ไทยจะก้าวผ่านความท้าทายเพื่อคว้าโอกาสลงทุนได้อย่างไร

คอลัมน์ร่วมด้วยช่วยคิด | 03 กุมภาพันธ์ 2568

เริ่มต้นปีใหม่พร้อมกับความท้าทายใหม่ ๆ ในหลายด้านที่เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญ ทั้งจากความไม่แน่นอนของนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงการเริ่มต้นใช้นโยบายจัดเก็บภาษี Global Minimum Tax ทั่วโลก ทำให้บทบาทของแรงจูงใจด้านภาษีในการดึงดูดการลงทุนจะมีน้อยลง อย่างไรก็ตาม ยังมีโอกาสที่ไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ เข้าสู่ประเทศในช่วงที่มีการกระจายฐานการผลิตออกจากจีน ท่ามกลางความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ผู้เขียนจึงอยากเชิญชวนผู้อ่านมาร่วมวิเคราะห์ความสามารถในการดึงดูดการลงทุนของไทยกับประเทศกลุ่มอาเซียน ในมิติสำคัญที่นักลงทุนมักจะมองหาสำหรับการเลือกประเทศที่จะลงทุน เพื่อให้เราพร้อมรับกับโอกาสที่กำลังเข้ามา

 

ความได้เปรียบสำคัญของไทยในการดึงดูดนักลงทุนคือความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดีกว่าหลายประเทศในอาเซียน ทั้งความเสถียรของไฟฟ้า โครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง และความพร้อมด้านเครือข่ายดิจิทัล ส่งผลให้ไทยได้รับความสนใจจากนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา สอดคล้องกับมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในปี 2567 ที่สูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี โดยเฉพาะการลงทุนใน Data center และ Cloud service ซึ่งเป็นธุรกิจสำคัญในยุคดิจิทัลที่ต้องการไฟฟ้าที่มีความเสถียรและมีปริมาณเพียงพอ โดยโครงสร้างพื้นฐานที่ดีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลิตภาพการผลิตของไทยไม่ได้แย่กว่าเพื่อนบ้าน สะท้อนจากผลผลิตต่อชั่วโมงการทำงาน1 และค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาต่อ GDP2 ของไทยที่ใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ซึ่งหากเทียบกับคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามยังมีผลผลิตต่อชั่วโมงการทำงานที่ต่ำกว่า ระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยังมีจุดอ่อนที่ต้องพัฒนา อาทิ ปริมาณไฟฟ้าที่ยังไม่เสถียรและไม่เพียงพอรองรับธุรกิจสมัยใหม่ ทำให้ไทยยังเป็นที่น่าสนใจของนักลงทุน โดยมีโครงสร้างพื้นฐานเป็นแต้มต่อสำคัญ

1

อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการดึงดูดการลงทุนของไทยมีจุดอ่อนหลายประการที่จำเป็นต้องพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านแรงงาน การขยายตลาดต่างประเทศ และกฎระเบียบที่ซับซ้อน ทั้งนี้ คุณภาพแรงงานไทยด้อยกว่าหลายประเทศในอาเซียน สะท้อนจากตัวชี้วัดด้านการศึกษา3 และอันดับศักยภาพการแข่งขันด้านทรัพยากรมนุษย์4 ที่ไทยต่ำกว่าทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย รวมถึงเวียดนาม นอกจากนี้ ประชากรวัยแรงงานของไทยมีแนวโน้มลดลง ตามอัตราการเกิดที่ต่ำสวนทางกับอัตราการเสียชีวิตที่สูงกว่าประเทศอื่นในอาเซียน รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่เร็วกว่าประเทศอื่นมาก นอกจากจะเสี่ยงต่อ

การขาดแคลนแรงงานในอนาคตแล้ว ยังส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศมีแนวโน้มลดลงและทำให้ไทยเสียเปรียบ หากนักลงทุนเน้นการทำตลาดในประเทศเป็นหลัก

 

นอกจากนี้ การขยายตลาดต่างประเทศถือเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญของไทย ตั้งแต่ปี 2563 ส่วนแบ่งตลาดส่งออกสินค้าของไทยในตลาดโลกลดลง และไทยกลายมาเป็นอันดับเกือบรั้งท้ายในกลุ่มอาเซียน ขณะที่ส่วนแบ่งตลาดส่งออกสินค้าของเวียดนามเพิ่มขึ้นและสูงกว่าไทยตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากความสามารถในการแข่งขันของไทยในบางสินค้าลดลง อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ รวมถึงอัตราภาษีศุลกากรของไทยโดยเฉลี่ยที่สูงกว่าประเทศอื่น เนื่องจากไทยมีความตกลงการค้าเสรี (FTA5) ที่ครอบคลุมประเทศคู่ค้าน้อยกว่า FTA ของประเทศคู่แข่งสำคัญ นอกจากนี้ กฎหมายที่ค่อนข้างซับซ้อนและประสิทธิภาพของภาครัฐเป็นอีกหนึ่งข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจในไทย โดยดัชนีของ OECD สะท้อนว่าข้อจำกัดของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ6 ของไทยที่มีมากกว่าหลายประเทศในอาเซียน

หนี้

การที่ไทยจะสามารถดึงดูดการลงทุนเพื่อคว้าโอกาสจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ จำเป็นต้องเน้นการพัฒนาที่ยั่งยืนในหลายมิติ โดยเฉพาะการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ทั้งการพัฒนาระบบการศึกษาเพื่อผลิตแรงงานหน้าใหม่ให้มีทักษะที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงาน พร้อมกับพัฒนาและเสริมสร้างทักษะใหม่ (Upskill & Reskill) ให้แรงงานปัจจุบันสามารถปรับตัวได้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เช่นเดียวกับ สิงคโปร์ที่รัฐมีนโยบายให้เงินสนับสนุนโดยตรงแก่แรงงานเพื่อใช้จ่ายในการฝึกอบรม ทั้งพัฒนาทักษะเดิมที่มีอยู่หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ นอกจากนี้ การขยายตลาดต่างประเทศของไทย โดยการเพิ่ม FTA กับประเทศอื่น ๆ รวมถึงการปรับเปลี่ยนกฎกติกาและกฎระเบียบของภาครัฐ จะช่วยเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแผนของภาครัฐในปีนี้ที่กำลังขยาย FTA ให้ครอบคลุมไปยังคู่ค้าสำคัญ เช่น สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ และแคนาดา

 

ท้ายที่สุด การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของไทยเพื่อดึงดูดการลงทุนใหม่ ๆ เข้าสู่ประเทศนั้นต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจกันจากทุกภาคส่วน ทั้งภาคเอกชนที่ต้องพัฒนาให้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงภาครัฐที่ต้องสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจ ขยายฐานความสัมพันธ์กับประเทศคู่ค้า และเสริมแรงสนับสนุนในด้านต่าง ๆ ให้กับภาคเอกชน เชื่อแน่ว่าด้วยความร่วมมือดังกล่าวจะทำให้เราก้าวผ่านความท้าทายและคว้าโอกาสดึงดูดการลงทุนนี้มาได้


 

** บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่สังกัด **

เผยแพร่ครั้งแรก คอลัมน์ “ร่วมด้วยช่วยคิด” นสพ.ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568

ผู้เขียน

จิดาภา จันทศรีสวัสดิ์ 
ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย 
คอลัมน์ "ร่วมด้วยช่วยคิด" นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 3-5 กุมภาพันธ์ 2568