ณัฐิกานต์ วรสง่าศิลป์ ฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
กมลพร ขำนิล มูลนิธิสุภา วงค์เสนา เพื่อการปฏิรูปสิทธิลูกหนี้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ” กล่าวคือ ใจเป็นพลังที่มองไม่เห็นในสเปคตรัมที่ตาปกติมองเห็น จับต้องไม่ได้ แต่เราสัมผัสได้ถึงพลังใจที่มีอยู่ เพียงแต่เราอาจควบคุมใจไม่ได้เด็ดขาด บางวันเรามีสติคุมใจได้ ทำอะไรก็ไม่มีผิดพลาด ทุกอย่างสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ถ้าวันไหนโกรธใครมาหรืออยู่ในอารมณ์เศร้า สติคุมใจไม่อยู่ เราก็เหมือนคนละเมอ มีแต่ร่างเคลื่อนไหวอยู่ แต่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว คิดการสิ่งใดย่อมยากจะสำเร็จ[1] จนมีผู้รู้ยุคหลังๆ พยายามขยายความพลังของใจไว้น่าสนใจว่า
“ความคิดกำหนดการกระทำ การกระทำกำหนดนิสัย นิสัยกำหนดความเคยชิน ความเคยชินกำหนดชะตากรรม” [2]
ด้วยความสำคัญของใจที่จะทำให้ทุกอย่างสำเร็จได้ จึงมีความพยายามนำหลักคิดต่าง ๆ มาช่วยให้เราควบคุมใจเราให้ดีขึ้น เช่น การมองโลกในแง่บวก เพื่อให้ตัดสิ่งที่จะเหนี่ยวรั้งพลังของใจออกไป เป็นต้น
หลายคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินรุมเร้าขณะนี้อาจเข้าใจพลังของใจได้ดี เพราะเคยผ่านจุดที่ดีของชีวิตและกำลังเผชิญกับจุดที่ยากจะควบคุมขณะนี้ เพราะหากนึกย้อนไปในช่วงที่เรากำลังทำงานได้ เงินทองมีใช้คล่องมือ แม้มีหนี้สินขนาดไหนเราไม่เคยต้องกังวลอะไร คิดจะทำอะไรก็คล่องตัว จิตใจฮึกเหิม เราสามารถเห็นช้างตัวเท่ามด กล้าคิดกล้าตัดสินใจทุกอย่าง ในทางตรงกันข้าม เมื่อหนี้สินรุมเร้า ค้าขายฝืดเคือง รายได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ความกังวลและความเครียดทำให้ความคิดยิ่งตีบตัน จิตใจหดหู่ ท้อแท้ สิ้นหวัง จนสามารถเห็นมดตัวเท่าช้าง ขาดความมั่นใจที่จะคิดหรือตัดสินใจที่สำคัญ บางคนหยุดความคิดไม่ได้ แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ที่บางคนอาจขาดทักษะในการควบคุมจิตใจ หรือที่มีทักษะ ฝึกมาดี ก็อาจไม่เก่งพอที่จะควบคุมใจได้ทุกขณะ แต่เมื่อเราพอรู้หลักการทำงานของใจ ก็ไม่ยากเกินที่เราจะปรับวิธีคิด เพื่อพลิกชีวิตจากคนที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว มาสู่คนที่มีอิสรภาพทางการเงินได้
น้อยหน่า (กมลพร ขำนิล) ผู้ร่วมเขียนบทความนี้ก็เคยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และใช้กลยุทธ์ปลุกกำลังใจตัวเองจนกู้วิกฤติชีวิตได้สำเร็จ และทุกวันนี้เธออุทิศตัวเพื่อช่วยแก้ไขหนี้สินภาคประชาชน ในโอกาสนี้ เธอถ่ายทอดประสบการณ์ของลูกหนี้ที่ใช้ “พลังใจเปลี่ยนความคิดจนสามารถพลิกชีวิตจนหลุดบ่วงหนี้สำเร็จ” ไว้อย่างน่าสนใจ
