกู้เต็มจำนวนในวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ต่อมายื่นขอกู้สินเชื่อฟื้นฟูครั้งที่ 2 โดยเบิกเงินกู้ครั้งแรกในวันที่ 15 พฤษภาคม 2564 และเบิกเงินกู้ส่วนที่เหลือในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 การคำนวณการจ่ายเงินชดเชยดอกเบี้ยจะเริ่มนับจากวันใดบ้าง 

​ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับความช่วยเหลือตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู กระทรวงการคลังจะเป็นผู้รับภาระดอกเบี้ยจ่ายแทนผู้ประกอบธุรกิจในระยะ 6 เดือนแรก นับแต่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินสินเชื่องวดแรกของการยื่นขอกู้ยืมเงินจาก ธปท. แต่ละครั้ง 

ในกรณีดังกล่าว ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ยื่นขอกู้ครั้งแรกและเบิกเต็มจำนวนจะได้รับการชดเชยนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ตุลาคม 2564 เป็นจำนวน 184 วัน (31+30+31+31+30+31)

หากต่อมาผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอกู้ครั้งที่ 2 และทยอยเบิกใช้เงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ที่เบิกครั้งแรกจะได้รับการชดเชยนับตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2564 ถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 เป็นจำนวน 184 วัน (17+30+31+31+30+31+14) แต่ดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนที่เหลือจะได้รับการชดเชยนับแต่วันเบิกใช้จนถึงวันที่ครบกำหนด 6 เดือน หรือเป็นจำนวน 167 วัน (30+31+31+30+31+14)

06 หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของกลไกการค้ำประกัน

​81. ผู้ประกอบธุรกิจที่ยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูต้องเข้าโครงการค้ำประกันของ บสย. ทุกรายหรือไม่ และการจ่ายชดเชยความเสียหายสินเชื่อฟื้นฟูจากรัฐบาลมีกลไกอย่างไร

สถาบันการเงินอาจให้กู้ยืมเงินโดยไม่ต้องมีการค้ำประกัน บสย. สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่มีวงเงินสินเชื่อกับสถาบันการเงินทุกแห่ง หรือมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจอยู่กับสถาบันการเงินที่จะให้กู้ยืมสินเชื่อฟื้นฟูไม่เกิน 50 ล้านบาท ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจจะกู้ยืมเงินโดยไม่ต้องมีการค้ำประกัน บสย. ได้ไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อสถาบันการเงิน

การให้กู้ยืมเงินโดยไม่มีการค้ำประกัน บสย. ของลูกหนี้ทุกรายรวมกันแล้ว หัก วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ไม่ค้ำประกันและชำระคืน ธปท. เฉพาะส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้เบิกใช้ (full/partial) (สะสมรายสัปดาห์) ต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของวงเงินสินเชื่อที่สถาบันการเงินให้ผู้ประกอบธุรกิจกู้ยืมโดยมีการค้ำประกัน บสย. หัก วงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ค้ำประกันและชำระคืน ธปท. เฉพาะส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้เบิกใช้ (full/partial) (สะสมรายเดือน) ทั้งนี้ สถาบันการเงินจะให้กู้ยืมเงินโดยไม่มีการค้ำประกัน บสย. ได้ภายหลังจากที่ ธปท. แจ้งไปยังสถาบันการเงินที่จะให้กู้ยืมแล้วในวันศุกร์ของสัปดาห์สุดท้ายของแต่ละเดือน หรือจนกว่าจะเปลี่ยนแปลง ซึ่ง ธปท. จะแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้ทราบล่วงหน้า

สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่ยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูที่เข้าโครงการค้ำประกัน บสย. การชดเชยความเสียหายจะดำเนินการผ่านกลไก บสย. โดย บสย. กำหนดกรอบการค้ำประกันสินเชื่อเป็นระยะเวลาไม่เกิน 10 ปี มีลักษณะการค้ำประกันแบบ portfolio อัตราชดเชยไม่เกินร้อยละ 40 ของภาระค้ำประกันและแบ่งเป็น 5 พอร์ตย่อย ดังนี้  




