เท่าทันภัยการเงิน

คอลัมน์บางขุนพรหมชวนคิด | 02 ตุลาคม 2568

ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้จัดงานระหว่างวันที่ 16-19 กันยายน ที่ผ่านมา โดยมีวิทยากรจากหลากหลายภาคส่วนตั้งแต่งาน Bangkok Digital Finance Conference หรือ BDFC 2025 ที่ได้รับเกียรติเป็นอย่างสูงจากผู้บริหารชั้นนำระดับโลกและมีไฮไลท์ คือ โอวาทบนเวทีของ พระอาจารย์ชยสาโร ให้ผู้ฟังทางโลกได้เจริญสติเท่าทันพัฒนาการของการเงินดิจิทัล จนมาถึงการหารือเชิงปฏิบัติการระหว่างแบงก์ชาติไทย แบงก์ชาติฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ และธนาคารโลก เกือบสองวันเต็ม ก่อนที่จะปิดท้ายสัปดาห์ด้วยงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2568 ในหัวข้อ เท่าทันภัยการเงิน ซึ่งไม่เพียงแต่จะมีการนำเสนอผลงานวิชาการโดย ดร.ฐิติ ทศบวร สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และ รศ.ดร. นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่ยังมีเวทีเสวนาของตำรวจไซเบอร์และผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงเวทีนานาชาติที่ผู้แทนธนาคารกลางแต่ละประเทศมาร่วมแลกเปลี่ยนบทเรียนในการบริหารจัดการภัยการเงินดิจิทัล โดยขอสรุปประเด็นมานำเสนอท่านผู้อ่านดังนี้

ai

การใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่และเทคโนโลยี AI ในการป้องกันและจัดการภัยการเงินดิจิทัล

วงเสวนา BDFC ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญจากภาควิชาการ ผู้ชำนาญการของธนาคาร ผู้แทนแบงก์ชาติมาเลเซีย ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินของไทย ตลอดจน ผู้พัฒนาระบบระดับโลก มาระดมสมองหาทางใช้ประโยชน์จากข้อมูลขนาดใหญ่และ AI อย่างเต็มที่ในการป้องกันภัยทุจริต โดยได้ข้อคิดว่า

 

1. ระบบการชำระเงินต้องการเครื่องมือป้องกันในแบบ real-time ไม่ใช่การตอบสนองต่อเหตุการณ์หลังเกิดเหตุ โดยต้องครอบคลุมทั้งการติดตามเส้นเงิน เครือข่ายทุจริต และประเมินคะแนนความเสี่ยง (Fraud Risk Scoring)

 

2. จุดประสงค์ของการต้านภัยการเงินดิจิทัล คือ การป้องกันและติดตามเงินมาคืนผู้เสียหาย ปราบปรามมิจฉาชีพ ตลอดจน สร้างความตระหนักรู้ของผู้ใช้บริการทางการเงิน ซึ่งเงื่อนไขสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพของแบบจำลองจัดการภัยการเงินดิจิทัล คือ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการพัฒนาแบบจำลองระหว่างองค์กร โดยที่อาจไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนเนื้อข้อมูลก็ได้ โดย Open Data ที่แลกเปลี่ยนเหล่านี้จะทำให้สามารถติดตามเจ้าของบัญชีม้าย้อนกลับไปถึงตัวมิจฉาชีพได้

 

3. การใช้ประโยชน์จากการพัฒนาแบบจำลอง AI ในการป้องกันและตรวจจับความผิดปกติ อย่างเต็มที่ต้องอาศัยกฎเกณฑ์ตรวจจับที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลลัพธ์ชัดเจน จึงจะสามารถจัดการภัยทุจริตที่มีความซับซ้อนได้ โดยมีการให้คะแนนความเสี่ยงว่าธุรกรรมนั้น ๆ มีโอกาสที่จะตกเป็นเหยื่อหากมีพฤติกรรมผิดปกติแตกต่างจากพฤติกรรมของตนเองในอดีต และคะแนนความเสี่ยงของการเป็นมิจฉาชีพหากมีรูปแบบพฤติกรรมใกล้เคียงกับที่พบจากมิจฉาชีพรายอื่น

 

4. ข้อมูลที่ใช้งานต้องถูกต้องและน่าเชื่อถือ สามารถนำมาใช้ในการติดตามทั้งธุรกรรมระหว่างประเทศ และธุรกรรมแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสดและคริปโท ซึ่งข้อมูลในอดีตเพียงอย่างเดียวจะไม่เพียงพอต่อการติดตามเส้นเงินแบบ real-time จึงควรจัดการเชิงรุกด้วยการประยุกต์ใช้แนวทางในโลกคริปโทที่สามารถแจ้งเตือนภัยทุจริตได้ผ่านการติดตั้งโปรแกรมล่วงหน้า

 

5. ธนาคารกลางมาเลเซียใช้ทั้งข้อมูล Biometric แบบ real-time เพื่อป้องกันการสวมรอยทำธุรกรรม ข้อมูลเส้นเงินระหว่างธนาคารตรวจจับภัยทุจริต และข้อมูลพฤติกรรมในอดีตเพื่อพัฒนาแบบจำลองร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน National Fraud Portal ดังนั้น โครงสร้างพื้นฐานระดับชาติสามารถผสานความร่วมมือติดตามเส้นเงินแบบ real-time ทั้งระหว่างองค์กรและประเทศ

 

ข้อมูลเชิงประจักษ์ของไทยสะท้อนถึงความเสียหายในวงกว้างและสร้างบาดแผลลึกให้กับเหยื่อ 

 

การนำเสนอผลงานวิจัยในงานสัมมนาวิชาการ ธปท. ประจำปี ได้สะท้อนถึงข้อเท็จจริงบางประการดังนี้

 

1. ครึ่งหนึ่งของคดีที่เกิดขึ้น ซึ่งคิดเป็นเกือบ 90% ของมูลค่าความเสียหาย เกิดจากการหลอกให้โอนเงินด้วยตนเอง อาทิ หลอกลงทุน, หลอกทำงาน, Call Center และ หลอกให้รัก โดยภัยเข้าถึงคนทุกกลุ่ม ดังนี้ Call Center พบมากในกลุ่มอายุน้อยกว่า 25 ปี หลอกทำงาน พบในช่วงอายุ 25-44 ปี และ หลอกให้รัก พบในช่วงอายุ 25-29 และ 45-49 ปี โดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลักที่มิจฉาชีพใช้ในการเข้าถึงเหยื่อ โดยเฉพาะ Facebook ที่เกี่ยวข้องกับ 65% ของคดีที่เกิดขึ้น

 

2. มูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นถูกโอนออกจากบัญชีเหยื่อและต่อเส้นเงินไปยังบัญชีม้าถัด ๆ ไปจนออกนอกระบบธนาคารภายในเวลา 3 นาที แต่ผู้เสียหายใช้เวลาเฉลี่ยถึง 18 ชั่วโมงจึงจะมาแจ้งความ

 

3. ผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความมีสัดส่วนเพียงประมาณ 10% จึงทำให้ตัวเลขความเสียหายที่แท้จริงอาจสูงกว่าที่มีการแจ้งความไว้มาก ซึ่งการกระตุ้นให้ผู้เสียหายมาแจ้งความจะช่วยยกระดับการปราบปรามบัญชีม้าในวงกว้างได้

 

ถอดบทเรียนจากการป้องกันและจัดการภัยการเงินดิจิทัลในเอเชีย

 

การแลกเปลี่ยนความรู้ วิธีปฏิบัติ ตัวอย่างของความสำเร็จ และอุปสรรคที่เกิดขึ้นระหว่างแบงก์ชาติไทย ฮ่องกง มาเลเซีย และสิงคโปร์ นำมาสู่ประเด็นที่น่าสังเกตดังนี้

 

1. การออกแบบระบบการเงินที่ช่วยเตือนและป้องกันผู้ใช้งานเชิงรุก อาทิ “Scammeter” ของฮ่องกงที่ใช้เทคโนโลยีเชื่อมโยงกับ device และการใช้บริการทางการเงินเพื่อประเมินความเสี่ยงก่อนทำธุรกรรม บริการ “Money Lock” ที่สิงคโปร์ ให้ผู้ใช้สามารถล็อกวงเงินในบัญชีเพื่อป้องกันการโอนออกที่ไม่พึงประสงค์ โดยมีทั้งในรูปแบบที่ล็อกทั้งบัญชี หรือ ล็อกวงเงินบางส่วนในบัญชี ซึ่งในแบบหลังจะมีการให้ดอกเบี้ยสูงกว่า โดยทางแบงก์ชาติสิงคโปร์อยู่ระหว่างส่งเสริมให้มีการให้ดอกเบี้ยเพื่อจูงใจให้ลูกค้าใช้บริการมากขึ้น รวมถึงการยกระดับ Mobile Banking Security จาก OTP ผ่าน SMS ไปสู่การ authentication ที่เข้มข้นของมาเลเซีย และการใช้ Biometric ของไทย

 

2. การติดตามเส้นเงินและตรวจจับความผิดปกติ โดยการจัดตั้ง National Scam Report Center และ National Fraud Portal ของมาเลเซีย การใช้งาน Platform FINEST (The Financial Intelligence Evaluation Sharing Tool) ในฮ่องกง และการใช้งานระบบ Central Fraud Register ในไทยที่ครอบคลุมทั้งเส้นเงินของธนาคาร ผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) และ ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตลอดจนเชื่อมโยงไปยังตำรวจและผู้กำกับดูแลที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ มีการกำหนดให้มี Kill Switch ที่ผู้ใช้บริการในมาเลเซียและสิงคโปร์ สามารถหยุดธุรกรรมและปกป้องบัญชีของตนเองได้โดยไม่ต้องรอให้เจ้าหน้าที่สั่งการ ตลอดจน มีการกำหนด Alert Message แจ้งเตือนลูกค้าก่อนทำธุรกรรม ในสิงคโปร์และมาเลเซีย ด้วยรูปแบบที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายและการหลอกลวง โดยใช้ถ้อยคำดึงสติ อาทิ ธุรกรรมนี้อาจนำไปสู่การล้มละลายหรือการฆ่าตัวตาย

 

3. การสร้างภูมิคุ้มกันผ่านแคมเปญรณรงค์ที่มีประสิทธิภาพ โดยสิงคโปร์มุ่งประชาสัมพันธ์เพื่อป้องกัน การที่มิจฉาชีพปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งพบมากในกลุ่มสูงวัย ด้วยการสื่อสารซ้ำ ๆ ว่าเจ้าหน้าที่ภาครัฐจะไม่ขอข้อมูลส่วนบุคคลหรือเรียกรับเงิน ผ่านช่องทาง สถานีวิทยุ และธนาคาร
ขณะที่ ฮ่องกงเผยแพร่เพลง “Click the links, fall for scams” ที่นักร้องอาวุโสชื่อดังของฮ่องกงมาร้องร่วมกับผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกง และมี Despicable Banana เป็นตัวละคร mascot ที่สื่อสารว่าเปลือกนอกที่ดูดีอาจมีภัยร้ายแฝงตัวอยู่ เหมือนกับกล้วยที่ดูเปลือกแล้วน่ากิน แต่เนื้อในอาจเน่าแล้วก็เป็นได้

 

โดยสรุปแล้ว ภัยการเงินดิจิทัลไม่ได้เป็นเพียงปัญหาระดับประเทศ แต่กำลังขยายตัวไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลก ซึ่งการแสดงออกถึงความตั้งใจจริงอย่างเต็มที่ของผู้กำกับดูแลระบบการเงินในภูมิภาคเป็นการรวมพลังทะลุทะลวงผ่านข้อจำกัดระหว่างองค์กร ระหว่างอุตสาหกรรม และระหว่างประเทศ ซึ่งหากจะประมวลเป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จสามมิติเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้เท่าทันภัยการเงิน คือ 1.เทคโนโลยีด้านข้อมูลที่ใช่ 2.การปฏิบัติงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ และ 3.การสื่อสารให้เกิดความตระหนักรู้ทั่วทุกภาคส่วน และขอทิ้งท้ายเตือนสติพวกเราทุกคนไว้ด้วย quote ของ ดร.ฐิติ ที่ว่า “There’s a scam for everyone, the right one just has to find you

 

** บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่สังกัด **

ผู้เขียน

nakarin photo








ดร.นครินทร์ อมเรศ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
คอลัมน์ "บางขุนพรหมชวนคิด"
ฉบับวันที่ 2 ตุลาคม 2568 

ภัยทางการเงิน บทความ