ปลดล็อกโอกาสใหม่: Thailand Taxonomy กับเงินทุนเพื่อธุรกิจสีเขียว
คอลัมน์แจงสี่เบี้ย | 30 กันยายน 2568
จากบทความที่ผ่านมา “Thailand Taxonomy…กติกาที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” เราได้ทราบกันว่า Thailand Taxonomy มีที่มาและความสำคัญอย่างไร ในฉบับนี้ จึงอยากชวนทุกท่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการนำ Thailand Taxonomy ไปใช้งานทั้งในภาคธุรกิจและภาคการเงินกัน โดย Thailand Taxonomy จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถประเมินสถานะความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของตน และรู้แนวทางว่าควรปรับตัวให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือเป็นสีเขียวมากขึ้นตาม Thailand Taxonomy ได้อย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนปรับตัว เข้าถึงเงินทุน รายงานหรือเปิดเผยข้อมูล และบริหารจัดการความเสี่ยง อีกทั้งช่วยลดปัญหา Greenwashing ตลอดจนทำให้ภาคธุรกิจและภาคการเงินมั่นใจได้ว่า การปรับตัวให้เขียวขึ้นจะนำพาไปสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศได้ในที่สุด
หากคุณมีโครงการที่จะปรับธุรกิจให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นและต้องการเข้าถึงเงินทุน เช่น สินเชื่อ ตราสารหนี้ หรือการระดมทุนในรูปแบบอื่น ๆ ลองมาดูวิธีการนำ Thailand Taxonomy มาใช้อ้างอิง เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเงินทุนที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. กิจกรรมของคุณเข้าข่ายหรือไม่: ตรวจสอบว่ากิจการของคุณทำกิจกรรมอะไร และกิจกรรมนั้นอยู่ในขอบเขต Thailand Taxonomy หรือไม่ จากรายการกิจกรรมของแต่ละภาคเศรษฐกิจของ Thailand Taxonomy
2. กิจกรรมของคุณสีอะไร: ประเมินกิจกรรมว่าเข้าข่ายสีเขียว เหลือง หรือแดง ตามเกณฑ์การประเมินทางเทคนิค (Technical Screening Criteria: TSC) ซึ่งในบางกิจกรรมต้องอาศัยข้อมูล อาทิ ความเข้มข้นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต ซึ่งเมื่อทราบสถานะสีของกิจกรรมแล้ว ก็สามารถวางแผนปรับตัวไปในทิศทางที่เข้าใกล้สีเขียวยิ่งขึ้น อาทิ เปลี่ยนจากกิจกรรมสีแดงเป็นเหลือง หรือจากกิจกรรมสีเหลืองเป็นเขียว
3. กิจกรรมสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่น และละเลยด้านสังคมหรือไม่: ต้องแน่ใจว่ากิจกรรมที่ช่วยสิ่งแวดล้อมหนึ่งจะต้องไม่สร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตามหลักการ “การไม่สร้างผลกระทบเชิงลบอย่างมีนัยสำคัญ” (Do No Significant Harm: DNSH) และไม่สร้างปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนและแรงงาน ตามหลักการ “การคำนึงถึงผลกระทบทางสังคม” (Minimum Social Safeguards: MSS) หากไม่ผ่าน DNSH และ/หรือ MSS ต้องทำแผนการแก้ไขปัญหาภายใน 3 ปี พร้อมเปิดเผยแผนแก่สาธารณะ ในระหว่างนั้น กิจกรรมจะได้รับสถานะว่า “สอดคล้องแบบมีเงื่อนไขตาม Thailand Taxonomy” โดยหากครบ 3 ปีแล้วยังแก้ไขไม่ได้ตามแผน กิจกรรมจะกลายเป็นสีแดงทันที
4. นำไปขอเงินทุน: หากโครงการลงทุนเพื่อเปลี่ยนกิจกรรมให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของคุณ สอดคล้องกับเกณฑ์ TSC DNSH และ MSS แล้ว จะได้รับสถานะ “สอดคล้องตาม Thailand Taxonomy” ซึ่งจะช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือว่าเป็นกิจกรรมสีเขียว หรือ อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่าน (เหลือง) และสามารถนำผลการประเมิน ไปใช้อ้างอิงในการยื่นขอสินเชื่อหรือเงินทุนสำหรับโครงการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือที่อยู่ระหว่างเปลี่ยนผ่านให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้
สำหรับภาคเกษตร ไม่ต้องทำตามขั้นตอนข้างต้น แต่ให้เลือกดำเนินการตามแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนหรือได้รับมาตรฐานการรับรอง เพื่อให้ถูกพิจารณาเป็นโครงการสีเขียวตาม Thailand Taxonomy ซึ่งเจ้าของกิจการต้องยื่นแผนโครงการเพื่อการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน โดยผ่านเงื่อนไข DNSH และ MSS และนำไปขอรับเงินทุนสนับสนุนปัจจัยการผลิตทางการเกษตรได้ ยกตัวอย่างเช่น หากเกษตรกรเลือกดำเนินการตามแนวปฏิบัติที่ยั่งยืนสำหรับการปลูกข้าว เช่น การจัดการน้ำในนาแบบเปียกสลับแห้ง และการปรับระดับพื้นที่นาด้วยระบบเลเซอร์ พร้อมผ่านการประเมิน DNSH และ MSS ก็จะนับเป็นกิจกรรมสีเขียว
ปัจจุบัน มีหลายบริษัทที่เริ่มนำ Thailand Taxonomy ไปใช้อ้างอิงเพื่อเข้าถึงเงินทุน โดยเฉพาะการออกตราสารหนี้ เช่น (1) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้นำ Thailand Taxonomy ภาคขนส่ง มาอ้างอิงในการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) เพื่อลงทุนในโครงการเกี่ยวกับระบบขนส่งมวลชน MRT และ (2) บริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้นำ Thailand Taxonomy ภาคพลังงาน มาอ้างอิงในการออกตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) เพื่อลงทุนเกี่ยวกับโครงการไฟฟ้าพลังน้ำหลวงพระบางและโครงการไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี นอกจากนี้ ก.ล.ต. เริ่มมีมาตรการสนับสนุนให้ผู้ออกตราสารหนี้นำ Taxonomy มาใช้ โดยยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายตราสารหนี้ (แบบ Filing) ให้สำหรับการออกตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนที่นำ ASEAN Taxonomy หรือ Thailand Taxonomy มาอ้างอิง โดยต้องมีผู้ประเมินภายนอกที่เป็นอิสระให้การรับรองด้วย
ด้านสินเชื่อ ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) หลายแห่งตั้งเป้าสินเชื่อเพื่อสนับสนุนการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อมที่ท้าทายขึ้น และบางแห่งได้เริ่มนำ Thailand Taxonomy ไปใช้ในการพิจารณาสินเชื่อหรือจัดกลุ่มสินเชื่อด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในภาคพลังงานและขนส่ง ที่มี Thailand Taxonomy มาแล้วระยะหนึ่ง อาทิ สินเชื่อรถยนต์ EV สินเชื่อ solar เป็นต้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนเป็นมาตรฐานว่าเป็นสีเขียวเดียวกัน ขณะที่ ธพ. อีกหลาย ๆ แห่ง กำลังพัฒนาองค์ความรู้และระบบงานภายในเพื่อให้สามารถนำ Thailand Taxonomy ไปใช้งานได้ทั้งเพื่อประเมิน
และบริหารความเสี่ยงภายใน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การนำ Thailand Taxonomy ไปใช้อ้างอิงในปัจจุบันยังมีพัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่วนหนึ่งเพราะมีความท้าทายในการนำไปใช้งาน เช่น (1) ธุรกิจส่วนใหญ่ยังไม่เริ่มเก็บข้อมูล หรือ ไม่ทราบวิธีเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้จัดกลุ่มสีเขียว เหลือง แดง (2) ประเด็นเชิงปฏิบัติในการประเมิน DNSH และ MSS ที่จะช่วยให้มั่นใจว่าโครงการนั้นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างแท้จริง และ (3) จำนวนผู้ประเมินภายนอก (Third-party verifier) ที่จะรับรองข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือ ความสอดคล้องตาม Thailand Taxonomy ยังมีจำกัด ซึ่งความท้าทายเหล่านี้เป็นเรื่องที่หลายภาคส่วนกำลังหาทางดำเนินการเพื่อให้สามารถนำ Thailand Taxonomy มาใช้กันได้ในวงที่กว้างขึ้น โดยในบทความต่อไป เราจะไปดูหนึ่งใน solution ที่จะนำมาช่วยเรื่องการวัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของธุรกิจ คือ GHG Data Platform ว่าสามารถแก้ pain point ของภาคธุรกิจได้มากน้อยอย่างไร โปรดติดตามนะคะ
** บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่สังกัด **
กชพร โชติชัยสุวัฒน
ธนาคารแห่งประเทศไทย
แพรวพิมพ์ รัตนสุวงศ์ชัย
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
คอลัมน์ "แจงสี่เบี้ย"
ฉบับวันที่ 30 กันยายน 2568