ผมเพิ่งมีเวลามาดูจริงจัง ตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสองที่สภาพัฒน์แถลงไปเมื่อกลางเดือนนี้ ตอนนั้นจำได้แค่ว่า เศรษฐกิจไตรมาสสองขยายตัวร้อยละ 7.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่คาดการณ์ทั้งปี สภาพัฒน์มองไว้ประมาณร้อยละ 1 ซึ่งตัวเลขร้อยละ 7.5 สูงกว่าคาดการณ์ของ ธปท. รอบเดือนมิถุนายนตอนที่มองเศรษฐกิจทั้งปีโตได้ร้อยละ 1.8 อีก ทำให้อัตราการขยายตัวที่ปรับฤดูกาลแล้วจากไตรมาสก่อนหน้าของไตรมาสสองเป็นบวก หักปากกาทุกสำนักโดยถ้วนหน้า
ตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาสสองจะถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นการขยายตัวครั้งแรกตั้งแต่โควิด-19 เริ่มระบาดในไตรมาสแรกของปีที่แล้ว จริงๆแล้ว การขยายตัวจากระยะเดียวกันของปีก่อนเป็นเรื่องที่คาดกันไว้ล่วงหน้า เนื่องจากในไตรมาสสองของปีที่แล้ว เศรษฐกิจไทยหดตัวลึกถึงร้อยละ 12.1 คือ ถ้าไตรมาสสองปีนี้ไม่เห็นการขยายตัวเป็นบวกก็คงเป็นหายนะทางเศรษฐกิจแล้ว สิ่งที่ทุกสำนักจับตามอง คือ เศรษฐกิจไตรมาสสองจะเป็นบวกได้มากน้อยแค่ไหน
หลักๆแล้ว อัตราการขยายตัวที่สูงเกินคาดของเศรษฐกิจในไตรมาสสองมาจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวสูง ต้องบอกว่าเราโชคดีมากๆที่เศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัวดีมาก ไม่เหมือนปีก่อนๆที่เศรษฐกิจโลกมักรับบทเป็นผู้ร้ายที่ฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยถ้านับเฉพาะการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แม้จะยังขยายตัวเป็นบวกจากระยะเดียวกันปีก่อน แต่อัตราการขยายตัวจากไตรมาสก่อนที่ปรับฤดูกาลแล้วของทั้งสองตัวติดลบติดต่อกันเป็นไตรมาสที่สอง เท่ากับว่าการใช้จ่ายภาคเอกชนในประเทศกลับไปสู่ภาวะถดถอยซ้ำสองแล้ว
ด้วยความที่เศรษฐกิจโลกเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสอง ผมเลยอยากทราบว่าประเทศเพื่อนบ้านของเราเป็นอย่างไรกันบ้าง โดยเฉพาะสิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ที่นักลงทุนเรียกรวมกับไทยว่าเป็นประเทศ ASEAN-5 พบว่า มีสองประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์และอินโดนีเซีย ที่อัตราการขยายตัวในไตรมาสสองของปีนี้สูงกว่าอัตราการหดตัวในปีที่แล้ว ส่วนอีกสองประเทศ ได้แก่ มาเลเซียขยายตัวต่ำกว่าที่หดตัวในปีที่แล้วเล็กน้อย ขณะที่ฟิลิปปินส์แม้จะขยายตัวสูง แต่ส่วนต่างของตัวเลขปีนี้กับปีที่แล้วดูแย่กว่าไทยเล็กน้อย
อัตราการขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนของประเทศ ASEAN-5
ประเทศ | 2563 Q2 | 2564 Q2 |
---|---|---|
ไทย | -12.1% | 7.5% |
มาเลเซีย | -17.2% | 16.1% |
ฟิลิปปินส์ | -17.0% | 11.8% |
สิงคโปร์ | -13.3% | 14.7% |
อินโดนีเซีย | -5.3% | 7.1% |
ประเทศที่น่าสนใจ คือ มาเลเซีย ซึ่งใน 4 ประเทศใกล้กับไทยมากที่สุดในแง่ของโครงสร้างเศรษฐกิจ และระดับของการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ปรากฏว่าทั้งการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนของเขาขยายตัวได้ดีทีเดียว เรามักใช้การระบาดของโควิดระลอกใหม่ในการอธิบายการใช้จ่ายภาคเอกชนของเราที่ถดถอยในไตรมาสสอง แต่หากไปดูจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ต่อจำนวนประชากรทั้งหมด จะพบว่าสถานการณ์โควิด-19 ในมาเลเซียดูจะแย่กว่าไทยพอสมควร อีกทั้งการล็อคดาวน์ของเขาก็เข้มกว่าเรามาก คำถามคือ ทำไมการใช้จ่ายในประเทศของเขาฟื้นได้ดีกว่าเรา
ถ้าไปอ่านบทวิเคราะห์เศรษฐกิจของมาเลเซีย พบว่า นักวิเคราะห์ให้สองเหตุผลที่ทำให้การใช้จ่ายภาคเอกชนในประเทศของมาเลเซียยังไปได้ดี ประการแรก นักวิเคราะห์ชี้ว่าผู้บริโภคและธุรกิจมาเลเซียปรับตัวได้ดี เนื่องจากเขาผ่านการระบาดหนักๆมารอบหนึ่งแล้ว จุดนี้จะต่างกับไทยที่เราคุมการระบาดในสองรอบแรกได้ดีมาก เราเลยเหมือนปลาช็อคน้ำ ทั้งๆที่ถ้าดูจากกราฟ การระบาดในไตรมาสสองยังไม่ถือว่ารุนแรงมาก ของจริงคือไตรมาสสาม ซึ่งเป็นสาเหตุหลักว่าทำไมสภาพัฒน์ปรับตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปีลง แม้ตัวเลขไตรมาสสองจะออกมาดีกว่าที่ทุกสำนักคาด
ประการที่สอง นักวิเคราะห์ชี้ไปที่อัตราการฉีดวัคซีนของมาเลเซียที่เป็นรองจากเพียงสิงคโปร์ และสูงกว่าไทยประมาณสองเท่า เรื่องวัคซีนนี้ เป็นผลจากนโยบายแทงม้าตัวเดียวของการจัดหาวัคซีนของเราในช่วงแรก ซึ่งไปเจอแจ็กพอตว่า บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ที่เราคาดหวังให้เป็นผู้ผลิตวัคซีน Astra Zeneca เป็นวัคซีนหลักของประเทศ ผลิตได้ต่ำกว่าเป้ามาก
ถ้าตอนนั้นเรามีการกระจายความเสี่ยงในการหาวัคซีน เราก็น่าจะสามารถบริหารจัดการสถานการณ์ได้ดีกว่านี้ จริงอยู่ว่าหลายประเทศที่ฉีดวัคซีนเกือบครบแล้วยังมีการติดเชื้อใหม่จำนวนมาก แต่ทั้งตัวเลขสัดส่วนผู้เสียชีวิตและตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ก็ฟ้องชัดเจนว่าดีกว่าประเทศที่ฉีดวัคซีนได้น้อย นับว่ายังดีที่ตอนหลังรัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญของการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม เข้าทำนองว่า มาช้ายังดีกว่าไม่มา
ถ้าเราทุ่มทุนตั้งแต่ตอนแรก ความจำเป็นในการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบก็จะไม่สูงเท่านี้ ตัวเลขหลุมทางเศรษฐกิจที่เราต้องถมเพิ่มเติมคงไม่ถึง 1 ล้านล้านบาทตามที่ผู้ว่าฯ ธปท. ให้สัมภาษณ์
มองไปข้างหน้า การที่รัฐบาลยอมให้เอกชนนำเข้าวัคซีนได้เองน่าจะเร่งอัตราการฉีดวัคซีนในประเทศได้ ผนวกกับแนวโน้มผู้ติดเชื้อใหม่ในปัจจุบันที่โน้มลดลง มีความเป็นไปได้สูงว่าช่วงที่เลวร้ายที่สุดในมิติของตัวเลขสาธารณสุขน่าจะผ่านพ้นไปแล้ว
อย่างไรก็ดี ในมิติของตัวเลขเศรษฐกิจ ถ้าเรายึดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งปีนี้ที่สภาพัฒน์ให้ไว้ที่ร้อยละ 0.7-1.2 เนื่องจากเรามีตัวเลขจริงของการขยายตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีแรกแล้ว เราสามารถคำนวณตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังที่สภาพัฒน์คาดการณ์ได้ ซึ่งเท่ากับร้อยละ -1.0 ถึงร้อยละ 0.0 ซึ่งหมายความว่าสภาพัฒน์มองว่า แม้ในกรณีที่ดีที่สุด แรงส่งของเศรษฐกิจโลกก็ไม่สามารถดึงให้เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังขยายตัวเป็นบวกได้ และในกรณีที่เศรษฐกิจขยายตัวต่ำกว่าตัวเลขขั้นต่ำของสภาพัฒน์ ก็มีความเป็นไปได้ที่ไตรมาสสองอาจจะเป็นเพียงไตรมาสเดียวที่เราจะเห็นอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นบวกในปีนี้
ผู้เขียน :
ดร.ดอน นาครทรรพ
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย