ข้อควรทราบเกี่ยวกับระเบียบควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (Infographic คลิกที่นี่)
1. ระเบียบการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงิน
ก. กฎระเบียบ
กฎหมายแม่บทที่ใช้ในการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ได้แก่ พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินพุทธศักราช 2485 และจากการอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ. ดังกล่าวได้มีการออกกฎกระทรวง ประกาศกระทรวงการคลัง และประกาศเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ข. การควบคุมดูแลให้เป็นไปตามระเบียบ
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ทำหน้าที่กำกับดูแลการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตรา
ต่างประเทศ โดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแต่งตั้งพนักงานของธนาคารเป็นเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พุทธศักราช 2485 เพื่อควบคุมดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน การซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน กู้ยืม หรือโอนเงินตราต่างประเทศทุกประเภทจะต้องกระทำกับธนาคารพาณิชย์ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินตราต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจเงินตราต่างประเทศจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เช่น บุคคลรับอนุญาต (money changer) และตัวแทนโอนเงินระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ห้ามมิให้บุคคลทั่วไปซื้อ ขาย แลกเปลี่ยน ให้กู้ยืม หรือโอนเงินตราต่างประเทศกับผู้ที่ไม่มี
ใบอนุญาตเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเป็นรายกรณี
2.
การโอนเงินเข้าหรือออกนอกประเทศ
1. การโอนเงินเข้าประเทศ
การโอนเงินตราต่างประเทศหรือเงินบาทเข้ามาในประเทศทำได้ไม่จำกัดจำนวน
เมื่อบุคคลใดได้รับเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศ เช่น ค่าสินค้าหรือบริการ เงินลงทุนหรือเงินกู้ยืมจากต่างประเทศ ที่มีจำนวนตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือเทียบเท่า บุคคลดังกล่าวจะต้องนำเงินตราต่างประเทศดังกล่าวกลับเข้าประเทศทันที ซึ่งต้องไม่เกิน 360 วันนับแต่วันที่ส่งของออกหรือวันที่ทำธุรกรรม และขายหรือฝากเงินตราต่างประเทศนั้นกับธนาคารพาณิชย์ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยภายใน 360 วันนับตั้งแต่วันที่ได้มาหรือนำเข้า
ในกรณีที่ได้รับเงินตราต่างประเทศจากต่างประเทศ และต้องการนำเงินตราต่างประเทศดังกล่าวไปชำระหรือหักกลบกับภาระค่าใช้จ่ายในต่างประเทศ[1] สามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเงินกลับเข้าประเทศ
2. การโอนเงินออกนอกประเทศ
1. การชำระค่าสินค้าหรือค่าบริการ เช่น ค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินกำไร หรือค่ารอยัลตี้ รวมถึงการโอนเงินเพื่อเป็น
ค่าใช้จ่ายการศึกษา สามารถทำได้ตามภาระค่าใช้จ่ายดังกล่าว
2. การลงทุนหรือให้กู้ยืมในต่างประเทศ
1) นิติบุคคลสามารถส่งเงินไปจัดตั้งหรือเข้าร่วมลงทุนในกิจการที่ต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป หรือ
ส่งเงินไปลงทุนในกิจการในเครือที่ต่างประเทศ หรือให้กู้ยืมแก่กิจการที่ต่างประเทศได้ โดยไม่จำกัดจำนวน
2) บุคคลธรรมดาสามารถส่งเงินไปจัดตั้งหรือเข้าร่วมลงทุนในกิจการที่ต่างประเทศ โดยมีสัดส่วนการถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป หรือลงทุนหรือให้กู้ยืมแก่กิจการในเครือที่ต่างประเทศของกิจการดังกล่าวได้ โดยไม่จำกัดจำนวน
ทั้งนี้ การส่งเงินไปลงทุนหรือให้กู้ยืมดังกล่าว จะต้องเป็นเงินตราต่างประเทศเท่านั้น ยกเว้นกรณีที่ลงทุนหรือให้กู้ยืมแก่กิจการในประเทศเวียดนาม หรือประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับไทย เพื่อที่จะนำไปใช้เพื่อการค้าหรือการลงทุนในไทยหรือในประเทศดังกล่าว
