ยกระดับศักยภาพคนไทย ด้วยการใช้ข้อมูลเชิงลึก
คอลัมน์ร่วมด้วยช่วยคิด | 05 มิถุนายน 2568
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจการเงินโลก โดยเฉพาะจากนโยบายการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลักที่ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและการค้าโลกในระยะสั้นและระยะยาว[1] ไทยในฐานะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กและเปิดกว้างซึ่งต้องพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศมาก จึงมีความเสี่ยงที่ผลลบในภาพมหภาคจะส่งต่อไปที่การจ้างงานของคนไทย ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานไทยที่มีอยู่เดิม ทั้งการก้าวเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัย การขาดแคลนแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ตลอดจนปัญหาทักษะของแรงงานไม่ตรงกับความต้องการของตลาด บทความนี้จึงขอร่วมแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อยกระดับศักยภาพของคนไทยในการรับมือกับแรงกระเพื่อมของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินโลก ภายใต้กรอบคิด 3 ประการของกลไกการปรับโครงสร้างตลาดแรงงานไทย (โครงสร้างพื้นฐาน ปัจจัยด้านสถาบัน และ นโยบายสร้างแรงจูงใจ[2] ดังนี้
โครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลเชิงลึก: พัฒนาการทางเทคโนโลยีด้านข้อมูลและกฎเกณฑ์กติกาที่เกี่ยวข้องของไทยมีความก้าวหน้าไปมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เริ่มจากการที่ระบบการชำระเงินผ่านช่องทางดิจิทัลมีการใช้งานเป็นการแพร่หลายในวงกว้าง ควบคู่ไปกับการที่ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบในเดือน มิ.ย. 2565 ได้สร้างบรรทัดฐานและกำหนดแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไว้อย่างครอบคลุม ความพร้อมด้านกฎหมายดังกล่าวมีส่วนสนับสนุนให้การจัดเก็บและการใช้งานข้อมูลส่วนบุคคลเป็นไปอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ภาครัฐประสบความสำเร็จในการขึ้นทะเบียนข้อมูลขอรับสวัสดิการและการรับสิทธิประโยชน์ผ่านโครงการสนับสนุนในช่วงโควิด-19 ที่จ่ายตรงไปยังผู้รับทั้งประชาชนและผู้ประกอบการ
ฐานข้อมูลทะเบียนต่าง ๆ ที่หน่วยงานภาครัฐได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับและจัดเก็บไว้จึงสามารถนำมาใช้ประโยชน์สนับสนุนการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐในการส่งผ่านเม็ดเงิน ตลอดจนสามารถนำมาประยุกต์ต่อยอดให้เกิดการใช้ประโยชน์ ดังตัวอย่างการทำงานด้านข้อมูลของ CU-ColLar (หน่วยปฏิบัติการวิจัยและประสานงานเพื่อการวิจัยแรงงานแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)[3] ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและกระทรวงแรงงานในฐานะกลไกกลางในการเสริมสร้างความร่วมมือเชิงวิชาการในการพัฒนาการวิจัยด้านแรงงานของภาคการศึกษา ภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานไทย ซึ่งผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรมของ CU-ColLar คือ การจัดตั้งห้องปฏิบัติการด้านข้อมูลร่วมกับกระทรวงแรงงาน เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิจัยไทยเข้าถึงข้อมูลตลาดแรงงานสำหรับวัตถุประสงค์ในการศึกษาวิจัย โดยสามารถใช้งานข้อมูลเชิงลึกที่เหมาะสมกับการตอบโจทย์วิจัยแต่ละเรื่องจากฐานข้อมูลของกระทรวงแรงงานที่มีความครอบคลุมทั้งในมิติการจัดหางาน สวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน การพัฒนาฝีมือแรงงาน ตลอดจน การติดตามสถานการณ์แรงงานในระบบและนอกระบบประกันสังคม
ปัจจัยด้านสถาบันในการสร้างความร่วมมือ: โครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลที่มีการพัฒนาอย่างแยกส่วนตามบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานแต่ละแห่งอาจก่อให้เกิดข้อจำกัดในการบริหารจัดการข้อมูลแบบองค์รวม จึงต้องสร้างปัจจัยด้านสถาบันที่จะเอื้อให้ผู้ดำเนินนโยบายมีกลไกความร่วมมือ ผ่านการมีเป้าหมายร่วม มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ ตลอดจนมีความรับผิดชอบต่อเป้าหมายร่วมนั้นอย่างชัดเจน ดังตัวอย่างความร่วมมือระหว่างหลายหน่วยงานในแพลตฟอร์ม E-Workforce Ecosystem (EWE)[4] ของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) ซึ่งได้สร้างความร่วมมือด้านวิชาการและข้อมูลกับกรมการจัดหางาน สำนักงานประกันสังคม และ สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เพื่อติดตามสถานการณ์การมีงานทำของผู้ใช้บริการแพลตฟอร์ม EWE กว่าสองแสนรายในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งนำไปใช้ออกแบบมาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตรงจุด อาทิ การแบ่งกลุ่มคนที่ยังมีงานทำแต่อยู่ในกลุ่มงานที่มีความเสี่ยง กลุ่มที่ไม่มีงานทำแต่มีทักษะที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน หรือ กลุ่มที่ไม่มีงานทำและมีทักษะไม่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน ซึ่งการจัดแบ่งกลุ่มดังกล่าวทำให้ผู้ดำเนินนโยบายได้เห็นถึงกลุ่มเป้าหมายที่จะสามารถดำเนินการช่วยเหลือเชิงรุกให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละคน
หากคิดต่อยอดจากกรณีศึกษาดังกล่าวแล้ว การจัดสรรให้คนไทยมีโอกาสเข้าถึงการพัฒนาทักษะที่เหมาะสมกับพื้นฐานของตนเองโดยได้รับทราบถึงสถานะของประสบการณ์และทักษะความสามารถของตนเทียบเคียงกับข้อมูลในตลาดแรงงาน ในขณะที่เปิดให้ผู้ให้บริการพัฒนาทักษะทั้งในภาคการศึกษาของรัฐและเอกชน ตลอดจนการที่ผู้พัฒนาหลักสูตรมืออาชีพทั้งในและต่างประเทศได้เข้าถึงข้อมูลและสถานการณ์ของตลาดแรงงานไทย จะเป็นการเชื่อมโยงให้ “ตลาดการพัฒนาทักษะแรงงาน” เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นกลไกขับเคลื่อนแรงงานไทยให้มีศักยภาพและความสามารถที่ตรงความต้องการของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มแรงงานเปราะบาง อาทิ ผู้สูงอายุ ที่สามารถรับการพัฒนาทักษะที่เหมาะสม สำหรับเพิ่มโอกาสในการมีงานทำและยกระดับคุณภาพชีวิต
นโยบายสร้างแรงจูงใจแบบมุ่งผลสำเร็จ: การใช้งานข้อมูลเชิงลึกภายใต้ความร่วมมือของแต่ละภาคส่วนยังไม่เพียงพอที่จะยกระดับศักยภาพคนไทย เนื่องจากประเทศย่อมมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ การจัดลำดับความสำคัญของกลุ่มเป้าหมายเพื่อจัดสรรทรัพยากรได้ตรงจุดและคุ้มค่าจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด “การสร้างแรงจูงใจ”ให้กับแรงงาน ภาคเอกชน ภาควิชาการ และภาครัฐจะต้องคำนึงถึงการมุ่งความสำเร็จและมีการกำหนดแผนปฏิบัติการรองรับในแต่ละขั้นตอนเป็นลำดับ ต้องอาศัยทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลและการร่วมมือภายใต้บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจน และยังต้องคำนึงถึงโครงสร้างของตลาดที่จะรองรับและขับเคลื่อนกระบวนการในทางปฏิบัติ
การเปิดให้แต่ละภาคส่วนเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกภายใต้กรอบธรรมาภิบาลด้านข้อมูลที่รัดกุมจึงเป็นกุญแจดอกสำคัญในการไขไปสู่การยกระดับการพัฒนาศักยภาพคนไทย ผ่านนโยบายสร้างแรงจูงใจที่ไม่ต้องใช้เม็ดเงินงบประมาณภาครัฐ แต่เปิดให้ผู้มีส่วนร่วมทั้งภาคเอกชนและภาควิชาการสามารถใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลเชิงลึกเพื่อตอบโจทย์ในการพัฒนาประเทศร่วมกัน ซึ่งการใช้ข้อมูลเหล่านี้ไม่เพียงจะทำให้แต่ละภาคส่วนเกิดความเข้าใจต่อบริบทของตลาดแรงงานไทย แต่จะทำให้สังคมสามารถติดตามประเมินผลการดำเนินงานผ่านตัวชี้วัดของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องแต่ละราย ซึ่งจะนำไปสู่การทบทวนแรงจูงใจและการสนับสนุนที่เหมาะสมได้
สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการค้าและการเงินโลกจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว และก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านลบต่อเศรษฐกิจไทยที่ต้องพึ่งพาภาคการต่างประเทศมาก การใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อยกระดับศักยภาพคนไทยจึงเป็นทั้ง “ทางออก” ที่จะช่วยแก้ปัญหาตลาดแรงงานในยามเศรษฐกิจไม่สดใส และเป็นทั้ง “โอกาส” ให้ประเทศไทยเดินหน้ายกระดับผลิตภาพแรงงาน อันจะเป็นการขับเคลื่อนผลิตภาพทางเศรษฐกิจ ตลอดจน สร้างการเติบโตให้กับประเทศได้อย่างยั่งยืนในที่สุด
** บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่สังกัด **
[1] ดูเพิ่มเติมได้จาก รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ของ IMF เดือนเมษายน 2025
[2] ดูเพิ่มเติมได้จาก white paper แนวทางการปรับโครงสร้างตลาดแรงงานเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย 2021
[3] ดูเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.cu-collar.org
[4] ดูเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ www.tpqi.go.th/document-sharing/document/ewe-platform/
สิริวัน ร่มฉัตรทอง : เลขาธิการสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย
ดร. นครินทร์ อมเรศ : ธนาคารแห่งประเทศไทย
คอลัมน์ “ร่วมด้วยช่วยคิด”
ฉบับวันที่ 5 มิถุนายน 2568