​เงินอิเล็กทรอนิกส์ – เงินยุคใหม่ ที่คุณควรรู้จัก

นายอนุชิต ศิริรัชนีกร

คุณผู้อ่านคงคุ้นเคยกับการใช้จ่ายผ่านบัตรประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บัตรเครดิต หรือ บัตรเดบิตกันอยู่บ้าง แต่เมื่อพูดถึงการใช้จ่ายผ่านเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Money แล้ว หลายคนอาจจะร้องอ๋อ แต่ผมเชื่อเหลือเกินว่ายังมีอีกหลายคนที่อาจจะยังไม่คุ้น บางคนอาจจะไม่รู้จัก หรือแม้กระทั่งไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำไป

วันนี้เรามาไขข้อข้องใจกันดีกว่าครับ ว่าตกลงแล้วเจ้า e-Money คืออะไร ใช้อย่างไร มีประโยชน์อย่างไร

สำหรับคุณที่ไม่รู้จัก ก็ต้องเริ่มรู้ในเบื้องต้นก่อนว่า e-Money เป็นสื่อการชำระเงินที่ใช้แทนเงินสดในลักษณะ "จ่ายก่อน" นั่นคือ คุณในฐานะผู้ใช้บริการต้องจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้ให้บริการ ซึ่งคุณจะได้รับe-Money เพื่อนำไปใช้ในการชำระเงิน โดยมีมูลค่าเท่ากับจำนวนเงินที่ชำระไว้ก่อนหน้านั่นเอง

ส่วนคนที่คุ้นและเคยใช้อยู่บ้าง ก็อย่าเพิ่งนอนใจว่ารู้จัก e-Money ดีพอ เพราะหลายคนอาจเข้าใจผิดไปได้ว่า e-Money มีแต่ในรูปแบบบัตร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว e-Money แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

Card based ที่มูลค่าเงิน ข้อมูลของบัตร และข้อมูลการใช้จ่ายจะถูกแปลงและเก็บไว้ในชิปขนาดเล็กที่ฝังอยู่บนสิ่งต่าง ๆ ซึ่งที่เราคุ้นตากันมากที่สุดก็คือบัตร เช่น บัตรโดยสารรถไฟฟ้า บัตรที่ใช้ซื้อของตามร้านสะดวกซื้อ บัตรศูนย์อาหาร แต่นอกจากบัตรแล้วก็ยังมีการพัฒนาให้มีรูปแบบอื่น ๆ ได้อีก เช่นโทรศัพท์มือถือ พวงกุญแจ เป็นต้น (แม้จะมีรูปแบบที่นอกเหนือ จากบัตร แต่ยังคงใช้คำว่า Card based ตามหลักสากล เนื่องจากบัตรเป็นรูปแบบเริ่มแรกและมีการใช้มากที่สุด)

สำหรับประเภทต่อมา คือ Network/Server based หรือ e-Money บนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งมูลค่าเงินและข้อมูลต่าง ๆ จะถูกแปลงและเก็บไว้ใน Server กลางของผู้ให้บริการ โดยผู้ใช้บริการต้องลงทะเบียนเปิดบัญชี e-Money ออนไลน์ไว้กับผู้ให้บริการก่อน แล้วจึงเริ่มเติมเงินเข้าบัญชีผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์มือถือ เพื่อนำไปใช้จ่าย โดยส่วนใหญ่จะใช้เพื่อซื้อสินค้าและบริการออนไลน์ ซึ่งในปัจจุบัน e-Money ในลักษณะนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะในบรรดาขาช็อปตามร้านค้าออนไลน์ รวมถึงร้านค้าขนาดใหญ่หลายแห่งก็เริ่มเสริมบริการนี้เป็นทางเลือกด้วย