ให้ลงทุนหรือให้กู้ยืมเป็นเงินบาทได้
3. การลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศ
1) ผู้ลงทุนสถาบัน ได้แก่ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ สำนักงานประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวม (ไม่รวม
กองทุนส่วนบุคคล) ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ บริษัทประกันชีวิตและประกันวินาศภัย สถาบันการเงินที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้ง นิติบุคคลไทยที่มีสินทรัพย์ตั้งแต่ 5,000 ล้านบาท บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และผู้ประกอบธุรกิจสัญญา
ซื้อขายล่วงหน้า สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศ หรือหลักทรัพย์สกุลเงินตราต่างประเทศที่ออกหรือเสนอขายในไทยได้
ไม่จำกัดจำนวน[2]
2) บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยที่ไม่ใช่ผู้ลงทุนสถาบัน สามารถลงทุนในหลักทรัพย์ในต่างประเทศ หรือหลักทรัพย์สกุลเงินตรา
ต่างประเทศที่ออกหรือเสนอขายในไทยโดยไม่ผ่านตัวแทนการลงทุนในประเทศให้แก่บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศได้ในวงเงินไม่เกิน
5 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อรายต่อปี[2]
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนข้างต้นสามารถเลือกลงทุนผ่านตัวแทนการลงทุนในประเทศ เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ ผู้จัดการกองทุน
ส่วนบุคคล ได้โดยไม่จำกัดจำนวน ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดด้วย
4. การโอนเงินออกเพื่อวัตถุประสงค์อื่น
การส่งเงินให้เปล่าแก่บุคคลในต่างประเทศ ให้ทำได้ไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือเทียบเท่าต่อรายต่อปี ทั้งนี้ กรณีการส่งเงินของ
ผู้ที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศเป็นการถาวร หรือการส่งเงินให้ญาติที่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศเป็นการถาวร หรือการส่งเงินบริจาคให้แก่สาธารณประโยชน์ ให้ทำได้โดยไม่จำกัดจำนวน
การโอนเงินออกนอกประเทศผ่านธนาคารพาณิชย์เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆ สามารถทำได้ตามภาระผูกพันการชำระเงินในต่างประเทศ
ยกเว้นวัตถุประสงค์ที่กำหนดให้ต้องยื่นขออนุญาตจาก ธปท. ก่อน เช่น การชำระเงินที่เกี่ยวกับการซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศ
แลกกับเงินบาท หรือทำธุรกรรมอนุพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเงินบาทกับคู่สัญญาในต่างประเทศ หรือชำระเงินที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล
[1] ภาระค่าใช้จ่ายในต่างประเทศที่ไปชำระได้ ไม่รวมการนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ หรือนำไปชำระเพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดให้ต้องยื่นขออนุญาตจาก ธปท. ก่อน เช่น การชำระเงินที่เกี่ยวกับการซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศแลกกับเงินบาท หรือทำธุรกรรมอนุพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับเงินบาทกับ
คู่สัญญาในต่างประเทศ หรือชำระเงินที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล
[2] โดยให้มาลงทะเบียนผ่าน BOTWebsite เพื่อยื่นแบบแจ้งความประสงค์การลงทุนในตราสารในต่างประเทศ และอนุพันธ์ เป็นรายปี และให้รายงาน
ยอดคงค้างการลงทุนตามเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนด
3. เงินลงทุนจากต่างประเทศ
นักลงทุนต่างชาติสามารถโอนเงินเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้โดยไม่มีข้อจำกัดทั้งการลงทุนโดยตรง การลงทุนในหุ้น หรือตราสาร
ทางการเงินในประเทศไทย
