พายุภาษีตั้งเค้า  ไทยเราจะกระทบแค่ไหน?

พายุฤดูร้อนที่เข้าถล่มไทยในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นึกถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลกในตอนนี้ที่อึมครึม ครึ้มฟ้าครึ้มฝนไปด้วย หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งสัญญาณขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไปยังสหรัฐฯ ซึ่งแม้จะมีการเลื่อนออกไปจนถึงช่วงต้นเดือนกรกฎาคม อีกทั้งยังมีการทักท้วงจากศาลการค้าสหรัฐฯ แต่นั่นก็ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอน คาดเดายาก และสร้างความวิตกไปทั่วโลกถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น

 

ท่ามกลางอุณหภูมิการค้าและพายุภาษีที่ยังมีความแปรปรวนสูงนี้ ไทยจะได้รับผลกระทบอย่างไร แล้วเราจะต้องปรับตัวอย่างไร

ฝนตกทั่วฟ้า

 

ตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้ามารับตำแหน่ง ก็ได้เดินหน้ามาตรการกีดกันทางภาษีอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การตั้งกำแพงภาษีนำเข้าขั้นต่ำกับทุกประเทศ (Universal Tariff) ที่ 10% การขึ้นภาษีนำเข้ารายหมวด (Sectoral Tariff) เช่น รถยนต์ 25% อะลูมิเนียม และเหล็ก 50% ไปจนถึงการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เช่น แคนาดา 25% ญี่ปุ่น 24% เวียดนาม 46% ทำให้ทุกประเทศต่างก็ได้รับผลกระทบ เพียงแต่มากน้อยต่างกันตามความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐฯ แต่ที่พายุเข้าแรงที่สุดคงไม่พ้นจีน ซึ่งก็ได้โต้กลับสหรัฐฯ ไปด้วยภาษีที่สูงไม่แพ้กัน

 

แม้ภาษีนำเข้าตอบโต้จะถูกผ่อนผันออกไป 90 วัน (ถึง 8 กรกฎาคม 2568) อีกทั้งการตอบโต้กันระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะเบาลงบ้าง โดยลดอัตราภาษีนำเข้าระหว่างกันลงมาได้ (สหรัฐฯ เก็บจีนลดจาก 145% เหลือ 30% ส่วนจีนเก็บสหรัฐฯ ลดจาก 125% เหลือ 10%) แต่ก็ยังไม่อาจชะล่าใจได้ เพราะล่าสุด สหรัฐฯ ได้ปรับเพิ่มภาษีนำเข้าจากสหภาพยุโรปเป็น 50% อีกทั้งศาลอุทธรณ์ยังได้สั่งระงับคำตัดสินของศาลการค้าสหรัฐฯ ชั่วคราว ทำให้มาตรการภาษีของทรัมป์ยังมีผลต่อไป ซึ่งถ้ามีประเทศใหญ่ ๆ ลุกขึ้นมาตอบโต้
ก็ยิ่งจะทำให้บริบทการค้าโลกเต็มไปด้วยความคลุมเครือ และไม่แน่นอน จึงต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิด

 

สำหรับไทย การส่งออกที่จะลดลงและการแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้น ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เข้ามาซ้ำเติมเศรษฐกิจไทยจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม

import tariff

สหรัฐฯ ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้จะถูกผ่อนผันออกไป 90 วัน (ถึง 8 กรกฎาคม 2568) #Scrippsnews

ส่งออกไทยเผชิญอากาศแปรปรวน

 

แม้ตอนนี้ไทยจะยังไม่ถูกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ที่ 36% แต่เฉพาะแค่ภาษีนำเข้าขั้นต่ำและภาษีรายหมวดที่สูงขึ้นกว่าเดิม ก็ทำให้ไทยได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม และส่งผลให้การส่งออกของไทยมีแนวโน้มลดลง

 

สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยมาตั้งแต่ปี 2562 โดยมีสัดส่วน 18% ของมูลค่าการส่งออกไทย (คิดเป็น 1.6% ของจีดีพี) ซึ่งผลจากมาตรการภาษีจะกระทบตรง ๆ กับสินค้าไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ จากราคาขายที่แพงขึ้น จนกระทบยอดขายโดยเฉพาะใน 5 อุตสาหกรรมหลักซึ่งพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูง ได้แก่ อาหารแปรรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์และยางล้อ นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบทางอ้อมจากการที่คู่ค้าของไทยโดยเฉพาะจีนกับอาเซียน ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ได้น้อยลง ซึ่งจะทำให้การนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง เช่น ยางและผลิตภัณฑ์ยาง และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า จากไทยลดลงตามไปด้วย

 

แม้ว่าที่ผ่านมา ผลกระทบต่อการส่งออกของไทยจะยังไม่ชัดเจนเพราะผู้ประกอบการต่างเร่งส่งออกสินค้าก่อนที่อัตราภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ แต่ก็น่าจะเห็นชัดเจนขึ้นในครึ่งปีหลัง โดยใครจะกระทบมากหรือน้อย จะขึ้นกับอัตราภาษีหลังการเจรจาและความสามารถในการปรับตัวของผู้ส่งออก เพราะหากไทยถูกเก็บภาษีสูงกว่าคู่แข่งมาก หลายธุรกิจอาจย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศแทน ส่งผลต่อการลงทุนและการจ้างงานในระยะยาว นอกจากนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรอุปกรณ์ หรืออิเล็กทรอนิกส์ อาจปรับกลยุทธ์และหาตลาดใหม่ทดแทนได้ ขณะที่กลุ่ม SMEs และรายย่อยในบางอุตสาหกรรม เช่น อาหารแปรรูป ชิ้นส่วนยานยนต์ จะมีข้อจำกัดในการปรับตัวที่มากกว่า

