ไม่ว่าช่วงก่อนเลือกตั้ง แต่ละพรรคการเมืองจะพูดถึงเศรษฐกิจไทยอย่างไร คาดการณ์เศรษฐกิจไทยของทุกสำนักวิเคราะห์และทุกหน่วยงานภาครัฐบอกว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้สูงกว่าในปีที่แล้ว โดยบางสำนักคาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้สูงถึงเกือบร้อยละ 4 ต่อปี

 

ปลายปีที่แล้ว ผมเขียนบทความลงกรุงเทพธุรกิจ 2 ตอน ว่าด้วย 4 อุบัติเหตุหรือ 4 ฉากทัศน์ที่จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้สะดุดลงได้ (“เศรษฐกิจไทยไปต่อ แต่ต้องระวังสามอุบัติเหตุ” และ “อุบัติเหตุที่ 4 ที่ต้องระวังของเศรษฐกิจไทย”) ผ่านมาครึ่งปี เรามาดูกันว่า ฉากทัศน์ไหนที่สามารถตัดทิ้งได้ ฉากทัศน์ไหนที่ยังวางใจไม่ได้ครับ

 

4 ฉากทัศน์ดังกล่าวได้แก่ 1. การส่งออกสินค้าไทยไปต่างประเทศติดลบ 2. ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องทั้งปี 3. เงินเฟ้อไทยติดลมบน และ 4. เกิดวิกฤตในระบบการเงินโลก

 

เริ่มที่ฉากทัศน์แรก การส่งออกสินค้าติดลบ ต้องบอกว่า ฉากทัศน์นี้เกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้วขยายตัวต่ำกว่าที่ทุกฝ่ายคาดไว้ อย่างไรก็ดี ในปีนี้ เศรษฐกิจไทยมีตัวช่วยจากการเปิดประเทศที่เร็วกว่าคาดของจีน ซึ่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจะช่วยดึงเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียขึ้นไปด้วย แต่ที่สำคัญเป็นพิเศษสำหรับไทย คือ การกลับมาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งทุกสำนักประเมินว่า แรงส่งทางเศรษฐกิจจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวในปีนี้มีขนาดใหญ่กว่าแรงฉุดจากการส่งออกสินค้าที่หายไป กอปรกับล่าสุดการส่งออกสินค้ามีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี จึงเท่ากับว่า เราไม่ต้องกังวลกับฉากทัศน์นี้แล้ว

 

ต่อด้วยฉากทัศน์ที่ 2 เฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องทั้งปี ก่อนหน้านี้ ผมกังวลกับฉากทัศน์นี้มากที่สุด เพราะถ้าเฟดขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปเรื่อยๆ ธนาคารกลางทั่วโลกคงต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายต่อเนื่องตาม นำไปสู่การถดถอยรุนแรงของเศรษฐกิจโลก

 

อย่างไรก็ดี หลังการประชุมเฟดครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ผู้เล่นส่วนใหญ่ในตลาดการเงินประเมินว่า เฟดจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว และจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลงในช่วงครึ่งหลังของปี ตามการชะลอตัวที่ชัดเจนขึ้นของเศรษฐกิจสหรัฐฯ

 

แม้ท่านประธานเฟดจะให้สัมภาษณ์หลังการประชุมว่า เฟดยังไม่ปิดประตูการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ปัญหาในระบบธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมาทำให้ภาวะการเงินในสหรัฐฯตึงตัวขึ้นพอสมควร ถ้าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่อ ก็อาจจะอย่างมากอีกเพียงหนึ่งครั้ง ดังนั้น ณ จุดนี้ น่าจะสามารถตัดทิ้งฉากทัศน์ที่เฟดและธนาคารกลางทั่วโลกจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปเรื่อยๆจนเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรงได้ ซึ่งต้องถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดีมากๆสำหรับเศรษฐกิจไทย

 

สำหรับฉากทัศน์ที่ 3 เงินเฟ้อไทยติดลมบน ซึ่งจะบีบให้ไทยต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากๆเหมือนเฟด ณ จุดนี้ ฉากทัศน์นี้ก็สามารถตัดทิ้งได้เช่นกัน ด้วยอัตราเงินเฟ้อของไทยลดลงเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดมาก โดยล่าสุดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยเดือนเมษายนเหลือเพียงร้อยละ 2.67 ต่อปี เทียบกับร้อยละ 4.9 ต่อปี ในสหรัฐฯ

 

แม้จะยังมีความเสี่ยงว่า อัตราเงินเฟ้อไทยอาจจะกลับมาปรับสูงขึ้นได้ หากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่องนำไปสู่การปรับขึ้นราคาสินค้าของผู้ประกอบการในอัตราที่สูงกว่าที่เคยเป็นมา แต่ผมเชื่อว่า ถ้าเศรษฐกิจไทยไม่ได้ร้อนแรงจริงๆ โอกาสที่อัตราเงินเฟ้อของไทยจะกลับขึ้นไปร้อยละ 4-5 ต่อปี น่าจะมีน้อยมาก

 

มาที่ฉากทัศน์ที่ 4 ซึ่งเป็นฉากทัศน์สุดท้าย เกิดวิกฤตในระบบการเงินโลกแบบปี 2551 จากการปรับขึ้นอย่างรวดเร็วของต้นทุนทางการเงิน และสภาพคล่องที่ตึงตัวขึ้นในตลาดการเงินโลก

ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเราโชคดีมาก ที่ไม่ว่าในกรณีกองทุนบำเหน็จบำนาญในอังกฤษ กรณีตลาดหุ้นกู้ระยะสั้นในเกาหลีใต้ กรณีธนาคาร SVB และธนาคาร First Republic ในสหรัฐฯ หรือกรณีธนาคารเครดิตสวิสในสวิสเซอร์แลนด์ ทางการของแต่ละประเทศสามารถจัดการได้อย่างทันท่วงที ไม่ให้ปัญหาเฉพาะจุดลุกลามไปสู่ปัญหาเชิงระบบ

 

มองไปข้างหน้า ผมเชื่อว่าจะมีเหยื่อของสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เปลี่ยนไปโผล่มาอีก ทั้งนี้ ต้องบอกว่า ในเรื่องของทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ผมเห็นต่างจากคาดการณ์ของตลาดที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในปีนี้ โดยหากอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯยังลดลงในอัตราที่ช้าแบบในปัจจุบัน เฟดน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายยาวข้ามปี เพราะท่านประธานเฟดพูดแล้วพูดอีกว่า เฟดให้ความสำคัญสูงสุดกับการดูแลเงินเฟ้อ และยอมรับได้หากจำเป็นต้องแลกกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งถ้าเฟดยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธนาคารกลางอื่นก็คงยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเช่นกัน ผมเชื่อว่ากรณีเดียวที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ คือ เกิดวิกฤตการเงินในสหรัฐฯ

 

ช่วงเวลาที่ต้องระวัง คือ ครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯชะลอตัวลงชัดเจน แต่อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ที่น่ากลัวคือไม่ได้มีเฉพาะสหรัฐฯที่เปราะบางต่ออัตราดอกเบี้ยสูง และไม่มีอะไรรับประกันว่าเราจะโชคดีเหมือน 5 กรณีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ถ้าโลกผ่านช่วงนี้ไปได้ ก็ไม่น่าจะมีปัจจัยภายนอกที่จะมาหยุดเศรษฐกิจไทยได้

 

โดยสรุป ผมมองว่าเส้นทางของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีค่อนข้างสดใส จาก 4 ฉากทัศน์ เหลือเพียงฉากทัศน์เดียวที่จะทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยสะดุดลง อย่างไรก็ตาม ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไม่ควรประมาท และควรเตรียมแผนรองรับกรณีเลวร้ายไว้ เข้าทำนอง Hope for the best, prepare for the worst ครับ

 

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด

 

ผู้เขียน : ดอน นาครทรรพ
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน