ความสำคัญของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ
การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศมีความจำเป็นต่อยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศในหลายๆด้าน ทั้งในแง่ของ
ช่วยในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันและเติบโตได้ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่เป็นโลกาภิวัตน์
ช่วยให้การเคลื่อนย้ายเงินทุนมีความสมดุลมากขึ้น อันจะส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนและระบบการเงินของประเทศมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น
และประเทศสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ประโยชน์ในด้านอื่นๆ เช่น โอกาสทางการค้า หรือการมีส่วนช่วยในการพัฒนาตลาดการเงินของประเทศ
1. ช่วยในการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถแข่งขันขันและเติบโตได้

ภายใต้เศรษฐกิจโลกที่เป็นโลกาภิวัตน์มากขึ้น รวมถึงข้อจำกัดในด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศที่มีมากขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจไทยและโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยเองจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตเพื่อให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตและแข่งขันได้ ทั้งในแง่ของ
1.1 การแสวงหาตลาดใหม่หรือรักษาส่วนแบ่งตลาดเดิมในประเทศที่มีตลาดขนาดใหญ่หรือมีแนวโน้มที่จะเติบโตสูง (Market Seeking)
เนื่องจากธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งได้ขยายตัวเต็มศักยภาพการเติบโตในประเทศแล้ว ประกอบกับเศรษฐกิจไทยเติบโตในอัตราที่น้อยกว่าเศรษฐกิจของประเทศอื่นในภูมิภาคในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงจำนวนประชากรวัยทำงานผู้ซึ่งมีกำลังซื้อสูงที่มีอยู่จำกัด ธุรกิจหลายแห่งจึงจำเป็นต้องไปขยายกิจการในต่างประเทศ เพื่อแสวงหาตลาดใหม่ที่มีขนาดใหญ่และกำลังซื้อสูง (Market Seeking) เช่น จีน อินเดีย และอินโดนีเซียเพื่อให้ธุรกิจยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง
1.2 เพื่อแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติและเข้าถึงวัตถุดิบและแรงงานที่ถูกกว่าในประเทศ (Resource and Labor Seeking)
ธุรกิจหลายแห่งออกไปลงทุนโดยตรงในประเทศที่มีความสมบูรณ์ในทรัพยากรธรรมชาติเพื่อเข้าถึงวัตถุดิบที่มีราคาถูก ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของบริษัทได้ ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน พบว่าหลายประเทศยังคงมีทรัพยากรการผลิตที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าไทย อาทิ พม่าและเวียดนามมีไฟฟ้าและก๊าซธรรมชาติ อินโดนีเซียมีแหล่งน้ำมันดิบ ขณะที่ลาวและกัมพูชามีแหล่งกสิกรรม เป็นต้น ส่วนประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศก็มีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์มากกว่าไทย เช่นกัน อาทิ ออสเตรเลีย นอกจากนี้ ค่าจ้างแรงงานเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ผลักดันให้ภาคธุรกิจไทยออกไปลงทุนยังต่างประเทศมากขึ้น เนื่องจากค่าจ้างแรงงานของไทยค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชีย เช่น กัมพูชา เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องอีกจากนโยบายการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 300 บาท กอปรกับภาวะตลาดแรงงานไทยมีความตึงตัวมาก ส่งผลให้เริ่มมีอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเป็นหลักของไทย เช่น สิ่งทอ เริ่มมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีค่าแรงต่ำกว่าและมีการให้สิทธิพิเศษต่างๆในการลงทุน
1.3 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตรวมถึงการแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ๆ (Efficiency Seeking)
การออกไปลงทุนในต่างประเทศยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศในแง่ของการแสวงหาเทคโนโลยีและการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยอาจอยู่ในรูปของการออกไปร่วมทุนกับผู้ประกอบการในต่างประเทศที่ดำเนินธุรกิจที่มีศักยภาพสูงเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจของตนได้มากขึ้น หรือการลงทุนในประเทศที่มีความสามารถหรือความถนัดในการผลิต อาทิ กลุ่มธุรกิจผลิตอัญมณี ที่นอกจากจะแสวงหาตลาดและวัตถุดิบแล้วยังแสวงหาประสิทธิภาพโดยขยายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีความสามารถในการผลิตเช่น เยอรมนี เวียดนามและอินโดนีเซีย ส่วนกลุ่มธุรกิจอาหารกระป๋องและอาหารทะเลแช่แข็ง ได้มีการออกไปลงทุนในสหรัฐฯเพื่อแสวงหาเทคโนโลยีการผลิตที่ดีกว่าในประเทศ
1.4 เพื่อช่วยในด้านการกระจายความเสี่ยงของภาคธุรกิจ
การออกไปลงทุนในต่างประเทศยังช่วยในเรื่องของการกระจายความเสี่ยงของภาคธุรกิจ ทั้งในแง่ของแหล่งผลิต วัตถุดิบ แรงงาน รวมถึงการกระจายตลาดด้วย ทำให้ภาคธุรกิจไม่ต้องพึ่งพิงทรัพยากรหรือตลาดจากภายในประเทศแต่เพียงอย่างเดียว
2. ช่วยสร้างสมดุลต่อเงินไหลเข้า/ออกของประเทศ

การออกไปลงทุนในต่างประเทศมีส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างสมดุลให้เงินไหลเข้า/ออกประเทศมีความสมดุลมากขึ้น เนื่องจากที่ในช่วงที่ผ่านมา flows ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศของไทยจะเป็นด้านเงินไหลเข้าเป็นส่วนใหญ่ ทั้งจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด หรือการไหลเข้าของเงินลงทุนในหลักทรัพย์จากต่างชาติเป็นต้น ทั้งนี้ เงินไหลเข้า/ออกประเทศที่มีความสมดุลมากขึ้นจะช่วยให้
2.1 อัตราแลกเปลี่ยนและระบบการเงินของประเทศมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น ภาคการส่งออกและภาคการผลิตสามารถปรับตัวได้ อันจะช่วยให้ประเทศสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
2.2 เงินทุนเคลื่อนย้ายที่สมดุล จะช่วยให้อัตราแลกเปลี่ยนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเป็น shock absorber ให้ระบบเศรษฐกิจให้แก่ประเทศได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีเกิดวิกฤตการเงินในต่างประเทศ
2.3 เป็นการนำทรัพยากรจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเติบโตในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยมีฐานะเป็นประเทศเจ้าหนี้มากขึ้น และลดภาระของทางการในการ absorb ส่วนเกินจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด
3. ประโยชน์ในด้านอื่นๆ

นอกจากประโยชน์ในเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศใน 2 ข้อข้างต้นแล้วการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีก เช่น
3.1 เป็นการสร้างโอกาสในการลงทุนของภาคธุรกิจจากสถานการณ์ที่โลกไม่ปกติ - สถานการณ์โลกที่ไม่ปกติ โดยเฉพาะวิกฤติทางการเงินในแถบยุโรปและอเมริกา ทำให้นักลงทุนไทยสามารถใช้โอกาสจากการที่เศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้กำลังชะลอตัว รวมถึงการที่บริษัทในประเทศคู่แข่งทางตะวันตกมีความพร้อมลดลงให้เป็นประโยชน์ โดยธุรกิจไทยสามารถขยายกิจการในประเทศเหล่านี้ได้ผ่านการควบรวมและซื้อกิจการได้ในราคาถูก และยังเป็นวิธีการที่ง่ายและมีความเสี่ยงน้อยกว่าการออกไปลงทุนตั้งกิจการใหม่ขึ้นมาเอง และยังเป็นวิธีการที่ง่ายและมีความเสี่ยงน้อยกว่าการออกไปลงทุนตั้งกิจการใหม่ขึ้นมาเอง ภาครัฐจึงควรรีบให้การสนับสนุนเพื่อให้ภาคเอกชนสามารถใช้ประโยชน์จากวิกฤตการณ์เหล่านี้ให้เป็นโอกาสในการลงทุนได้ ทั้งนี้ สภาพคล่องภายในประเทศที่ยังมีอยู่มากในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนแหล่งเงินทุนให้ภาคเอกชนสามารถออกไปลงทุนได้ และไม่เกิดการ crowd out เศรษฐกิจ
3.2 ในบางกรณีการไปลงทุนต่างประเทศยังช่วยในการเลี่ยงอุปสรรคทางการค้า หรืออาจได้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (Generalised System of Preferences : GSP) จากการได้เข้าไปผลิตสินค้าในบางประเทศ เพื่อ 1) เพิ่มรายได้จากการส่งออกให้แก่ประเทศนั้น 2) ส่งเสริมอุตสาหกรรมของประเทศที่กำลังพัฒนา และ 3) เพื่อเพิ่มอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับประเทศกำลังพัฒนา
3.3 ช่วยในการพัฒนาตลาดการเงินภายในประเทศ – โดยการออกไปลงทุนในต่างประเทศที่เติบโตขึ้น จะมาพร้อมกับความต้องการในการระดมทุน การใช้บริการทางการเงินและธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ รวมถึงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งความต้องการธุรกรรมที่มีปริมาณมากขึ้นและหลากหลายขึ้น จะช่วยให้ตลาดการเงินไทยสามารถพัฒนาได้มากขึ้นทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้าง