มาตรการแจกเงินมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร
คอลัมน์บางขุนพรหมชวนคิด | 14 ตุลาคม 2567
ระหว่างวันที่ 25 ถึง 30 กันยายนที่ผ่านมา คนไทยกลุ่มเปราะบางกว่า 14 ล้านคนได้รับเงิน 1 หมื่นบาทจากมาตรการเงินโอน ผู้เขียนจึงขอใช้โอกาสนี้เขียนบทความเพื่ออธิบายผลของมาตรการดังกล่าวต่อเศรษฐกิจ โดยก่อนหน้านี้ ผู้อ่านหลายท่านคงประหลาดใจว่า ทำไมหลายองค์กรได้ประเมินผลการแจกเงินต่อเศรษฐกิจไว้ค่อนข้างน้อย ซึ่งน้อยกว่ามูลค่าของเงินที่แจกไปเสียอีก หลายท่านน่าจะคิดว่าเงินที่แจกลงไปจะถูกใช้จ่ายหมุนเวียนกันอีกหลายรอบและน่าจะทำให้ผลต่อเศรษฐกิจมีมากกว่าเงินตั้งต้นที่ใส่เข้าไป ผลของเงินหมุนนี้นักเศรษฐศาสตร์จะเรียกว่า "ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ" ซึ่งบทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียด เพื่อสร้างความกระจ่างให้ท่านผู้อ่านเข้าใจถึงผลกระทบของการแจกเงินต่อเศรษฐกิจ
ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจคืออะไร
ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจเป็นตัวชี้วัดว่าการอัดฉีดเงินลงไปในระบบเศรษฐกิจของรัฐบาลจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจหรือเพิ่ม GDP ได้เท่าไร หากตัวทวีคูณนี้มีค่ามากกว่าหนึ่ง แปลว่า การอัดฉีดเงินจะมีผลต่อเศรษฐกิจมากกว่าเงินที่ใส่เข้าไป ในทางกลับกันหากตัวทวีคูณนี้มีค่าน้อยกว่าหนึ่ง ผลที่ได้จะน้อยกว่ามูลค่าตั้งต้น แม้ท่านผู้อ่านจะไม่ได้เรียนเศรษฐศาสตร์ แต่ก็สามารถตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจได้ด้วยสมมติฐานที่ว่า "ถ้าการแจกเงินมีตัวทวีคูณมากกว่าหนึ่ง การแก้ปัญหาเศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะเลือกใช้วิธีนี้กันอย่างแพร่หลาย" และยิ่งมีตัวทวีคูณสูงๆ ก็ยิ่งคุ้มค่า โดยที่ภาครัฐอาจไม่ต้องกังวลเรื่องฐานะทางการคลัง เพราะการกู้มาแจกเงินมีผลต่อเศรษฐกิจสูงและย่อมนำมาซึ่งรายได้ทางภาษีแก่รัฐบาล
อย่างไรก็ตาม มาตรการแจกเงินแก่ครัวเรือนไม่ได้ถูกผู้ดำเนินนโยบายทั่วโลกนำมาใช้บ่อยๆ หรือถ้าถูกใช้ ก็มักจะใช้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ หรือใช้เฉพาะเจาะจงให้กับบางกลุ่มเท่านั้น เพราะมาตรการแจกเงินมีต้นทุนทางการคลังสูงที่อาจสร้างปัญหาเสถียรภาพทางการคลังในอนาคต จากข้อสังเกตนี้ จึงดูเหมือนว่าการแจกเงินจะมีตัวทวีคูณน้อยกว่าหนึ่ง หากเรามาดูงานศึกษาเรื่องตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจ ซึ่งมีงานศึกษาที่น่าสนใจของ Hlaváček and Ismayilov (2022)[1] โดยเป็นการรวบรวมการศึกษาเรื่องตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจกว่า 130 งานศึกษาทั่วโลก และมีผลลัพธ์ในการวัดตัวทวีคูณประเภทต่างๆ กว่า 3,000 ผลลัพธ์ด้วยกัน ด้วยข้อมูลที่มากนี้ ทำให้ค่าเฉลี่ยของตัวทวีคูณในงานศึกษาดังกล่าวมีความน่าเชื่อถือและน่าจะมีความคลาดเคลื่อนน้อย โดยการศึกษาพบว่า ค่าเฉลี่ยของตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจสำหรับมาตรการแจกเงินจะอยู่ที่ประมาณ 0.5