พลังแรกคือ ความกตัญญู ลูกหนี้คนหนึ่ง ที่พ่อแม่สละเงินสะสมทั้งชีวิตเพื่อมาวางดาวน์บ้านให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันในบ้านหลังนี้ แต่เธอกลับใช้ชีวิตผิดพลาดจนบ้านหลังนี้เกือบถูกยึด เธอรู้สึกผิดกับพ่อแม่มาก เพราะหากเธอปล่อยให้บ้านหลังนี้ถูกยึด เท่ากับเป็นการทำลายความไว้วางใจที่ได้รับจากพ่อแม่ให้เธอรักษาสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อแม่ร่วมกันสร้างไว้ ความฝันสูงสุดของเธอขณะนั้นคือ อยากให้พ่อแม่วัยเกษียณได้อยู่บ้านหลังนี้จนวาระสุดท้าย ด้วยความตั้งใจเช่นนี้ เธอจึงพยายามทำงานให้มาก แม้งานที่เหมาะกับการศึกษาไม่มี ก็ดิ้นรนรับจ้างสารพัดอย่าง เท่าที่จะแปรกำลังกายเป็นกำลังเงินได้ เธอเล่าว่า ที่น่าอัศจรรย์คือ ยิ่งทำงานมากเท่าไร ยิ่งทำให้ช่องว่างที่เคยน้อยใจชีวิต ตีบลงจนไม่เหลือพื้นที่ในใจ และทำให้ผลของงานดีขึ้นเป็นลำดับ สุดท้าย เธอก็ทำทุกสิ่งสำเร็จได้อย่างตั้งใจ บ้านไม่ถูกยึด หลุดพ้นจากวังวนหนี้ เริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม
พลังต่อมาคือ ความรักลูกหลาน ลูกหนี้อีกรายเป็นนักธุรกิจ ที่มีภาระเลี้ยงลูกและหลานจากพี่ชายที่พิการรวม 10 คน เมื่อการค้าไม่เป็นใจ แต่ภารกิจชีวิตยังหนักอึ้ง ลูกหลานอยู่ในวัยเรียน ทุกคนต้องกิน-ใช้-เรียนหนังสือ เส้นทางข้างหน้าตีบตัน แทบไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ การจบชีวิตนับเป็นเรื่องง่ายมาก แต่เขาคิดว่า ถ้าเขาไม่อยู่สักคนเดียว ลูกหลานอีก 10 ชีวิตจะทำอย่างไร เมื่อเรียนผูกต้องเรียนแก้ เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะสู้ให้สุดชีวิตเพื่อลูกหลาน จึงไม่มีความกลัวหรือกังวลอะไรที่จะมาเหนี่ยวรั้งใจเขาได้อีก ... เขาตัดสินใจขายทรัพย์และกิจการทุกอย่าง ละทิ้งความสะดวกสบายในชีวิต เพื่อแสดงความจริงใจกับเจ้าหนี้ เพราะถ้าเขาอยู่สบายแบบล้มบนฟูก แต่เจ้าหนี้เดือดร้อน การเจรจาคงไม่สำเร็จ ที่สำคัญ เมื่อขายทรัพย์ทุกอย่าง จึงมีเงินก้อนไปเจรจากับเจ้าหนี้ทุกราย โดยขอจ่ายเงินต้นแค่บางส่วน และสัญญาว่าจะทยอยส่งคืนหนี้ที่เหลือเป็นเดือน ๆ ไป ซึ่งเจ้าหนี้ก็เห็นถึงความจริงใจของลูกหนี้รายนี้ สุดท้ายก็ยอมทำตามเงื่อนไขที่ลูกหนี้เสนอ โดยลูกหนี้รายนี้มีเพียงเงินก้อนเล็กน้อยไปตั้งตัวในต่างจังหวัด ที่ชีวิตเมื่อเริ่มต้นใหม่ในบ้านเมืองที่ไม่มีใครรู้จักย่อมมีอุปสรรคนานัปการ แต่พลังความรักลูกหลานและความรู้สึกขอบคุณเจ้าหนี้ที่ให้โอกาสเขาอีกครั้ง ได้แปรเป็นความตั้งใจ ขยัน ประหยัด อดทน อย่างสุดความสามารถ ในที่สุดเขาสามารถส่งลูกหลานทุกคนจนเรียนจบปริญญาอย่างตั้งใจ ทุกคนล้วนมีอนาคต และจ่ายหนี้คืนจนครบทุกบาท พลังใจที่กอบกู้วิกฤติชีวิตครั้งนี้ ทำให้ทุกคนในครอบครัว เพื่อน และเจ้าหนี้ศรัทธาในตัวเขามาก และเขากลายเป็นฮีโร่ในดวงใจของคนแวดล้อมในที่สุด
