เจาะลึก : ทำไมเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นในภาคตะวันออกไม่ทำให้ปากท้องคนในพื้นที่ดีขึ้น
คอลัมน์แจงสี่เบี้ย | 16 กันยายน 2568
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้เขียนมีโอกาสลงพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีรายได้ต่อหัวสูงกว่าภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะ จ. ระยอง ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวกว่า 1.1 ล้านบาทต่อปีสูงที่สุดในประเทศ พบประเด็นที่น่าสนใจ คือ แม้การลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่คนในพื้นที่รู้สึกว่าปากท้องยังดูไม่สดใส เมื่อกลับมาผู้เขียนจึงนำข้อมูลการลงทุนจากต่างประเทศในพื้นที่มาวิเคราะห์เจาะลึก ถึงเทรนด์โลกที่เปลี่ยนแปลง พบข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประการ
โครงสร้างเงินลงทุนต่างชาติในไทยเปลี่ยน จากเดิมที่ญี่ปุ่นครองแชมป์มานาน ตามด้วยสิงคโปร์และสหรัฐอเมริกา แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จีนกลายเป็นผู้นำการลงทุนโดยตรงในไทย
การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งจากญี่ปุ่นที่หันไปให้ความสำคัญกับเวียดนามมากขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจเวียดนามขยายตัวดี แรงงานวัยทำงานจำนวนมาก ค่าแรงต่ำกว่าไทย ขณะเดียวกัน จีนเองก็เร่งขยายการลงทุนในต่างประเทศ ผ่านการผลักดันยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiative ประกอบกับแรงกดดันด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งกับสหรัฐฯ ที่ส่งผลต่อการส่งออก จีนจึงหันมาขยายการลงทุนในหลายประเทศกำลังพัฒนาในเอเชีย ส่วนหนึ่งเพื่อเป็นฐานการผลิตในการส่งออก
เมื่อเจาะลึกพฤติกรรมการเข้ามาลงทุนพบว่า แม้ทั้งญี่ปุ่นและจีนจะเลือกลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันออก ซึ่งมีโครงสร้างพื้นฐานพร้อมและได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน อุตสาหกรรมที่ลงทุนของญี่ปุ่นและจีนแตกต่างอย่างชัดเจน
ในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนจากญี่ปุ่นอยู่ในอุตสาหกรรมเน้นใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ ใช้แรงงานควบคู่กับเครื่องจักร ทำให้มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมไทย สร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนสูง 3 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์สันดาป อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่ง SMEs ไทยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกระบวนการผลิต ส่งผลให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ การจับจ่ายใช้สอยคึกคัก และเศรษฐกิจขยายตัวดีทั้งในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ
ที่ชัดเจนคืออุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป ซึ่งไทยมีฐานการผลิตที่ครบวงจร โดยมี SMEs ไทยกว่า 2,000 แห่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนในกลุ่ม tier 2 และ tier 3 ขณะที่บริษัทชั้นนำจากญี่ปุ่นได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตและศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีในไทย ส่งผลให้มีการจ้างงานกว่า 5 แสนราย
นักลงทุนญี่ปุ่นยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Hard disk drive ทำให้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโลก ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เครื่องปรับอากาศ ไทยมีการผลิตทั้งห่วงโซ่อุปทาน มีการจ้างงานราว 8 หมื่นราย
ด้านการลงทุนของจีนเน้นอุตสาหกรรมใช้ทุนเข้มข้น รูปแบบการลงทุนยังเป็นระบบปิด ใช้ supply chain ในประเทศน้อย เน้นใช้วัตถุดิบ แรงงานจากจีน อุตสาหกรรมที่มีการลงทุนสูงสุด คือ ยางและพลาสติก ตามด้วยรถยนต์ EV อุตสาหกรรมเหล็ก และอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ติดใน 10 อันดับแรกด้วย
แม้จะดูเป็นโอกาส แต่การลงทุนเหล่านี้กลับใช้วัตถุดิบและแรงงานจากจีนเป็นหลัก การถ่ายทอดเทคโนโลยียังไม่ชัดเจน ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยไม่สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานได้ เช่น รถยนต์ EV ซึ่งใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและระบบ Automation ใช้หุ่นยนต์ในการผลิต และใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่ารถยนต์สันดาปถึง 10 เท่า ทำให้ SMEs ไทยยังไม่สามารถเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการผลิต ทำให้การ
จ้างงานและการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องไม่ขยายตัวตาม
อุตสาหกรรมเหล็กเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายของทุนจีน เนื่องจากอุปสงค์ในประเทศจีนลดลง และรัฐบาลจีนมีข้อจำกัดด้านสิ่งแวดล้อมในการใช้เตาหลอมเหล็ก จีนจึงสนใจมาลงทุนในไทย เพราะมีอุปสงค์เหล็กสูงอันดับสองในอาเซียนรองจากเวียดนาม แต่การเข้ามาลงทุนนี้กลับสร้างการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงจนผู้ประกอบการไทยหลายรายต้องปิดกิจการกว่า 75 ราย ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ ส่วนใหญ่เข้ามาผลิตเพื่อส่งออก ด้านการขายในประเทศ มีข้อกังวลจากข่าวทาง ส.อ.ท. เรื่องการ “สวมสิทธิ” ที่มีรายงานว่าผู้ประกอบการบางรายนำสินค้าจากจีนมาติดฉลาก มอก.
เมื่อมาเชื่อมโยงกับปากท้องของคนในภาคตะวันออก ในช่วงที่ไทยได้รับการลงทุนจากญี่ปุ่นเข้มข้น ตัวเลขการเปิดโรงงานใหม่ในภาคตะวันออกในช่วงก่อนโควิด (ปี 2559-2561) เคยอยู่ที่ระดับ 800 แห่ง/ปี ส่งผลให้เศรษฐกิจในพื้นที่คึกคัก การจับจ่ายใช้สอยขยายตัว และหากดูการเติบโตของภาษีมูลค่าเพิ่มสะท้อนการบริโภคของคนในพื้นที่ เติบโตเฉลี่ยราว 10% ต่อปี แต่เมื่อการลงทุนจากจีนเข้ามาแทนที่ตั้งแต่ปี 2566 ตัวเลขการเปิดโรงงานใหม่ลดลงเหลือเพียง 500 แห่ง/ปี ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชะลอตัว การบริโภคลดลง และภาษีมูลค่าเพิ่มเริ่มหดตัว
เมื่อเจาะลึกในแต่ละอุตสาหกรรมเห็นการใช้ Automation ประกอบกับการลงทุนของจีนที่เข้ามาเป็นระบบปิด ใช้วัตถุดิบและแรงงานจากจีนเป็นส่วนใหญ่ จึงไม่แปลกใจว่าปากท้องคนในภาคตะวันออกไม่สดใสนัก
ล่าสุด BOI ออกนโยบายส่งเสริมการลงทุน 5 ข้อหลัก ได้แก่ (1) สนับสนุน SMEs ไทย ปรับปรุงประสิทธิภาพ เพิ่มความสามารถแข่งขัน (2) งดส่งเสริมกิจการ Oversupply เช่น เหล็ก และกิจการที่เสี่ยงต่อมาตรการการค้าสหรัฐฯ เช่น โซลาร์เซลล์ (3) คุมเข้มกระบวนการผลิต ป้องกันการสวมสิทธิ และเพิ่มมูลค่าการผลิตในไทย (4) กำหนดสัดส่วนแรงงานไทย ไม่น้อยกว่า 70% และคัดกรองแรงงานต่างชาติด้วยเงินเดือนขั้นต่ำ 50,000–150,000 บาท และ (5) ส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ซึ่งผู้เขียนเห็นว่ามาตรการเหล่านี้จะช่วยให้โอกาสผู้ประกอบการไทยได้เข้าสู่ Supply Chain ได้มากขึ้น โดยผู้ประกอบการและแรงงานไทยต้องปรับตัว เพื่อให้เราเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในเครือข่ายการลงทุนจากต่างชาติในระลอกนี้ สอดรับกับที่ BOI จะมีการติดตามโครงการที่รับการส่งเสริมอย่างเข้มข้นเช่นกัน
** บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่สังกัด **
ปริญดา สุลีสถิร
ธนาคารแห่งประเทศไทย
คอลัมน์ "แจงสี่เบี้ย"
ฉบับวันที่ 16 กันยายน 2568