 1: ลูกหนี้เดิมเมื่อรวมวงเงินสินเชื่อ soft loan กับวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่เคยได้รับอนุมัติและที่ยื่นขอกู้เพิ่มเติม หัก วงเงินที่ชำระคืน ธปท. เฉพาะส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้เบิกใช้ (full/partial) ไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจ พิจารณาจากวงเงินสินเชื่อธุรกิจ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ไม่รวมสัดส่วนความรับผิดในหนี้ (prorate) ของวงเงินกู้ร่วม
 2: ลูกหนี้เดิมเมื่อรวมวงเงินสินเชื่อ soft loan กับวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่เคยได้รับอนุมัติและที่ยื่นขอกู้เพิ่มเติม หัก วงเงินที่ชำระคืน ธปท. เฉพาะส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้เบิกใช้ (full/partial) เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจ แต่ยังไม่เกิน 50 ล้านบาท พิจารณาจากวงเงินสินเชื่อ soft loan กับวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูสะสมราย สง. หัก วงเงินที่ชำระคืน ธปท. เฉพาะส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้เบิกใช้ (full/partial)
 3: ลูกหนี้ใหม่พิจารณาจากวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูสะสมรวมทุก สง. หัก วงเงินที่ชำระคืน ธปท. เฉพาะส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้เบิกใช้ (full/partial) 
 4:  ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบสูง (กลุ่มเปราะบาง) 8 อุตสาหกรรม ได้แก่ ก่อสร้าง ขนส่งผู้โดยสาร ที่พักแรม ร้านอาหาร ธุรกิจนำเที่ยว สถานศึกษา ธุรกิจบันเทิงและนันทนาการ และธุรกิจบริการอื่น ๆ ตามการจัดประเภทอุตสาหกรรมตามกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (ISIC-BOT) Rev.4 ของ ธปท. ตามเอกสารแนบ 1 

และภายหลังการจ่ายชดเชยความเสียหาย ให้ บสย. เป็นผู้รับช่วงสิทธิและติดตามหนี้ได้ด้วย

​82. กำหนดระยะเวลาที่ต้องยื่นเข้าโครงการค้ำประกันของ บสย. 

​ให้ บสย. ยุติการค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟูเมื่อพ้น 6 เดือนนับแต่วันสิ้นสุดระยะเวลาการกู้ยืมตาม พ.ร.ก. (ยื่นเข้าโครงการไม่เกินวันที่ 9 ตุลาคม 2566) ทั้งนี้ การยุติการค้ำประกันสินเชื่อดังกล่าวไม่กระทบต่อสิทธิและความรับผิดที่เกิดขึ้นจากการค้ำประกันที่กระทำไปก่อนแล้ว

​83. อัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกัน บสย. เป็นเท่าใด และค่าธรรมเนียม บสย. ที่กระทรวงการคลังชดเชยโดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3.5 ของวงเงินสินเชื่อ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจพอร์ต Corporate จะทยอยชดเชยให้ผู้ประกอบธุรกิจอย่างไร

กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเข้าโครงการค้ำประกัน บสย. ผู้ประกอบธุรกิจพอร์ต Micro และ SMEs ต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการดำเนินการในแต่ละปี ดังนี้


สำหรับผู้ประกอบธุรกิจพอร์ต Corporate ต้องชำระค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมในการดำเนินการเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 1.75 ต่อปีของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งกระทรวงการคลังจะจ่ายชดเชยค่าธรรมเนียมให้โดยเฉลี่ยไม่เกินร้อยละ 3.5 ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อ โดยจะชดเชยค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบธุรกิจในปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 ดังนี้



​84. เงื่อนไขการชำระหนี้ตามภาระการค้ำประกันของ บสย. ให้แก่สถาบันการเงิน มีสัดส่วนการชำระอย่างไร

​การชำระหนี้ตามภาระการค้ำประกันของ บสย. ให้แก่สถาบันการเงินต้องไม่เกินร้อยละ 40 ของภาระค้ำประกัน โดยมีสัดส่วนการชำระในแต่ละปี ดังนี้


​85. การส่งลูกหนี้เข้าโครงการค้ำประกัน บสย. กรณีที่เป็นลูกหนี้รายใหม่ หากมีการกู้สินเชื่อฟื้นฟูเพิ่มเติมกับสถาบันการเงินเดิม เช่น หากกู้ครั้งแรก 1.5 ล้านบาท จะเข้าโครงการ Micro ได้ค้ำประกันรายละร้อยละ 100 หากมากู้อีกครั้ง 1.5 ล้านบาท ยอดรวมทั้งหมด 3 ล้านบาท จะคำนวณอัตราชดเชยอย่างไร

​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นลูกหนี้รายใหม่มีการกู้ยืมสินเชื่อฟื้นฟูกับสถาบันการเงินเดิมหรือสถาบันการเงินแห่งอื่นหลายครั้ง การส่งเข้า scheme ค้ำประกันของวงเงินที่กู้ส่วนเพิ่มแต่ละครั้งให้พิจารณาจากวงเงินกู้รวม 

ตัวอย่าง ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มทั่วไป ครั้งแรกกู้ 1.5 ล้านบาท ยังคงได้อยู่ในโครงการ Micro ได้ค้ำประกันรายละร้อยละ 100 ต่อมาเมื่อกู้ครั้งที่ 2 อีก 1.5 ล้านบาท วงเงินกู้รวมจะเป็น 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการ SMEs ทั่วไป ดังนั้น วงเงินกู้ครั้งที่ 2 จำนวน 1.5 ล้านบาท จะอยู่ในโครงการ SMEs ทั่วไป ได้ค้ำประกันรายละร้อยละ 80

86. กรณีผู้ประกอบธุรกิจพอร์ต SMEs และ Corporate ดำเนินธุรกิจหลายประเภท เช่น ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจร้านขายปลีกอาหาร สถาบันการเงินจะได้รับการชดเชยความเสียหายร้อยละ 100 หรือ 70 ตามลูกหนี้พอร์ต SMEs และ Corporate เปราะบางหรือไม่ 

​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจดำเนินกิจการหลายประเภท ในการพิจารณาว่าสถาบันการเงินจะได้รับการชดเชยความเสียหายผ่าน บสย. สำหรับลูกหนี้พอร์ต SMEs และ Corporate เปราะบางหรือไม่ ให้พิจารณาดังนี้  

1. กรณีลูกหนี้รายใหม่ ให้พิจารณาว่าวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ยื่นขอกู้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจกลุ่มเปราะบาง 

2. กรณีลูกหนี้รายเดิม ให้พิจารณาว่าวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ยื่นขอกู้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจกลุ่มเปราะบาง และลูกหนี้มีวงเงินสินเชื่อสำหรับธุรกิจกลุ่มเปราะบางเกินกว่าร้อยละ 50 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจที่มีอยู่ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 

​87. หากภายหลังลูกหนี้เดิมพอร์ต SMEs และ Corporate เปราะบาง ยุติการดำเนินธุรกิจกลุ่มเปราะบางและเปลี่ยนมาดำเนินธุรกิจอื่นแทน สถาบันการเงินจะยังได้รับการชดเชยความเสียหายร้อยละ 100 หรือ 70 อยู่หรือไม่ 

สถาบันการเงินจะได้รับการชดเชยความเสียหายที่ร้อยละ 80 ตามลูกหนี้พอร์ต SMEs ทั่วไป และร้อยละ 60 ตามลูกหนี้พอร์ต Corporate ทั่วไป เนื่องจากวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่ยื่นขอกู้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจกลุ่มเปราะบาง

​88. กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจผิดสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ภายในระยะเวลาสินเชื่อฟื้นฟู 5 ปี และสถาบันการเงินยื่นขอรับการชดเชยจาก บสย. จนเต็มเพดานสะสมการชดเชยในปีที่ 5 แล้ว ส่งผลให้ต้องยื่นขอรับการชดเชยสำหรับผู้ประกอบธุรกิจรายดังกล่าวในปีที่ 6 สถาบันการเงินยังมีภาระต้องนำส่งค่าธรรมเนียมในปีที่ 6 ให้ บสย. หรือไม่ หากต้องนำส่ง สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บจากผู้ประกอบธุรกิจในภายหลังได้หรือไม่

​หากสถาบันการเงินจะขอรับการชดเชยความเสียหายจาก บสย. ในปีที่ 6 สถาบันการเงินต้องนำส่งค่าธรรมเนียมให้ บสย. จนถึงปีที่ 6 ทั้งนี้ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียม บสย. ภายหลังผู้ประกอบธุรกิจผิดสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของสัญญาเงินกู้ระหว่างสถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจ

​89. อัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. ร้อยละ 1.75 ต่อปี คิดบนฐานของวงเงินหรือยอดหนี้สินเชื่อฟื้นฟู

​อัตราค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ บสย. ร้อยละ 1.75 ต่อปี ในปีแรก คิดบนฐานของวงเงินสินเชื่อฟื้นฟู ณ วันที่ยื่นขอค้ำประกัน หลังจากนั้น จึงคิดบนฐานของยอดหนี้สินเชื่อฟื้นฟู เว้นแต่สินเชื่อฟื้นฟูที่เป็นวงเงินเบิกเกินบัญชีจะคิดบนฐานของวงเงิน

90. หากผู้ประกอบธุรกิจพอร์ต Corporate ยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูระยะเวลา 5 ปี ผู้ประกอบธุรกิจจะได้รับชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากภาครัฐทั้งจำนวนร้อยละ 3.5 ของวงเงินค้ำประกันสินเชื่อหรือไม่  

ภาครัฐจะชดเชยค่าธรรมเนียม บสย. ให้ผู้ประกอบธุรกิจพอร์ต Corporate ในปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 เช่น หากผู้ประกอบธุรกิจกู้ยืมเงินเป็นระยะเวลา 5 ปี จะได้รับชดเชยร้อยละ 3 (0.75% + 0.75% + 0.5% + 0.5% + 0.5%) แต่หากกู้ยืมเงินเป็นระยะเวลา 6 ปี จะได้รับชดเชยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากภาครัฐทั้งจำนวนร้อยละ 3.5

91.สินเชื่อธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงร้านเบเกอรี่ (Bakery) ในโรงแรม ซึ่งไม่ได้แยกส่วนออกจากธุรกิจโรงแรม ถือเป็นสินเชื่อสำหรับธุรกิจกลุ่มเปราะบางตามโครงการค้ำประกันของ บสย. หรือไม่

​ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมและมีร้านเบเกอรี่เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจโรงแรมดังกล่าว ซึ่งกรณีที่มีร้านเบเกอรี่ไว้บริการในที่ที่พักของโรงแรม โดยไม่ใช่การประกอบธุรกิจร้านเบเกอรี่แยกออกมาต่างหากจากธุรกิจโรงแรม จะต้องนำวงเงินที่ให้แก่การประกอบธุรกิจดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นสัดส่วนวงเงินสินเชื่อสำหรับธุรกิจกลุ่มเปราะบางตามที่กำหนดในหลักการของโครงการค้ำประกันของ บสย. ดังนั้น การที่สถาบันการเงินให้สินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงร้านเบเกอรี่ (Bakery) ในโรงแรมซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจโรงแรม จึงพิจารณาได้ว่าเป็นการให้สินเชื่อสำหรับธุรกิจกลุ่มเปราะบาง

​92. ผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มทั่วไปมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจกับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 และ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จำนวน 30 ล้านบาท หากผู้ประกอบธุรกิจเคยได้รับอนุมัติและใช้วงเงิน soft loan ไปแล้ว 6 ล้านบาท ต่อมายื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูโดยเข้าโครงการค้ำประกัน บสย. สถาบันการเงินจะได้รับชดเชยความเสียหายจาก บสย. เท่าใด 

​กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นลูกหนี้รายเดิมมีการกู้ยืมสินเชื่อฟื้นฟูกับสถาบันการเงิน การส่งเข้า scheme ค้ำประกันของวงเงินที่กู้ส่วนเพิ่มแต่ละครั้ง เมื่อรวมกับวงเงินสินเชื่อ soft loan และวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูที่เคยได้รับอนุมัติ หัก วงเงินที่ชำระคืน ธปท. เฉพาะส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้เบิกใช้ (full/partial) ให้พิจารณาดังนี้ 

- กรณีไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจ พิจารณาจากวงเงินสินเชื่อธุรกิจ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ไม่รวมสัดส่วนความรับผิดในหนี้ (prorate) ของวงเงินกู้ร่วม

- กรณีเกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจ แต่ยังไม่เกิน 50 ล้านบาท พิจารณาจากวงเงินสินเชื่อ soft loan กับวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูสะสมราย สง. หัก วงเงินที่ชำระคืน ธปท. เฉพาะส่วนที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่ได้เบิกใช้ (full/partial)

​92.1 ยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟูครั้งเดียว จำนวน 10 ล้านบาท

​92.1 ผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูเมื่อรวมกับวงเงินสินเชื่อ soft loan ที่เคยได้รับอนุมัติ จำนวน 16 ล้านบาท (6+10) เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจ (30% × max (30,30) = 9 ล้านบาท) ดังนั้น สถาบันการเงินจะได้รับชดเชยความเสียหายสำหรับสินเชื่อฟื้นฟูร้อยละ 60 ตามลูกหนี้พอร์ต Corporate ทั่วไป

​92.2 ยื่นขอสินเชื่อฟื้นฟู ครั้งที่ 1 จำนวน 3 ล้านบาท และครั้งที่ 2 จำนวน 10 ล้านบาท

​92.2 ผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอวงเงินสินเชื่อฟื้นฟู ครั้งที่ 1 เมื่อรวมกับวงเงินสินเชื่อ soft loan ที่เคยได้รับอนุมัติ จำนวน 9 ล้านบาท (6+3) ไม่เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจ (30% × max (30,30) = 9 ล้านบาท) ดังนั้น สถาบันการเงินจะได้รับชดเชยความเสียหายสำหรับสินเชื่อฟื้นฟู ครั้งที่ 1 ร้อยละ 80 ตามลูกหนี้พอร์ต SMEs ทั่วไป เนื่องจากมีวงเงินสินเชื่อธุรกิจ ณ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จำนวน 30 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม วงเงินสินเชื่อฟื้นฟู ครั้งที่ 2 เมื่อรวมกับวงเงินสินเชื่อ soft loan และวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูครั้งที่ 1 ที่เคยได้รับอนุมัติ จำนวน 19 ล้านบาท (6+3+10) เกินร้อยละ 30 ของวงเงินสินเชื่อธุรกิจ (30% × max (30,30) = 9 ล้านบาท) ดังนั้น สถาบันการเงินจะได้รับชดเชยความเสียหายสำหรับสินเชื่อฟื้นฟู ครั้งที่ 2 ร้อยละ 60 ตามลูกหนี้พอร์ต Corporate ทั่วไป

​93. สถาบันการเงินสามารถเรียกเก็บค่าธรรมเนียม บสย. จากผู้ประกอบธุรกิจล่วงหน้าได้หรือไม่ 

​สถาบันการเงินสามารถกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเงินที่ต้องชำระค่าธรรมเนียม บสย. ล่วงหน้า มาฝากไว้ในบัญชีเงินฝากกับสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินกำหนดเงื่อนไขการถอนเงินและการตัดบัญชีเพื่อชำระค่าธรรมเนียม บสย. เป็นรายปีได้ แต่หากสถาบันการเงินไม่สามารถตัดบัญชีเงินฝากของผู้ประกอบธุรกิจได้ เนื่องจากเงินในบัญชีไม่เพียงพอ สถาบันการเงินอาจพิจารณาชำระค่าธรรมเนียม บสย. แทนเป็นเงินทดรองจ่าย และนำมาเรียกเก็บจากผู้ประกอบธุรกิจในภายหลังได้ โดยสถาบันการเงินห้ามคิดดอกเบี้ยบนเงินทดรองจ่ายดังกล่าว

ทั้งนี้ การดำเนินการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม บสย. ล่วงหน้าเพื่อนำฝากเข้าบัญชีของผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวข้างต้น ให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2564 เป็นต้นไป และไม่บังคับใช้กับผู้ประกอบธุรกิจที่ได้จ่ายค่าธรรมเนียม บสย. ล่วงหน้าตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกับสถาบันการเงินไปก่อนหน้านี้แล้ว

​94. สถาบันการเงินสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจเพื่อชำระค่าธรรมเนียม บสย. ในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมดังกล่าวได้หรือไม่ เพื่อให้สามารถรักษาสิทธิการได้รับค้ำประกันจาก บสย. อย่างต่อเนื่อง

​สถาบันการเงินสามารถให้สินเชื่อเพื่อชำระค่าธรรมเนียม บสย. แก่ผู้ประกอบธุรกิจได้ หากผู้ประกอบธุรกิจมีความจำเป็นต้องกู้เพื่อชำระค่าธรรมเนียม โดยต้องแยกวงเงินสินเชื่อดังกล่าว ต่างหากจากวงเงินสินเชื่อหลัก และไม่ถือเป็นสินเชื่อตาม พ.ร.ก.  อย่างไรก็ตาม การกำหนดอัตราดอกเบี้ยต้องไม่สูงจนเป็นภาระกับผู้ประกอบธุรกิจจนเกินไป โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ประกอบธุรกิจในสถานการณ์ขณะนี้ 

07 การจัดชั้นหนี้และการกันเงินสำรอง

​95. กรณีที่วงเงินเดิมลูกค้าเป็น TDR ช่วงดูใจ และมีการพิจารณาให้ top up สินเชื่อฟื้นฟู ส่วนที่ top-up จะคิด stage อย่างไร แยกคิดกับวงเงินเดิมใช่หรือไม่ (พิจารณาเป็นรายบัญชี) 

สถาบันการเงินสามารถจัดชั้นสินเชื่อฟื้นฟูเป็นรายบัญชีได้ ตามหนังสือที่ ธปท.ฝนส.(23)ว. 276/2563 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เรื่อง แนวทางในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และตามหนังสือที่ ธปท.ฝนส2.ว. 802/2564 ลงวันที่ 3 กันยายน 2564 เรื่อง แนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (มาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566

​96. สถาบันการเงินกำหนดระยะเวลาสินเชื่อฟื้นฟู 5 ปี หากหลังจากนั้นขยายระยะเวลาด้วยเงินทุนสถาบันการเงินเอง จะถือเป็น reschedule หรือไม่

​ให้พิจารณาจัดชั้นลูกหนี้ตามประกาศ ธปท. ที่ สนส. 23/2561 เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองของสถาบันการเงิน

​97. ดอกเบี้ยที่ภาครัฐออกให้ผู้ประกอบธุรกิจในช่วงระยะเวลา 6 เดือนนับตั้งแต่ที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินสินเชื่องวดแรก สถาบันการเงินสามารถรับรู้รายได้โดยไม่ต้องกันเงินสำรองได้หรือไม่

​สถาบันการเงินสามารถรับรู้รายได้ดอกเบี้ยที่ภาครัฐออกให้ผู้ประกอบธุรกิจในช่วงระยะเวลา 6 เดือนแรกนับแต่ที่ผู้ประกอบธุรกิจเบิกเงินสินเชื่องวดแรกโดยไม่ต้องกันเงินสำรอง โดยดอกเบี้ยดังกล่าวถือเสมือนได้รับการค้ำประกันจากกระทรวงการคลัง มี risk weight ร้อยละ 0 ซึ่งสถาบันการเงินสามารถนำมาหักออกจากราคาตามบัญชีของลูกหนี้ได้ร้อยละ 100 ก่อนการกันเงินสำรอง

​98. สถาบันการเงินสามารถนำส่วนที่ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟูมาประกอบการคำนวณการกันเงินสำรองและคำนวณ risk weight เหมือนสินเชื่อทั่วไปใช่หรือไม่ 

​- สถาบันการเงินสามารถนำมูลค่าของหลักประกันมาปรับลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ เพื่อใช้คำนวณค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) ตามประกาศ ธปท. ที่ สนส. 23/2561 เรื่อง หลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองของสถาบันการเงิน เช่น หนังสือค้ำประกัน (LG) ที่ออกโดย บสย. สามารถนำมาปรับลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นได้ร้อยละ 90 ของวงเงินค้ำประกัน เป็นต้น 

- สำหรับการคำนวณ risk weight และสถาบันการเงินใช้วิธี SA ให้แบ่งยอดสุทธิของธุรกรรมออกเป็น 2 ส่วนโดยส่วนที่ได้รับการค้ำประกันโดย บสย. ให้ใช้น้ำหนักความเสี่ยงเหมือนกับลูกหนี้สถาบันการเงิน และส่วนที่เหลือให้ถือว่าเป็นส่วนที่ไม่ได้รับการค้ำประกันและให้ใช้น้ำหนักความเสี่ยงของลูกหนี้ แต่หากกรณีที่สถาบันการเงินมีการปรับลดความเสี่ยงด้านเครดิตหลายประเภทเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากลูกหนี้รายเดียวกัน เช่น มีทั้งหลักประกันทางการเงินและการค้ำประกัน ให้แบ่งยอดสินทรัพย์ออกเป็นส่วน ๆ ตามประเภทของการปรับลดความเสี่ยงด้านเครดิต และคำนวณหาสินทรัพย์เสี่ยงแยกสำหรับแต่ละส่วน ตามประกาศ ธปท. ที่ สนส. 9/2652 เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณสินทรัพย์เสี่ยงด้านเครดิตสำหรับธนาคารพาณิชย์ โดย Standardised Approach (วิธี SA) หรือตามประกาศ ธปท. ที่ สกส. 17/2562 เรื่อง หลักเกณฑ์การคำนวณสินทรัพย์เสี่ยงด้านเครดิตของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ

08 ประเด็นอื่น ๆ

​99. มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูครอบคลุมสถาบันการเงินกลุ่มใดบ้าง

​ขอบเขตการบังคับใช้ของ พ.ร.ก. ฉบับใหม่เป็นแนวทางเดียวกับ พ.ร.ก. soft loan ฉบับเดิม ซึ่งครอบคลุมธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) โดยในครั้งนี้ลูกหนี้ของบริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ก็สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ โดยผ่านการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินที่ระบุข้างต้น ซึ่งเป็นไปตามการขยายขอบเขตผู้ประกอบธุรกิจให้ครอบคลุมถึงกลุ่มที่ไม่ได้เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงินอยู่เดิม โดยวงเงินสินเชื่อต่อรายให้เป็นไปตามที่ พ.ร.ก. กำหนด

100. ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอวงเงินสินเชื่อฟื้นฟูกับสถาบันการเงินมากกว่า 1 แห่ง ได้หรือไม่

​ผู้ประกอบธุรกิจสามารถยื่นกู้ได้กับสถาบันการเงินทุกแห่ง หากมีคุณสมบัติเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งสถาบันการเงินแต่ละแห่งจะเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติและวงเงินสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ภายใน โดยผู้ประกอบธุรกิจทั้งลูกหนี้เดิมและลูกหนี้ใหม่สามารถยื่นขอสินเชื่อตามมาตรการนี้กับสถาบันการเงินได้มากกว่า 1 แห่ง ทั้งนี้ ผู้ประกอบธุรกิจจะได้รับสินเชื่อจากแต่ละสถาบันการเงินไม่เกินวงเงินตามที่ระบุในประกาศ ธปท.

101. ค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนหลักประกันที่สถาบันการเงินและผู้ประกอบธุรกิจได้รับยกเว้นจากภาครัฐมีรายการใดบ้าง

​สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจ และ บสย. ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม อันเนื่องมาจากการกู้ยืมเงินสินเชื่อฟื้นฟู ดังต่อไปนี้

1. ค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจำนอง และค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจ 

2. ค่าธรรมเนียมอันเนื่องมาจากการโอนทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ให้แก่ บสย.

​102. กรณีผู้ประกอบธุรกิจไม่มีคุณสมบัติที่จะขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการสินเชื่อฟื้นฟู  เช่น เป็นลูกหนี้ NPL ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 ผู้ประกอบธุรกิจมีแนวทางขอรับความช่วยเหลือตามมาตรการอื่นอีกหรือไม่

​สถาบันการเงินสามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อประเภทเงินทุนหมุนเวียน (working capital) เพื่อเสริมสภาพคล่องให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามเกณฑ์การพิจารณาของสถาบันการเงิน โดย ธปท. ผ่อนปรนเกณฑ์ให้สถาบันการเงินสามารถจัดชั้นสินเชื่อเป็นรายบัญชีได้ ตามหนังสือที่ ธปท.ฝนส.(23)ว. 276/2563 ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 เรื่อง แนวทางในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 และตามหนังสือที่ ธปท.ฝนส2.ว. 802/2564 ลงวันที่ 3 กันยายน 2564 เรื่อง แนวทางการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (มาตรการแก้หนี้อย่างยั่งยืน) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2566

นอกจากนี้ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มีสินเชื่อกับหลายสถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ DR Biz ตามแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจที่มีเจ้าหนี้หลายรายเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระหนี้

​103. ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อนำมาซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาได้หรือไม่ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าระบบเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมได้ฟื้นตัวแล้ว

​ผู้ประกอบธุรกิจสามารถขอสินเชื่อฟื้นฟูเพื่อนำมาซื้อคืนทรัพย์สินหลักประกันโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามสัญญาได้ หากมีคุณสมบัติอื่นตามที่ประกาศ ธปท. กำหนด และสถาบันการเงินจะเป็นผู้พิจารณาคุณสมบัติและวงเงินสินเชื่อตามหลักเกณฑ์ภายใน

104. ขอทราบลำดับการตัดชำระหนี้ระหว่างสินเชื่อฟื้นฟูและสินเชื่อเดิมของผู้ประกอบธุรกิจหรือ soft loan ตามมาตรการอื่น (หากผู้ประกอบธุรกิจชำระไม่ครบ) 

​ลำดับการตัดชำระหนี้เป็นไปตาม schedule payment ของสถาบันการเงิน

​105. ตามหนังสือที่ ธปท.ฝต2.(63) ว. 386/2564 เรื่อง แนวปฏิบัติในการรับยกเว้นค่าธรรมเนียมในการดำเนินตามมาตรการในพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2564 ที่ขอสอบถามว่า

​105.1 ค่าธรรมเนียมที่ได้รับยกเว้นตาม พ.ร.ก. รวมถึง ค่าคำขอ ค่ามอบอำนาจ ค่าธรรมเนียม อปท. ค่าพยาน หรือไม่

​105.1 สถาบันการเงิน ผู้ประกอบธุรกิจ และ บสย. ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมตามข้อ 92 ไม่รวมถึงค่าคำขอ ค่ามอบอำนาจ ค่าธรรมเนียม อปท. ค่าพยาน อย่างไรก็ดี ขอให้สถาบันการเงินสอบถามสำนักงานที่ดินที่จะไปจดจำนองว่าทราบเรื่องการยกเว้นค่าธรรมเนียมตามหนังสือที่ มท ๐๕๑๕.๑/ว ๘๙๖๒ เรื่อง การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม อันเนื่องมาจากการให้กู้ยืมเงินตามมาตรการแห่งพระราชกำหนด การให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔ แล้วหรือไม่

​105.2 การจดจำนองเครื่องจักรเป็นหลักประกันทางธุรกิจกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมตามแนวปฏิบัติที่อ้างถึงข้างต้นด้วยหรือไม่ เนื่องจากการจดจำนองเครื่องจักรสามารถเลือกยื่นขอจดทะเบียนได้กับ 2 หน่วยงาน ได้แก่ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า หรือกรมโรงงานอุตสาหกรรม  

​105.2 ได้รับยกเว้นทั้งการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าและกรมโรงงานอุตสาหกรรม

​105.3 การจดจำนองหลักประกันที่เป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับสินเชื่อฟื้นฟู จะได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมจากกรมที่ดินหรือไม่

​105.3 การนำที่ดินของบุคคลอื่นมาจดจำนองเพื่อค้ำประกันการกู้ยืมเงินสินเชื่อฟื้นฟูของผู้ประกอบวิสาหกิจได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดจำนองจากกรมที่ดินตามหนังสือที่ มท ๐๕๑๕.๑/ว ๘๙๖๒ เรื่อง การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอันเนื่องมาจากการให้กู้ยืมเงินตามมาตรการแห่งพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๔

1 - 159
​ตอบทุกคำถาม
กับ มาตรการสนับสนุนการให้สินเชื่อแก่ผู้ประกอบธุรกิจ
และ มาตรการสนับสนุนการรับโอนทรัพย์สินหลักประกันเพื่อชำระหนี้
    ​Downlaod เอกสารประกอบ

    เรื่องที่เกี่ยวข้อง

    ตอบทุกคำถามกับ มาตรการสนับสนุนสินเชื่อ (soft loan) และ มาตรการชะลอการชำระหนี้ (loan payment holiday)

    Share
    Tweet
    Share
    Tweet
    เกี่ยวกับ ธปท.
    • บทบาทหน้าที่และประวัติ
    • การกำกับดูแลกิจการที่ดี
    • ธปท. กับบทบาทการพัฒนาอย่างยั่งยืน
    • ความร่วมมือระหว่างประเทศ
    • กฎหมาย/กฎเกณฑ์
    • ผังโครงสร้างองค์กร
    • คณะกรรมการ
    • รายงานทางการเงิน
    • รายงานประจำปี ธปท.
    • ธนบัตร
    • มูลนิธิ 50 ปี ธปท.
    • สมัครงานและทุน
    • พิพิธภัณฑ์และแหล่งเรียนรู้
    • ศคง. 1213
    • งานและกิจกรรม
    นโยบายการเงิน
    • คณะกรรมการ กนง.
    • เป้าหมายของนโยบายการเงิน
    • กำหนดการประชุม
    • ผลการประชุม กนง.
    • เอกสารเผยแพร่ของ กนง.
    • ความรู้เรื่องนโยบายการเงิน
    • ภาวะเศรษฐกิจไทย
    • เศรษฐกิจภูมิภาค
    • งานวิจัยและสัมมนาวิชาการ
    สถาบันการเงิน
    • คณะกรรมการ กนส.
    • โครงสร้างระบบ สง. ไทย
    • บทบาทของ ธปท. ด้าน สง.
    • การกำหนดนโยบาย สง.
    • การกำกับตรวจสอบ สง.
    • ความร่วมมือกับผู้กำกับดูแลอื่น
    • ธุรกิจการเงินที่ ธปท. กำกับดูแล​​​​
    • มุมสถาบันการเงิน
    • การธนาคารเพื่อความยั่งยืน
    • โครงการพัฒนา Digital Factoring Ecosystem
    • โครงการ API Standard
    ตลาดการเงิน
    • การดำเนินนโยบายการเงิน
    • การบริหารเงินสำรอง
    • การพัฒนาตลาดการเงิน
    • ตลาดเงินตราต่างประเทศ
    • หลักเกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงิน
    • การลงทุนโดยตรง ตปท.
    • อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงและแนวทางรองรับการยุติการใช้ LIBOR
    • โครงการลงทะเบียนแสดงตัวตนของผู้ลงทุนตราสารหนี้ในประเทศไทย (BIR)
    ระบบการชำระเงิน
    • คณะกรรมการ กรช.
    • นโยบายการชำระเงิน
    • การกำกับดูแลระบบการชำระเงิน
    • การกำกับตาม พ.ร.บ. ระบบการชำระเงิน 2560
    • บริการระบบการชำระเงิน
    • แนวนโยบาย/แนวปฏิบัติ /มาตรฐานระบบการชำระเงิน
    • ระเบียบ/ประกาศระบบการชำระเงิน
    • เทคโนโลยีทางการเงิน
    • การชำระเงินกับต่างประเทศ
    สถิติ
    • สถิติตลาดการเงิน
    • สถิติเศรษฐกิจการเงิน
    • สถิติสถาบันการเงิน
    • สถิติระบบการชำระเงิน
    • สถิติเศรษฐกิจการเงินภูมิภาค
    • เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจสำคัญ
    • แผนภูมิข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ
    • การรับส่งข้อมูลกับ ธปท.
    • บทความและเอกสารเผยแพร่ด้านสถิติ
    • คู่มือประชาชนด้านสถิติ
    • บริการข้อมูล BOT API
    ตารางเวลาเผยแพร่
    เงื่อนไขการให้บริการ
    นโยบายคุ้มครอง
    ข้อมูลส่วนบุคคล
    เชื่อมโยง
    คำถามถามบ่อย
    ติดต่อ ธปท.

    ©2015 Bank of Thailand. All rights reserved.   ( เว็บไซต์นี้รับชมได้ดี ด้วยเว็บเบราว์เซอร์ Chrome, Safari, Firefox หรือ IE 10 ขึ้นไป )
    สอบถาม/ข้อเสนอแนะ/ร้องเรียน
    ลงทะเบียนรับข้อมูล/ข่าวสาร


    ©2015 Bank of Thailand. All rights reserved.