ทำไมการแจกเงินมักมีผลต่อเศรษฐกิจน้อยกว่าเงินที่ใส่เข้าไป
ทำไมการแจกเงินจึงมีตัวทวีคูณน้อยกว่าหนึ่ง เพื่อความง่ายในการอธิบาย ผู้เขียนจะแบ่งผลของการแจกเงินต่อเศรษฐกิจเป็น 2 ส่วนคือ การใช้จ่ายในรอบแรก และการใช้จ่ายในรอบต่อๆ ไปหรือรอบเงินหมุน และขอยกตัวอย่างด้วยตัวเลขง่ายๆ โดยสมมติว่า ครัวเรือนหนึ่งมีรายได้ต่อเดือน 2 หมื่นบาท มีค่าใช้จ่ายต่อเดือน 1.8 หมื่นบาท และรัฐบาลมีการแจกเงิน 1 หมื่นบาท ทำให้รายได้เดือนนี้เพิ่มเป็น 3 หมื่นบาท หากครัวเรือนนี้ยังใช้จ่ายที่ 1.8 หมื่นบาทเท่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเพราะขอออมเงินดีกว่าหรือนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปจ่ายหนี้ ก็จะถือว่าไม่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจเลย ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจในกรณีนี้จะมีค่าเท่ากับศูนย์ และเมื่อไม่ได้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในรอบแรก ก็ไม่มีผลต่อเนื่องใดๆ ในรอบเงินหมุน จะเห็นได้ว่าการใช้จ่ายในรอบแรกเป็นตัวแปรสำคัญในการวัดผลต่อเศรษฐกิจ
การใช้จ่ายและการนำเข้า "ส่วนเพิ่ม" คืออะไร และสำคัญอย่างไรต่อผลของการแจกเงิน
คำถามที่สำคัญคือ การใช้จ่ายของครัวเรือนในรอบแรกจะเพิ่มขึ้นจาก 1.8 หมื่นบาทเป็นเท่าไร คำถามนี้คือกุญแจสำคัญไม่ว่าเงินที่ได้จะเป็นเงินสดหรือเงินดิจิทัล ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่าต่อให้เป็นเงินดิจิทัลที่จำกัดเงื่อนไขในการใช้จ่าย ครัวเรือนก็จะใช้เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทนี้จนหมด แต่หากการใช้จ่ายนี้เป็นการซื้อของที่เดิมทีจะซื้ออยู่แล้ว เป็นแค่ส่วนหนึ่งในค่าใช้จ่ายรายเดือน 1.8 หมื่นบาท ครัวเรือนนี้ก็สามารถควักเงินเพิ่มอีก 8 พันบาทจากรายได้ปกติ ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจจะมีค่าเท่ากับศูนย์ทันที เพราะครัวเรือนไม่ได้ใช้จ่ายมากขึ้น ประเด็นสำคัญของผลกระทบจากรอบแรกจึงอยู่ที่ว่า การแจกเงินจะสามารถกระตุ้นให้ครัวเรือนมีการใช้จ่าย "ส่วนเพิ่ม" เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่ได้แจกเงิน หรือ "ใช้จ่ายนอกเหนือจากระดับปกติ" มากน้อยเพียงใด ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์จะเรียกการใช้จ่ายส่วนเพิ่มนี้ว่า "Marginal Propensity to Consume" (MPC) ทั้งนี้ MPC จะมีค่าเท่ากับหนึ่ง เมื่อครัวเรือนใช้จ่ายส่วนเพิ่มเท่ากับรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งหมด ในกรณีนี้คือใช้จ่าย 2.8 หมื่นบาท และจะเท่ากับศูนย์หากไม่มีการใช้จ่ายส่วนเพิ่มเลย