พลังสุดท้ายที่กล่าวถึงคือ พลังที่อยากเห็นชีวิตตัวเองดีขึ้น แน่นอนว่า ชีวิตไม่มีอะไรที่จะรับรองความสำเร็จได้ บางคนว่า ความสำเร็จเป็นเรื่องของฟ้า แต่เรื่องของใจ เป็นเรื่องของตัวเราล้วน ๆ ... ลูกหนี้หลายคน เคยรู้สึกท้อกับชีวิตที่ผิดพลาด แต่ที่พวกเขาลุกขึ้นมาได้ เพราะอยากเห็นชีวิตตัวเองดีขึ้นในวันหน้า แปรทุกอุปสรรคให้เป็นอุปกรณ์ในการขับเคลื่อนชีวิตไปข้างหน้า งานขายของข้างถนนที่เคยอาย ก็หมดอายกันวันนี้ งานรับจ้างขัดส้วมที่เคยรังเกียจ ก็กลั้นใจทำไป ในช่วงชีวิตที่รองาน เลือกงานไม่ได้ ก็ต้องสู้กันสักตั้ง เราคงไม่ได้ทำงานประเภทนี้ทุกวัน ให้มันรู้ไปว่า ทำงานพวกนี้แล้วมือจะหงิกง่อยไป นี่คือพลังใจที่ลูกหนี้หลายคนปลุกให้ตัวเองตื่นจากความกังวล และความเศร้าหมองต่าง ๆ ที่สำคัญเมื่อได้ทำงาน ความคิดที่เคยฟุ้งซ่าน ความรู้สึกไม่ดีกับตัวเองก็ลดน้อยลงเป็นลำดับ สติก็เริ่มควบคุมใจได้มากขึ้น สุดท้ายหลายคนก็ผ่านช่วงวิกฤติของชีวิตไปได้
เมื่อย้อนกลับไปถามลูกหนี้หลายรายหลังจากที่พวกเขาพลิกชีวิตขึ้นมาได้ พวกเขารู้สึกอย่างไร คำตอบที่ได้รับคือ เขาภูมิใจในตัวเอง และวิกฤติชีวิตใช่ว่าจะเลวร้ายไปทั้งหมด เพราะวิกฤติทำให้พวกเขาใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังขึ้น การออมเป็นสิ่งสำคัญ และถ้าจะลงทุนครั้งต่อไปก็รอบคอบมากขึ้น เพราะรู้แล้วว่า ความเสี่ยงมาได้ทุกทาง โดยเฉพาะทางที่เรามองไม่เห็น อย่างการระบาดของโควิดครั้งนี้ ทำให้ต้องเผื่อใจไว้ในสิ่งที่มองไม่เห็น บางคนคิดบวกไปยิ่งกว่านั้น เขาบอกว่า ถ้าเขาไม่เคยมีประสบการณ์จากวิกฤติครั้งก่อน ๆ วิกฤติครั้งนี้อาจเจ็บหนักกว่าครั้งก่อน ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ล้วนทำให้ความคิดเราเติบโต จิตใจเข้มแข็ง เพื่อเตรียมพร้อมกับความไม่แน่นอนต่าง ๆ ในชีวิตได้อย่างมั่นใจขึ้น
สุดท้ายสิ่งที่อยากจะฝากไว้กับลูกหนี้ทุกคนว่า ไม่ว่าปัญหาหนี้สินจะหนักแค่ไหน ขอให้นำพลังความกตัญญู พลังความรักลูกหลาน และพลังใจที่อยากเห็นชีวิตตัวเองดีขึ้น แปรไปเป็นความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเอง ที่จะพลิกชีวิตจากคนที่หนี้สิ้นล้นพ้นตัว ไปสู่ผู้มีอิสรภาพทางการเงินได้สำเร็จ ... ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเตือนพวกเราเสมอว่า “ไม่ว่าวิกฤติไหน ๆ ย่อมมีวันจบ” ครั้งนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่เราต้องอดทนถึงที่สุด อย่าเพิ่งฆ่าความหวังของตัวเอง เพราะความหวังเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดในช่วงที่เราเผชิญหน้ากับวิกฤติ
[1] ประยุกต์จากคำบรรยายของคุณหมออมรา มลิลา[2] หลักคิดของ ซามูเอล สไมลส์ (Samuel Smiles) นักคิด-นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษ
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทยและมูลนิธิสุภา วงค์เสนา เพื่อการปฏิรูปสิทธิลูกหนี้
>>