อาจมีบางคนเคยได้ยินชื่อบริการอื่นที่ฟังดูคล้าย ๆ e-Money แต่เรียกว่า e-Purse, e-Wallet, e-Cash หรือ Mobile money ซึ่งถ้ามองกันให้ดีแล้ว ชื่อเหล่านี้เป็นชื่อในเชิงธุรกิจที่มีความหมายคล้ายคลึงกัน นั่นคือเงินหรือกระเป๋าสตางค์ที่แปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น ในอนาคตหากเราเจอกับคำอื่น ๆ อย่าง e-Coin หรือ e-Banknote ก็คงจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า แท้ที่จริงทั้งหมดนี้ก็คือ e-Money นั่นเองครับ อ่านถึงตรงที่นี้ หลายคนคงเริ่มสนใจว่า e-Money มีข้อดีอย่างไร? คำตอบง่าย ๆ ก็คือ "ความสะดวก" นั่นเองครับ เพราะ e-Money ได้รับการพัฒนาเพื่อการชำระเงินที่ต้องการความรวดเร็วและจำนวนเงินที่ชำระไม่สูงมากนัก ผู้ใช้ไม่ต้องเตรียมเงิน เตรียมเหรียญเพื่อใช้จ่าย และไม่ต้องเสียเวลาในการรอนับและรับเงินทอนนอกจากนี้ e-Money ยังเหมาะกับผู้ที่ไม่มีบัตรเครดิต หรือเดบิต ในการใช้ชำระเงินให้ร้านค้าออนไลน์ และเหนือสิ่งอื่นใด การใช้ e-Money จะช่วยลดต้นทุนในการจัดการเงินสดให้กับประเทศไทยได้มหาศาลทีเดียวครับ

ในหลาย ๆ ประเทศ อย่าง ฮ่องกง สิงคโปร์ อังกฤษ การใช้ e-Money โดยเฉพาะแบบ Card based ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เรียกได้ว่าแทบทุกคนต้องมีบัตร e-Money เพราะด้วยบัตรเพียงใบเดียว ก็สามารถใช้ชีวิตได้ตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตั้งแต่การจ่ายค่าเดินทางขึ้นรถไฟฟ้า ลงเรือด่วน เชื่อมรถเมล์ แถมต่อด้วยรถไฟใต้ดิน ไปจนถึงการซื้ออาหารในฟู้ดคอร์ท ซื้อตั๋วหนัง จ่ายค่ามือถือ หรือซื้อสินค้าตามร้านค้า ว่ากันว่าในฮ่องกง ทุกๆ 1 วินาที มีการใช้บัตร e-Money มากถึงประมาณ 120 ครั้ง เลยทีเดียว

คุณผู้อ่านคงมีคำถามผุดขึ้นในใจว่า "แล้วประเทศไทยล่ะ?" ก็คงต้องบอกกันตรงนี้ให้อุ่นใจกันครับว่า บริการ e-Money ของไทยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้ให้บริการของไทยได้โปรโมทการใช้งาน e-Money ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้บัตร e-Money กับเครื่องรับบัตร หรือการใช้งาน e-Money ผ่านอินเทอร์เน็ต หรือโทรศัพท์มือถือ ร่วมทั้งมีโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม เพื่อดึงดูดการใช้งานอย่างต่อเนื่อง

และก็คงต้องบอกให้ดีใจกันอีกด้วยว่า ตอนนี้มีสัญญาณที่ดีจากภาครัฐในการสนับสนุนการใช้งานe-Money อีกด้วยครับ โดย สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ได้ริเริ่มโครงการดำเนินงานบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม (Thai Common Ticket) ที่สนับสนุนให้ใช้บัตร 1 ใบสามารถใช้จ่ายค่าโดยสารขนส่งสาธารณะได้ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน เรือด่วน รวมถึงระบบทางพิเศษต่าง ๆ และยังจะสามารถนำไปใช้กับร้านค้าได้ในอนาคต โดยคาดว่าคนไทยเราจะเริ่มได้เห็นได้ใช้บัตรนี้ ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า… อดใจรอนะครับ!

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ คงจะทำให้คุณผู้อ่านรู้แล้วว่า e-Money ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวคุณอีกต่อไป และเมื่อคุณรู้จัก รู้ประโยชน์กันแล้ว ผมก็หวังว่าคงจะทำให้คุณเริ่มอยากใช้ e-Money กันมากขึ้นนะครับ

-วันนี้คุณใช้ e-Money แล้วรึยังครับ?-

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย