เพราะโลกเปลี่ยนไว แบงก์ชาติจึงต้องเข้าถึงและเข้าใจมากกว่าเดิม
>>ดาวน์โหลดเอกสาร

เศรษฐกิจการเงินไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ทั้งกระแสการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของโลก (mega trends) อาทิ สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาการอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี รวมถึงปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศ อาทิ ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ระหว่างเมืองและชนบท และหนี้ภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ซึ่งการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มีส่วนเร่งให้ปัจจัยเชิงโครงสร้างเหล่านี้เกิดขึ้นเร็วขึ้น ธปท. ในฐานะผู้ดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน ตระหนักดีถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และเห็นว่าการประเมินภาพเศรษฐกิจการเงินโดยอาศัยเฉพาะข้อมูลสถิติหรือตัวเลขนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจข้อเท็จจริงเชิงพื้นที่และความร่วมมือจากทุกภาคส่วนด้วย เพื่อให้การออกแบบและดำเนินนโยบายทางการเงินมีความเหมาะสม ตรงจุด และใช้ได้จริง โครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจและธุรกิจระหว่าง ธปท. กับภาคธุรกิจ (Business Liaison Program : BLP) ที่เริ่มต้นเมื่อปี 2547 นับเป็นส่วนหนึ่งของการรับฟังเสียงสะท้อนของผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐ เพื่อจับชีพจรเศรษฐกิจการเงินร่วมกับข้อมูลตัวเลขและนำเสนอต่อคณะกรรมการต่าง ๆ ของ ธปท.
นอกจากนี้ ธปท. ได้ริเริ่มการลงพื้นที่ในโครงการ "เข้าถึง เข้าใจ วิถีชนบทไทย" ในปี 2562 ต่อเนื่องในปี 2563 เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงาน ธปท. ได้ "ติดดิน" หรือเข้าถึงข้อเท็จจริงในพื้นที่ด้วยตัวเอง ช่วยในการออกแบบและกำหนดนโยบายด้านต่าง ๆ ของ ธปท. ทั้งนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน นโยบายสถาบันการเงิน และนโยบายการชำระเงิน ให้มองได้รอบและคิดได้ครบ ตลอดจนสามารถดำเนินนโยบายได้อย่างมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผลตามเป้าหมายที่วางไว้
โครงการ "เข้าถึง เข้าใจ วิถีชนบทไทย" เป็นโครงการลงพื้นที่ร่วมกับทีมงานของมูลนิธิปิดทองหลังพระสืบสานแนวพระราชดำริ เปิดโอกาสให้ พนักงาน ธปท. ทั้งพนักงานใหม่จนถึงผู้บริหารระดับกลางซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ผู้มีส่วนในการกำหนดนโยบายได้เข้าถึข้อเท็จจริงในพื้นที่และเข้าใจวิถีคนชนบทที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศและเป็นรากฐานของเศรษฐกิจไทย และได้เรียนรู้ตัวอย่างการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบองค์รวมที่ใช้ในการแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ ตลอดจนได้เรียนรู้และฝึกทักษะที่จำเป็นในการรวบรวมข้อเท็จจริงเชิงพื้นที่เพื่อสังเคราะห์เป็นนโยบายด้านที่รับผิดชอบ โครงการดังกล่าวได้จัดมาแล้ว 3 รุ่น ลงพื้นที่ในจังหวัดอุทัยธานี กาฬสินธุ์ และน่าน ตามลำดับ มีพนักงาน ธปท. เข้าร่วมโครงการฯ แล้วมากกว่า 100 คน

การลงพื้นที่ในแต่ละครั้ง พนักงาน ธปท. ได้ใช้เวลาร่วมกับชาวบ้านนาน 3 วัน เริ่มต้นตั้งแต่เรียนรู้ปัญหาเชิงโครงสร้างในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับน้ำ เนื่องจากชาวบ้านจำนวนมากประกอบอาชีพทำการเกษตร น้ำจึงเป็นสิ่งสำคัญในการทำมาหาเลี้ยงชีพ และได้เข้าใจแนวคิดของการสร้างอ่างเก็บน้ำหรือฝายเพื่อช่วยบริหารจัดการน้ำให้ได้ใช้กันอย่างทั่วถึง อีกทั้งได้ลองสวมบทบาทเป็นเกษตรกร อาทิ เกี่ยวข้าว เตรียมดิน และสร้างฝาย ซึ่งทำให้เข้าใจความรู้สึกของชาวบ้านอย่างแท้จริง ตลอดจนได้พูดคุยกับชาวบ้าน ทำให้เห็นพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการใช้จ่ายเงิน และในช่วงสุดท้าย พนักงาน ธปท. ได้ถอดบทเรียนและสะท้อนสิ่งที่เรียนรู้ เพื่อนำมาประยุกต์เข้ากับการออกแบบและกำหนดนโยบายในด้านที่รับผิดชอบ โดยเฉพาะภายใต้บริบทการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
การถอดบทเรียนหลังจากลงพื้นที่รับฟังและเข้าใจปัญหาของชาวบ้านที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากนโยบายโดยตรง พบข้อเท็จจริงสำคัญ 3 ประการ ที่ควรนำมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบและกำหนดนโยบายของ ธปท. ได้แก่ 1) การออกแบบนโยบายอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงและไม่ทำนโยบายแบบปูพรม หรือ one policy fits all เพราะแต่ละพื้นที่มีบริบทที่แตกต่างกัน การออกแบบนโยบายต้องคำนึงถึงความต่างและทำให้เหมาะสมและตรงจุด 2) การดำเนินนโยบายช่วยเหลือต่าง ๆ ควรทำแบบมีเงื่อนไข เพราะเงื่อนไขจะช่วยกระตุ้นให้คนมีความรู้สึกเป็นเจ้าของ สร้างแรงจูงใจให้คนปรับตัว และใช้ประโยชน์จากความช่วยเหลืออย่างคุ้มค่า และ 3) นโยบายจะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อบูรณาการทุกภาคส่วน
เพราะความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้การผลักดันนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกันและทำให้นโยบายมีประสิทธิภาพจนถึงระดับปฏิบัติ พร้อมดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ หากคำนึงถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้จะช่วยบรรลุเป้าหมายของ ธปท. ในการสนับสนุนการเติบโต (growth) และการเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจการเงินให้มีเสถียรภาพ มีการพัฒนาที่ยั่งยืน (sustainability) และทั่วถึง (inclusion)