เปิดตัวโครงการดี … "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้"

คอลัมน์แจงสี่เบี้ย | 25 พฤศจิกายน 2568

อโรคยา ปรมา ลาภา การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐฉันท์ใด การไม่มีหนี้ ก็เป็นลาภอันประเสริฐ ฉันท์นั้นค่ะ หนี้ครัวเรือนเป็นปัญหาที่หนักใจของทุกฝ่ายนะคะ ไม่เฉพาะลูกหนี้ที่กังวล แต่ยังรวมถึงภาครัฐที่พยายามแก้ปัญหา ด้านแบงก์ชาติเอง ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาโดยตลอด ตั้งแต่มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้แบบปูพรมในช่วงโควิด แล้วปรับเป็นการช่วยเหลือแบบเฉพาะจุด เพื่อการแก้หนี้อย่างยั่งยืน ทั้ง “Responsible Lending” และ โครงการ “คุณสู้เราช่วย” ซึ่งเพิ่งครบกำหนดลงทะเบียนเมื่อ 30 ก.ย.68 สรุปแล้วมีลูกหนี้ลงทะเบียนที่มีคุณสมบัติได้รับความช่วยเหลือตามโครงการ "คุณสู้เราช่วย" รวม 9.4 แสนราย ครอบคลุมยอดหนี้ 6.2 แสนล้านบาท 

 

ล่าสุด เมื่อ 11 พ.ย. 68 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ "ปิดหนี้ไว ไปต่อได้" คือ โครงการแก้ปัญหาหนี้เสียผ่านกลไกการซื้อหนี้รายย่อยของบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ซึ่งเป็นความร่วมมือกันของกระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ และ ภาคสถาบันการเงิน (สง.) โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้คนตัวเล็ก ที่เหลือภาระหนี้ NPL ไม่สูง ให้สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ มีประวัติชำระหนี้ที่ดีขึ้น และมีโอกาสกลับมาเข้าถึงสินเชื่อในระบบ โดยเป็นมาตรการเฉพาะกิจที่จะดำเนินการเพียงครั้งเดียว เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกหนี้มีแรงจูงใจที่ผิด จนเสียวินัยทางการเงิน (moral hazard) รวมทั้งมีแนวทางจูงใจให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้และรักษาวินัยในการชำระหนี้นะคะ 

ai

ผู้ว่าการแบงก์ชาติ คุณวิทัย รัตนากร ได้กล่าวถึงโครงการนี้ว่า ถือเป็นหนึ่งใน target policy เพิ่มเติมจากนโยบายการเงินที่ช่วยดูแลภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งแบงก์ชาติพยายามเข้าใกล้ปัญหาเพื่อแก้ไขอย่างตรงจุดและจริงจัง เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และในที่สุดสามารถสนับสนุนระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ โครงการนี้ นอกจากช่วยเศรษฐกิจแล้ว ยังช่วยคนด้วย สอดคล้องกับแนวนโยบายของแบงก์ชาติที่ดูทั้งภาพใหญ่ และใกล้ชิดประชาชนมากขึ้นด้วย

 

สำหรับกลุ่มเป้าหมายโครงการ เน้นช่วยลูกหนี้รายย่อยที่เป็น NPL ทุกประเภทสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน เช่น บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล (รวมถึงติ่งหนี้ของหนี้ที่เคยมีหลักประกัน แต่ไม่รวมสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ และสินเชื่อ nano finance ที่มี บสย. ค้ำประกัน) กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกแห่ง (ที่รายงานข้อมูลในเครดิตบูโร หรือ NCB และใช้ภาระหนี้ตามการรายงาน NCB)  รวมกันไม่เกิน 1 แสนบาท ต่อราย และใช้ตัวเลข ณ 30 ก.ย. 68 เพื่อป้องกัน moral hazard โดยมีจำนวนรวม 4.7 ล้านบัญชี หรือ 60% ของจำนวนลูกหนี้ NPL จึงถือว่าช่วยคนได้มาก และ สร้าง impact ได้

 

ในระยะแรก โครงการนี้จะเน้นลูกหนี้ของ ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) และ non-bank บริษัทลูกของ ธพ. รวมแล้ว 1.6 ล้านบัญชี คิดเป็นจำนวนลูกหนี้ 1.2 ล้านราย รวมภาระหนี้เกือบ 4.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะใช้เงินกองกลางของ สง. จากการลด FIDF fee 0.23% ในปี 2568 โดยบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (SAM) จะรับซื้อหนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำมาปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนพิเศษ ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้กลับมาชำระหนี้ได้และปิดจบหนี้ได้เร็วขึ้น โดยแบงก์ชาติจะปรับยุทธศาสตร์ให้ SAM เป็น social AMC (บริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อสังคม) ที่เน้นช่วยแก้หนี้ให้ประชาชนโดยไม่มุ่งหากำไร

 

ผู้ว่าวิทัยฯ ยังกล่าวถึงข้อดีอีกอย่างของโครงการ คือ ประวัติชำระหนี้ของลูกหนี้ใน NCB จะถูกปรับให้ดีขึ้น เมื่อลูกหนี้ผ่อนหนี้ได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ ซึ่งจะเพิ่มโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เร็วขึ้น

โครงการนี้มีระยะเวลา 3 ปี ประกอบด้วย 2 มาตรการย่อย คือ

1. มาตรการ “จ่ายปิดจบ” ให้ลูกหนี้เข้ามาจ่ายคืนหนี้บางส่วนแก่ SAM เพื่อปิดบัญชี

2. มาตรการ “ผ่อนชำระเป็นงวด” ลดภาระหนี้บางส่วนให้กับลูกหนี้ และส่วนที่เหลือให้ผ่อนชำระเป็นงวดกับ SAM โดยมีระยะเวลาผ่อนสูงสุด 3 ปี (ระยะเวลาผ่อนชำระของลูกหนี้แต่ละราย จะขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่ลูกหนี้เริ่มเข้าโครงการ ถ้าเข้าร่วมช้า ระยะเวลาผ่อนจะน้อยลงตามระยะเวลาที่เหลือของโครงการ) ลูกหนี้จะได้รับการยกเว้นดอกเบี้ยเงินกู้ในระหว่างที่เข้าร่วมโครงการ หากปฏิบัติได้ตามเงื่อนไข

 

ในกลุ่มลูกหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) จะได้รับความช่วยเหลือผ่านกลไกการขายและโอนหนี้ให้กับบริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด (Ari-AMC) เพื่อปรับโครงสร้างหนี้แบบผ่อนปรนอีกราว 3.3 แสนบัญชี ซึ่งกระทรวงการคลังจะดำเนินการภายใต้หลักการและแนวทางช่วยเหลือที่สอดคล้องกัน รวมทั้งสิ้นโครงการจะช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยได้มากถึง 1.9 ล้านบัญชี

ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว. คลัง กล่าวถึงการดำเนินโครงการนี้ ว่าไม่ได้เป็นเพียงการโอนหนี้จาก สง. ไปที่ AMC แต่เป็นการช่วยชุบชีวิตลูกหนี้ รอดพ้นจากการติดกับดักหนี้ต่อลมหายใจให้กับลูกหนี้ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อเพิ่มเติม ช่วยเหลือครอบครัวของลูกหนี้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและช่วยยกระดับการขยายตัวเศรษฐกิจในอนาคต ขณะที่คุณชาติศิริ โสภณพนิช ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย ให้ความเห็นว่า เป็นตัวอย่างที่ดีของการรวมพลังภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างกลไกแก้ปัญหาที่เป็นรูปธรรม ไม่สร้างภาระต่อระบบการเงิน และที่สำคัญ ไม่ก่อให้เกิด moral hazard ต่อระบบ ในระยะยาว

 

สรุปประโยชน์ที่ลูกหนี้จะได้รับ จากการเข้าร่วมโครงการ คือ (1) ลดภาระหนี้ และ เงื่อนไขผ่อนชำระแบบผ่อนปรน จะช่วยให้ลูกหนี้เสียกลับมาเป็นลูกหนี้ดีได้ง่ายขึ้น (2) ประวัติชำระหนี้ใน NCB ปรับดีขึ้น และ (3) มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อใหม่ได้เร็วขึ้น

 

โครงการนี้จะเริ่มช่วงต้นปีหน้านะคะ โดยลูกหนี้ที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขโครงการ คือ เป็นบุคคลธรรมดา ที่มีสถานะหนี้ ณ 30 ก.ย.68 เป็น NPL รวมทุกผู้ให้บริการทางการเงินและทุกประเภทสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ไม่เกิน 1 แสนบาท ทุกรายจะถูกโอนขายหนี้ให้ SAM ตั้งแต่ 1 ม.ค.69 โดยเจ้าหนี้เดิม และ SAM จะส่งหนังสือแจ้งการโอนสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ทุกรายที่ถูกโอนหนี้ไป SAM รวมทั้งลูกหนี้จะได้รับการติดต่อจาก SAM หรือ คนที่ SAM มอบหมาย เพื่อให้ความช่วยเหลือตามโครงการต่อไป

 

ลูกหนี้ของ ธพ. และบริษัทในกลุ่มของ ธพ. ที่สนใจเข้าร่วมโครงการนี้ สามารถติดต่อ SAM
(call center 1443 หรือ www.sam.or.th) หรือ สง. เจ้าหนี้เดิม หรือ BOT contact center 1213 ได้ ตั้งแต่ 5 ม.ค. 69 เป็นต้นไป ค่ะ 

ปิดหนี้ไวไปต่อได

 

** บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่สังกัด **

ผู้เขียน

pornpen photo






ดร.พรเพ็ญ สดศรีชัย
ธนาคารแห่งประเทศไทย
คอลัมน์ "แจงสี่เบี้ย"
ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568

ปิดหนี้ไว ไปต่อได้ บทความ