การส่งคืนเงินลงทุน หรือชำระคืนเงินกู้จากต่างประเทศ สามารถดำเนินการได้โดยผ่านธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้ หากเป็นเงินกู้ที่ไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทย จะต้องเป็นเงินกู้ที่นำไปชำระภาระผูกพันในต่างประเทศตามที่กำหนด ซึ่งต้องไม่ใช่วัตถุประสงค์ที่กำหนดให้ต้องยื่นขออนุญาตจาก ธปท. ก่อน
4. การชำระเงินตราต่างประเทศระหว่างบุคคลไทยภายในประเทศ
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยสามารถชำระเงินตราต่างประเทศให้แก่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยรายอื่นได้ ซึ่งต้องสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจหรือความจำเป็นในการใช้เงินตราต่างประเทศ และธุรกรรมนั้นจะต้องมีความเชื่อมโยงกับต่างประเทศ เช่น การชำระค่าสินค้าและบริการเป็นเงินตราต่างประเทศในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain)
ทั้งนี้ ไม่รวมถึงการชำระเงินตราต่างประเทศระหว่างกันเพื่อวัตถุประสงค์ที่กำหนดให้ต้องขออนุญาตจาก ธปท. ก่อน ได้แก่ การชำระเงินที่เกี่ยวกับการซื้อขาย แลกเปลี่ยน หรือให้กู้ยืมเงินตราต่างประเทศ และการชำระเงินที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ ไม่อนุญาตให้ชำระเงินตราต่างประเทศระหว่างกันเป็นเงินสด
5. บัญชีเงินฝากธนาคาร
1. บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศของบุคคลไทย
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยสามารถเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศไว้กับธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยได้ โดยมีเงื่อนไขการฝากหรือถอน ดังนี้
1.1 การฝาก
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยสามารถนำเงินตราต่างประเทศฝากในบัญชีตามกรณีดังนี้ได้โดยไม่จำกัดจำนวน
1) เงินตราต่างประเทศอันมีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ เช่น รายได้ ค่าบริการ เงินลงทุนที่ได้รับมาจากต่างประเทศ
2) เงินตราต่างประเทศที่ตนเองได้จากการซื้อ แลกเปลี่ยน หรือกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์
3) เงินตราต่างประเทศที่ได้รับชำระจากบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยรายอื่น
ทั้งนี้ กรณีบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยฝากธนบัตรเงินตราต่างประเทศ ให้สามารถฝากได้ (1) ไม่เกินจำนวนเงินที่นำเข้ามาจาก
ต่างประเทศ หรือไม่เกินจำนวนเงินที่ได้รับจากธนาคารพาณิชย์หรือผู้ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินตราต่างประเทศประเภทอื่น หรือ (2) ไม่เกินวันละ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือเทียบเท่า
1.2 การถอน
1) เพื่อชำระภาระผูกพันให้แก่บุคคลในต่างประเทศ หรือบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยรายอื่นตามความจำเป็นตามข้อ 4
2) เพื่อชำระภาระผูกพันให้แก่ธนาคารพาณิชย์ หรือผู้ประกอบธุรกิจเงินตราต่างประเทศประเภทอื่น
3) เพื่อฝากเข้าบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศบัญชีอื่นของตน หรือของบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยรายอื่น
4) เพื่อขายเป็นเงินบาท
2. บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศสามารถเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศกับธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยได้ โดยการฝากหรือถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวสามารถทำได้โดยไม่มีข้อจำกัด เว้นแต่เป็นการฝากธนบัตรเงินตราต่างประเทศให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับกรณีการฝากธนบัตรเงินตราต่างประเทศของบุคคลไทย
3. บัญชีเงินบาทของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ
บุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศสามารถเปิดบัญชีเงินบาทไว้กับธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยได้ 2 ประเภท ดังนี้
3.1 บัญชีเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารทางการเงินอื่น การฝากหรือถอนเงินจากบัญชีต้องเป็นไปเพื่อการลงทุนในหลักทรัพย์และตราสารทางการเงินในประเทศไทย เช่น หุ้น พันธบัตร เป็นต้น
3.2 บัญชีเพื่อวัตถุประสงค์ทั่วไป การฝากหรือถอนเงินจากบัญชีต้องเป็นไปเพื่อวัตถุประสงค์อื่นที่ไม่ใช่เงินลงทุนในหลักทรัพย์และ
ตราสารทางการเงิน เช่น ค่าสินค้าบริการ เงินลงทุนโดยตรง เงินกู้ยืม เงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
ทั้งนี้ ยอดคงค้างในบัญชี ณ สิ้นวันสำหรับบัญชีแต่ละประเภทต้องไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อราย และห้ามโอนเงินระหว่างบัญชีแต่ละประเภท
6. การบริหารความเสี่ยง
ผู้ประกอบการในไทยสามารถทำสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้ากับธนาคารพาณิชย์เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตรา
แลกเปลี่ยนในกรณีต่างๆ ได้ เช่น กรณีมีรายได้หรือรายจ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศในอนาคต มีการลงทุนในต่างประเทศ หรือมีความเสี่ยงที่เกิดจากการบันทึกรายการในงบการเงิน เป็นต้น รวมทั้งสามารถทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงแทนกิจการในเครือในประเทศ และสามารถทำสัญญาดังกล่าวโดยใช้ประมาณการรายได้หรือรายจ่ายหรือความเสี่ยงตามที่กำหนดได้ ทั้งนี้ การต่ออายุหรือยกเลิกสัญญาซื้อหรือขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าดังกล่าว สามารถทำได้เสรี[3]
[3] การทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงแทนกิจการในเครือในประเทศ หรือโดยใช้ประมาณการ หรือการต่ออายุหรือยกเลิกสัญญาเสรี ไม่รวมถึงการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงกรณีค่าทองคำ ซึ่งเป็นกรณีที่ต้องขออนุญาตต่อ ธปท.
7.
การแจ้งรายการและการยื่นเอกสารประกอบการทำธุรกรรม
ผู้ที่ทำธุรกรรมซื้อ ขาย ฝาก หรือถอนเงินตราต่างประเทศกับธนาคารพาณิชย์ ต้องแจ้งรายการการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ
ต่อธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ กรณีการทำธุรกรรมของบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลไทยที่มีมูลค่าตั้งแต่ 200,000 ดอลลาร์ สรอ. ต่อรายการ ให้ยื่นเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องต่อธนาคารพาณิชย์ เว้นแต่กรณีที่ลูกค้าผ่านกระบวนการรู้จักลูกค้า (Know Your Business (KYB)) กับธนาคารพาณิชย์ ให้ธนาคารพาณิชย์สามารถไม่ต้องเรียกให้ลูกค้ายื่นเอกสารหลักฐานได้ หากเป็นธุรกรรมที่ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติม
เมื่อทำธุรกรรมดังกล่าวแล้ว ธนาคารจะออกหลักฐานประกอบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศตามที่กำหนด ให้แก่ผู้ทำธุรกรรม
8.
หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการนำเข้าหรือส่งออกธนบัตร
1. การนำธนบัตรเงินตราต่างประเทศหรือเงินบาทเข้ามาในประเทศทำได้ไม่จำกัดจำนวน
2. การนำธนบัตรเงินตราต่างประเทศหรือเงินบาทออกไปยังต่างประเทศ สามารถทำได้ดังนี้
(1) กรณีธนบัตรเงินตราต่างประเทศ สามารถนำออกไปต่างประเทศได้ตามจำนวนที่ซื้อจากธนาคารพาณิชย์หรือ money changer
(2) กรณีธนบัตรบาท สามารถนำออกไปยังประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม สาธารณรัฐประชาชนจีน (เฉพาะมณฑลยูนนาน) และประเทศที่มีพรมแดนติดต่อกับประเทศไทยได้ครั้งละไม่เกิน 2,000,000 บาท สำหรับประเทศอื่นนำออกได้ไม่เกินครั้งละ 50,000 บาท
ทั้งนี้ การนำธนบัตรเงินบาท ธนบัตรเงินตราต่างประเทศ หรือตราสารเปลี่ยนมือเข้ามาในประเทศหรือออกไปนอกประเทศ อันมีมูลค่ารวมกันเกินกว่า 450,000 บาท หรือ 15,000 ดอลลาร์สหรัฐหรือเทียบเท่า ต้องสำแดงรายการต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรตามแบบที่กำหนด
ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย
มิถุนายน 2565