คำถามถัดมาคือ แล้ว MPC ขึ้นอยู่กับอะไร หากท่านผู้อ่านเป็นผู้มีรายได้สูง เช่น มีรายได้เดือนละ 2 แสนบาท มีเงินเก็บออมหลักล้าน เมื่อมีเงินเพิ่มขึ้นอีก 1 หมื่นบาท ท่านจะใช้จ่ายเหมือนเดิมตามชีวิตประจำวันหรือท่านจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าปกติมากน้อยเพียงใด ผู้เขียนคิดว่าน่าจะใช้จ่ายใกล้เคียงปกติ ในทางกลับกัน หากท่านคือกลุ่มรายได้น้อย มีรายได้เดือนละไม่ถึงหมื่น เมื่อเงินเพิ่มขึ้น 1 หมื่นบาท ท่านคงจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าปกติพอสมควร จะเห็นได้ว่า กลุ่มรายได้น้อยจะมี MPC มากกว่ากลุ่มรายได้สูง นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจก็มีอิทธิพลต่อ MPC เพราะภาวะเศรษฐกิจกระทบรายได้ของครัวเรือน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ช่วงวิกฤตโควิด 19 ที่เศรษฐกิจไม่ดี รายได้หลายครัวเรือนลดลง การใช้จ่ายย่อมลดลงตาม การแจกเงินของรัฐบาลในช่วงดังกล่าวจะมี MPC สูงสำหรับครัวเรือนที่ตกงานหรือรายได้ที่ลดลงมาก เพราะการใช้จ่ายจะสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับกรณีที่เขาไม่ได้รับเงิน นอกจากนี้ การคืนหนี้ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ MPC ต่ำลงเพราะจะทำให้มีเงินเหลือมาใช้จ่ายส่วนเพิ่มน้อยลง
นอกจาก MPC แล้ว ผลกระทบจากการใช้จ่ายรอบแรกยังขึ้นอยู่กับสัดส่วนสินค้านำเข้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญไม่แพ้กัน เพราะต่อให้มี MPC เท่ากับหนึ่ง หากรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นถูกนำไปใช้ซื้อสินค้านำเข้าทั้งหมด ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจจะใกล้เคียงศูนย์ทันที[2] เพราะเป็นการซื้อของต่างชาติที่ผลิตโดยต่างชาติ นักเศรษฐศาสตร์จะเรียก "การนำเข้าส่วนเพิ่ม" เมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นว่า "Marginal Propensity to Import" (MPM) หาก MPM มีค่าเท่ากับหนึ่ง จะหมายถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดถูกนำไปใช้จ่ายกับสินค้านำเข้าทั้งหมด เช่น นำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ การแจกเงินก็จะแทบไม่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยเลย ในทางตรงกันข้ามหาก MPM เป็นศูนย์จะได้ผลดีต่อเศรษฐกิจไทยแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะการแจกเงินถูกนำไปใช้กับสินค้าที่ผลิตและใช้วัตถุดิบในประเทศทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคต่อการบริโภคภาคเอกชนของไทยอยู่ที่ประมาณ 30% ทั้งนี้ กลุ่มรายได้สูงมักจะมี MPM มากกว่ากลุ่มรายได้น้อย เพราะมีแนวโน้มซื้อสินค้านำเข้าแบรนด์เนมมากกว่า หรือมักเป็นผู้ประกอบการที่ต้องใช้วัตถุดิบจากการนำเข้า ดังนั้น ผลกระทบจากการใช้จ่ายรอบแรกจะขึ้นอยู่กับทั้ง MPC และ MPM ยกตัวอย่างเช่น หากครัวเรือนมีรายได้เพิ่มขึ้น 1 หมื่นบาท และครัวเรือนใช้จ่ายมากกว่าปกติ 7 พันบาท แต่ใน 7 พันบาทนี้ มีองค์ประกอบที่เป็นการนำเข้าสินค้า 3 พันบาท ผลการใช้จ่ายจากรอบแรกต่อเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 4 พันบาทเท่านั้น