 

อย่างไรก็ดี ภาครัฐอยู่ระหว่างการเจรจาต่อรองเพื่อให้อย่างน้อยอัตราภาษีลดลงมาให้ไม่สูงกว่าคู่แข่ง โดยเฉพาะในภูมิภาค เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่สหรัฐฯ กำหนดไว้ที่ 24% และ 32% ซึ่งหากทำได้ก็จะช่วยลดแรงกดดันต่อภาคการส่งออกลงได้

export

การแข่งขันเจอมรสุมรุนแรง

 

เมื่อประเทศต่าง ๆ ส่งออกไปสหรัฐฯ ได้น้อยลง ก็ย่อมต้องมีการปรับตัวและหาตลาดใหม่เพื่อทดแทน สหรัฐฯ ทำให้ในระยะข้างหน้าเราอาจเห็นการทะลักของสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น จีนที่คาดว่า 1 ใน 3 ของสินค้าที่เคยส่งออกไปสหรัฐฯ จะถูกส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ รวมถึงไทยแทน ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งจีนส่งออกไปสหรัฐฯ ลดลงถึง 34% แต่การส่งออกรวมยังกลับขยายตัวได้เกือบ 5% และมีการส่งออกมาไทยเพิ่มขึ้นถึง 21%

 

นอกจากตลาดในประเทศแล้ว ยังมีความเป็นไปได้สูงที่สินค้าเหล่านั้นจะล้นทะลักเข้ามาแข่งในตลาดส่งออกเดียวกับไทยมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะในอาเซียนที่มีสัดส่วนสูงถึง 23.3% ของมูลค่าการส่งออกของไทย โดยสินค้าที่ไทยอาจเสียส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น มีตั้งแต่สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น น้ำตาล ไก่แช่แข็ง บุหรี่ ไปจนถึงสินค้าทุน เช่น รถกระบะและชิ้นส่วน เครื่องยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์

 

จุดเสี่ยงสำคัญของเรื่องนี้ก็คือ กลุ่มผู้ผลิตที่เผชิญกับการแข่งขันของสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็น SMEs อย่างเช่น สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนการนำเข้าสูงเกินครึ่งหนึ่งของปริมาณสินค้าที่ขายในประเทศ ทั้งยังเป็นกลุ่มที่มีปัญหาเชิงโครงสร้างด้วย นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายสินค้าที่อาจต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงกว่าเดิม โดยเฉพาะวัตถุดิบและสินค้าขั้นกลาง เช่นโลหะและโลหะประดิษฐ์ ปิโตรเคมีและพลาสติก เนื่องจากส่งออกไปยังจีนและอาเซียนได้น้อยลง 

SMEs

ปะจุดรั่ว ปิดจุดอ่อน พร้อมรับมือพายุ

 

นอกจากต้องเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตเพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่แล้ว การสู้ศึกครั้งนี้ต้องแก้ปัญหาให้ตรงจุด อาทิ การเร่งขยายตลาดและเจรจา FTA กับคู่ค้าใหม่ การให้สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนเพิ่มเติมแก่ผู้ส่งออกที่เสี่ยงต่อการย้ายฐานการผลิต (โดยเฉพาะกลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่มสูงต่อเศรษฐกิจไทย)การช่วยเหลือด้านการปรับตัวเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและหาตลาดใหม่ให้กับผู้ผลิตที่เป็น SMEs และการบังคับใช้มาตรการเชิงป้องกันอย่างเข้มงวด เช่น การตรวจสอบมาตรฐานสินค้า การตรวจสินค้าผ่านด่าน และการป้องกันการสวมสิทธิสินค้าเพื่อใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออก ซึ่งจะช่วยประคับประคองการปรับตัวของธุรกิจได้บ้าง

 

สำหรับมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบจากนโยบายการค้าและสนับสนุนการปรับตัวของภาคธุรกิจ ภาครัฐมีทั้งมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและการค้ำประกันสินเชื่อ อีกทั้งยังคงเดินหน้าปรับโครงสร้างหนี้เพื่อชะลอหนี้เสียต่อเนื่อง ตลอดจนผลักดันการจัดตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ หรือ NaCGA เพื่อให้เป็นกลไกค้ำประกันเครดิตให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น และหวังว่าจะดำเนินการได้ทันการณ์เพื่อช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงสินเชื่อในการปรับตัวและรองรับผลกระทบจากนโยบายการค้าโลก

 

สุดท้ายนี้ ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ประกอบการทุกท่านในการปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับธุรกิจของตนเอง รวมทั้งพี่น้องประชาชนที่ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายในช่วงนี้ด้วยนะคะ

 

แล้วพบกันใหม่ค่ะ 

ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์


คอลัมน์
แบงก์ชาติชวนคุย ประชาชาติธุรกิจ 
        ฉบับวันที่ 16 มิถุนายน 2568

Tag ที่เกี่ยวข้อง

เศรษฐกิจและการเงิน เศรษฐกิจไทย