​ภาคธุรกิจไทยจะเติบโตได้ไกลแค่ไหน?

แจงสี่เบี้ย No. 5/2023 | 14 มีนาคม 2566

“Economic growth springs from better recipes, not just from more cooking” หรือการเติบโตทางเศรษฐกิจมาจากตำรับการปรุงอาหารที่ดีขึ้น ไม่ใช่เพียงการทำอาหารเพิ่ม คือ คำกล่าวของศาสตราจารย์พอล โรเมอร์ (ปี 2550) ที่อุปมาอุปไมยกิจกรรมการผลิตเหมือนการทำกับข้าวในครัวที่นำปัจจัยการผลิต เช่น ผัก และเนื้อสัตว์ มาผ่านกระบวนการปรุงอาหารเพื่อให้ได้อาหารมื้ออร่อยที่มีมูลค่าสูงขึ้น ในเชิงเศรษฐกิจการสร้างผลผลิตขึ้นกับการใช้ปัจจัยการผลิตทั้งปัจจัยทุนและแรงงาน รวมทั้งการปรับปรุงกระบวนการผลิต ในการวัดว่าแต่ละประเทศใช้ปัจจัยการผลิตด้านแรงงานได้คุ้มค่าเพียงใด

article-2023mar14-cover.png

หนึ่งในเครื่องชี้วัดที่นักเศรษฐศาสตร์นิยมใช้ คือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ต่อชั่วโมงการทำงาน หรือเรียกว่า ผลิตภาพแรงงาน (Labor productivity) ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดที่สามารถเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ได้ โดยข้อมูลของ World bank ล่าสุดปี 2565 พบว่า GDP ต่อชั่วโมงทำงานของไทยอยู่ 15.1 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อชั่วโมง หรือประมาณ 521 บาทต่อชั่วโมง (อัตราแลกเปลี่ยน ณ สิ้นปี 2565 ที่ 34.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) และเป็นอันดับที่ 155 จากทั้งหมด 265 ประเทศ โดย GDP ต่อชั่วโมงทำงาน ขึ้นอยู่กับการลงทุน (Capital Deepening) และประสิทธิภาพการผลิต (Total Factor Productivity: TFP) ซึ่งบทความนี้ต้องการตอบคำถามว่า แหล่งที่มาของการเติบโตของ GDP ต่อชั่วโมงการทำงานของไทยมาจากปัจจัยใด และแต่ละสาขาธุรกิจมีการเติบโตของ TFP มากน้อยเพียงใด ซึ่งสามารถสรุปข้อค้นพบได้ ดังนี้

 

ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา GDP ต่อชั่วโมงทำงานของไทยเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3% ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก TFP จาก รูปที่ 1 จะเห็นได้ว่า แหล่งที่มาของการขยายตัวของ GDP ต่อชั่วโมงทำงาน แบ่งเป็นส่วนที่มาจาก 1) ผลตอบแทนจากการลงทุน (Capital Deepening) ประมาณ 1% (แถบสีน้ำเงิน) ถือว่าค่อนข้างน้อย เพราะประเทศไทยมีการลงทุนอยู่ในระดับต่ำมาเป็นเวลานาน สำหรับเหตุผลที่การลงทุนไทยจึงอยู่ในระดับต่ำ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ "เจาะลึกการลงทุนไทยใน 9 มิติ: ทำอย่างไรจึงจะพลิกฟื้นการลงทุนไทย" ของ ธปท.[1] และจาก 2) การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ (TFP) ประมาณ 2% (แถบสีส้ม) ดังนั้น TFP จึงเป็นปัจจัยหลักในการผลักดัน GDP ต่อชั่วโมงทำงานของไทย และความเข้าใจ TFP ในแต่ละสาขาธุรกิจเป็นสิ่งสำคัญ

article-2023mar14-1.JPG

จากการศึกษาพบว่า ศักยภาพของภาคธุรกิจในไทยมีความแตกต่างกันมาก โดยสาขาธุรกิจประมาณ 1 ใน 3 ของ GDP แทบไม่เห็นการเติบโตของ TFP (ตารางที่1) โดยกลุ่มสาขาธุรกิจที่ไม่มีการเติบโตของ TFP เช่น 1) ภาคเกษตรกรรมที่ผลผลิตต่อไร่โดยรวมไม่มีการเติบโตอย่างชัดเจน อีกทั้งปริมาณผลผลิตได้รับผลกระทบจากภัยแล้งและโรคระบาดในสัตว์ 2) ธุรกิจสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่อยู่ในช่วงขาลงมาระยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากค่าจ้างแรงงานปรับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าผลิตภาพแรงงาน ขณะที่การลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีที่ไม่เพียงพอ ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทย 3) ธุรกิจสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปัจจุบันไทย ยังเน้นการรับจ้างประกอบสินค้าที่ปลายน้ำ รวมถึงผลิตสินค้าที่ใกล้หมดความนิยม เช่น ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HDD) และ 4) การบริการสาธารณูปโภค เป็นธุรกิจที่มีผู้ผลิตน้อยราย ทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อแข่งขันกับผู้ให้บริการรายอื่

article-2023mar14-2.JPG

ขณะที่กลุ่มสาขาธุรกิจที่มีการเติบโตของ TFP เช่น 1) ธุรกิจการค้าที่ความสำเร็จส่วนหนึ่งขึ้นกับการมีเครือข่ายทางธุรกิจ (business networking) และช่องทางการขายสินค้าที่กว้างไกล ซึ่งการเข้ามาของระบบการชำระเงินที่มีประสิทธิภาพและ e-commerce ช่วยให้ TFP ในภาคการค้าขยายตัวได้ดี 2) ธุรกิจการศึกษาได้รับผลบวกจากเทคโนโลยีสื่อการสอนที่เอื้อให้นักเรียนสามารถเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ แม้จะอยู่ในชุมชนห่างไกล 3) การผลิตยานยนต์และการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการย้ายฐานการผลิตและถ่ายทอดเทคโนโลยีมาจากต่างประเทศ และ 4) ธุรกิจการแพทย์ที่เติบโตจากบุคลากรทางการแพทย์และเทคโนโลยีการรักษาที่มีคุณภาพ ทำให้ไทยเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาตินิยมเข้ารับบริการทางการแพทย์ของไทย

 

อย่างไรก็ตาม ผลวิเคราะห์จากข้อมูลในอดีต ซึ่งกลุ่มที่ทำได้ดีในอดีตไม่ได้หมายความว่าจะทำได้ดีในอนาคต มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับความท้าทายมากมาย เช่น กระแสเศรษฐกิจสีเขียว จะกระทบธุรกิจผลิตรถยนต์และธุรกิจผลิตน้ำมันในไทย จากกระแสความนิยมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มีมากขึ้น ประกอบกับความต้องการของผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศที่ต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และแน่นอนว่าเราไม่ควรละทิ้งกลุ่มใดไว้ข้างหลัง โดยเฉพาะกลุ่มซบเซาอย่างภาคเกษตร ซึ่งมีแรงงานคิดเป็น 30% ของแรงงานทั้งหมด การเพิ่มผลผลิตต่อไร่เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการวิจัยและพัฒนาพันธุ์พืช หรือการผลักดันเรื่องการเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) รวมทั้งยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกมากที่จะเพิ่มความคุ้มค่าให้กับการลงทุน เช่น ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความพร้อมด้านแรงงานที่มีคุณภาพ กฎระเบียบและประสิทธิภาพของภาครัฐจะที่เอื้อภาคธุรกิจดำเนินการได้สะดวกด้วยต้นทุนที่ต่ำ เป็นต้น

 

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้เขียนมองว่าการที่ 32% ของ GDP ไทยไม่มีการเติบโตของ TFP ถือเป็นโอกาสหรือพื้นที่ในการพัฒนาประเทศ ซึ่งหากไทยสามารถเพิ่ม TFP และเกาะกระแสการเปลี่ยนแปลงได้ การเติบโตของเศรษฐกิจไทยต่อชั่วโมงทำงานที่ 4–5% คงไม่ไกลเกินเอื้อม...

Endnotes:

[1] บทความเรื่อง”เจาะลึกการลงทุนไทยใน 9 มิติ: ทำอย่างไรจึงจะพลิกฟื้นการลงทุนไทย”. https://www.bot.or.th/th/research-and-publications/articles-and-publications/articles/Article_19Jan2022.html

ผู้เขียน

Kerkkiat Phrommin photo เกริกเกียรติ พรหมมินทร์ KerkkiaP@bot.or.th
เศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

นักเศรษฐศาสตร์ผู้ติดตามและวิเคราะห์ทั้งเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีความสนใจด้านการลงทุนในตลาดการเงินในหลากหลายสินทรัพย์

Rattiyakorn Limuntachai photoรัตติยากร ลิมัณตชัย RattiyaL@bot.or.th
ผู้วิเคราะห์อาวุโส ฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

นักเศรษฐศาสตร์ที่ติดตามและวิเคราะห์การเติบโตของเศรษฐกิจมหภาค รวมถึงศึกษาพฤติกรรมการลงทุนของคนไทยในหลักทรัพย์ต่างประเทศและนโยบายโครงสร้างตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

Disclaimer: ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และการกล่าว คัด หรืออ้างอิงข้อมูลบางส่วนตามสมควรในบทความนี้ จะต้องกระทำโดยถูกต้อง และอ้างอิงถึงผู้เขียนโดยชัดแจ้ง

 

Theme: การเติบโตของเศรษฐกิจ

Tags: ประสิทธิภาพการผลิต, การลงทุน, ผลิตภาพแรงงาน, GDP, กระบวนการผลิต, ภาคธุรกิจ, Total Factor Productivity, TFP, ปัจจัยการผลิต, ธนาคารแห่งประเทศไทย, แจงสี่เบี้ย, คอลัมนิสต์, เกริกเกียรติ พรหมมินทร์, รัตติยากร ลิมัณตชัย

คอลัมน์แจงสี่เบี้ย 

เป็นช่องทางสื่อสารมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ในสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยในประเด็นเศรษฐกิจ Hot issues รวมถึงให้ความรู้ทางเศรษฐกิจการเงิน และนโยบายและผลกระทบแก่สาธารณชน

Advisory Editors

ดร.สักกะภพ พันธ์ยานุกูล -- ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
ดร.สุรัช แทนบุญ -- ฝ่ายนโยบายการเงิน สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

Economics and Production Editor
ดร.เสาวณี จันทะพงษ์ -- ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย

Media Queries
งานสื่อมวลชน -- ฝ่ายกลยุทธ์สื่อสารและความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย MassMediaCCD@bot.or.th