ผลที่แตกต่างระหว่างการใช้จ่ายรอบแรกและรอบเงินหมุน
เงินที่นำมาใช้จ่ายในรอบต่อๆ ไปมักจะให้ผลทางเศรษฐกิจน้อยกว่ารอบแรก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า แม้ผลของรอบเงินหมุนจะขึ้นอยู่กับ MPC และ MPM เหมือนกัน แต่ตัวเลข MPC และ MPM ในรอบเงินหมุนมักจะไม่ใช่ตัวเลขเดียวกันกับรอบแรก เพราะกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับรายได้จากรอบแรกมักเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางหรือรายได้สูง ให้เราลองนึกดูว่า เมื่อคนจนนำรายได้ไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่เจ้าของธุรกิจบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ในกลุ่มรายได้สูง ซึ่งกลุ่มนี้มักมีการใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่ต่ำ (MPC ต่ำลง) และมีแนวโน้มซื้อสินค้านำเข้ามากกว่า (MPM สูงขึ้น) โดยจากตัวอย่างก่อนหน้านี้ ผลจากเงินหมื่นของรอบแรกที่ 4 พันบาท มีแนวโน้มถูกนำไปใช้จ่ายในรอบต่อไปในสัดส่วนที่น้อยกว่า สมมติว่าเป็น 1 พันบาท และใน 1 พันบาทนี้ มีองค์ประกอบที่เป็นการนำเข้า 5 ร้อยบาทที่ต้องหักออก ทำให้ผลในรอบสองต่อเศรษฐกิจอยู่ที่ 5 ร้อยบาท ผลจากรอบแรกและรอบสองรวมกันจึงอยู่ที่ 4 พัน 5 ร้อยบาทจากจุดตั้งต้นที่ 1 หมื่นบาท ท่านผู้อ่านคงเห็นแล้วว่าในรอบต่อๆ ไป ผลก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก ซึ่งโดยสุทธิแล้วน่าจะใกล้เคียง 5 พันบาท ตัวอย่างสมมติที่กล่าวมานี้ให้ค่าตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจที่ประมาณ 0.5
จะเห็นได้ว่าการออมเงิน การคืนหนี้ และการนำเข้าสินค้าล้วนมีบทบาทสำคัญในการประเมินผลกระทบของมาตรการแจกเงินต่อเศรษฐกิจ จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายองค์กรประเมินผลการแจกเงินไว้น้อยกว่ามูลค่าของเงินตั้งต้นที่โอนให้ประชาชน เพราะน่าจะเห็นตรงกันว่าตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจจะมีค่าน้อยกว่าหนึ่ง โดยแต่ละองค์กรจะมีสมมติฐานของ MPC และ MPM ทั้งการใช้จ่ายในรอบแรกและในรอบเงินหมุนที่แตกต่างกันไป โดยรวมแล้วตัวทวีคูณที่ต่ำกว่าหนึ่ง ทำให้ผลกระทบของการแจกเงินดูเหมือนน้อยและอาจจะขัดกับความรู้สึก ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะช่วยสร้างความกระจ่างและคลายความสงสัยให้แก่ท่านผู้อ่านครับ
1) Hlaváček and Ismayilov (2022). “Meta-Analysis: Fiscal Multiplier”, Working Papers IES 2022/07, Charles University Prague, Faculty of Social Sciences, Institute of Economic Studies.
2) ตัวทวีคูณทางเศรษฐกิจจะไม่ใช่ศูนย์ เพราะภาคการค้า เช่น ผู้นำเข้าสินค้า จะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจบ้าง
** บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด **