เติบโต แต่ไม่ทั่วถึง: เศรษฐกิจไทยในมุมของครัวเรือนฐานราก

คอลัมน์ร่วมด้วยช่วยคิด | 06 ตุลาคม 2568

หลังจากผ่านพ้นวิกฤตโควิด-19 เศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวและเติบโตต่อเนื่อง สะท้อนจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ที่ล่าสุดเติบโต 2.8% ในไตรมาส 2 ปี 2568 แต่ตัวเลขนี้อาจสวนทางกับความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยหรือครัวเรือนฐานราก เพราะการเติบโตดังกล่าวกระจุกตัวอยู่เฉพาะในบางกลุ่ม อาทิ ธุรกิจใหญ่ และผู้มีรายได้สูงเท่านั้น ฉะนั้นการพิจารณาถึงรายละเอียดภายใต้ตัวเลขที่เติบโตจึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการออกแบบนโยบายอย่างตรงจุด

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการติดตามความเป็นอยู่ของครัวเรือนฐานรากอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2562 ได้ร่วมมือกับธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ซึ่งมีลูกค้าหลักเป็นเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ตลอดจนลูกจ้างที่มีรายได้น้อย ในการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นครัวเรือนฐานราก (Relationship Manager Sentiment Index: RMSI) ผ่านการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการธนาคารทั่วประเทศ ทั้งด้านความเป็นอยู่และภาวะการเงิน นอกจากนี้ ยังได้พูดคุยกับสมาคมต่าง ๆ อาทิ สมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย และสหพันธ์ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนและครอบคลุมยิ่งขึ้น 

car

โดยพบว่า ความเป็นอยู่ของครัวเรือนฐานรากมีแนวโน้มแย่ลง สะท้อนจากดัชนี RMSI ที่มีทิศทางลดลงตั้งแต่ปี 2566 และปัจจุบันอยู่ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มเกษตรกร
และผู้ประกอบอาชีพอิสระที่มีสัดส่วนกว่าครึ่งของจำนวนผู้มีงานทำทั้งหมด สะท้อนว่า คนส่วนใหญ่ยังมองว่าเศรษฐกิจไม่ดี แม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะเติบโตก็ตาม โดยหากดูองค์ประกอบย่อย พบว่าความเป็นอยู่ที่แย่ลงเป็นผลจาก 2 ปัจจัย คือ รายได้ และค่าครองชีพ

 

รายได้ที่ลดลง และไม่แน่นอนสูง

 

สำหรับปัจจัยด้านรายได้ มีความน่ากังวลในแง่ของระดับรายได้ที่ลดลง โดยครัวเรือนเกษตรถูกกดดันจากราคาสินค้าเกษตรที่ปรับลดลงหลายรายการ โดยเฉพาะข้าว ซึ่งเป็นสินค้าหลัก และส่งผลกระทบโดยตรงต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่มีสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 4 ของจำนวนเกษตรกรทั้งหมด

ครัวเรือนนอกภาคเกษตรก็เผชิญกับรายได้ที่ลดลงเช่นกัน โดยจากการพูดคุยกับกลุ่มผู้ค้าหาบเร่แผงลอย พบว่า รายได้ของผู้ค้าลดลงมาก เมื่อเทียบกับก่อนโควิด-19 คาดว่าเป็นผลจาก


1) กำลังซื้อที่ลดลง
โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานภาคอุตสาหกรรม บริการ และการค้า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มลูกค้าหลักที่รายได้ส่วน OT ลดลง ตามการลดจำนวนชั่วโมงทำงานของหลายธุรกิจ


2) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง
ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขายของผู้ค้ารายย่อยในพื้นที่ท่องเที่ยวและเมืองหลัก และ

 

3) การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากคนต่างชาติที่เข้ามาค้าขายหาบเร่แผงลอย

 

นอกเหนือจากปัญหารายได้ที่ลดลง ครัวเรือนฐานรากยังต้องเผชิญความไม่แน่นอนด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากรูปแบบการจ้างงานที่เปลี่ยนไป โดยจากการพูดคุยกับธุรกิจหลายสาขา พบว่าหลายรายจ้างงานและจ่ายค่าตอบแทนในลักษณะที่ยืดหยุ่นมากขึ้น อาทิ จ่ายค่าจ้างเป็นจำนวนชิ้นแทนรายชั่วโมง หรือจ้างงานรายวันแทนรายเดือน เพื่อให้ง่ายต่อการจัดการแรงงานและค่าใช้จ่ายท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ซึ่งรูปแบบการจ้างงานดังกล่าวทำให้ครัวเรือนฐานรากคาดการณ์รายได้ของตนได้ยาก ส่งผลให้ต้องระมัดระวังค่าใช้จ่ายมากขึ้นเช่นกัน

 

ทั้งนี้ ยังมีความกังวลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัดส่วนครัวเรือนฐานรากที่อาจเพิ่มขึ้น จากโอกาสในการหางานที่ยากขึ้น ส่วนหนึ่งสะท้อนจากจำนวนผู้รับสิทธิว่างงานรวมที่ยังเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ครัวเรือนที่เผชิญความเปราะบางด้านรายได้มีเพิ่มขึ้นเช่นกัน

 

ค่าครองชีพที่สูงขึ้น

 

หนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของครัวเรือนฐานราก คือค่าครองชีพที่สูงขึ้น โดยแม้อัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ในระดับต่ำ จากการปรับลดลงของราคาพลังงานและอาหารสด แต่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตอย่างอาหารสดบางรายการ อาทิ เนื้อสัตว์ มีราคาปรับสูงขึ้นประมาณ 20% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 นอกจากนี้ สินค้าที่ครัวเรือนใช้ประจำ อาทิ อาหารสำเร็จรูป เครื่องประกอบอาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มีราคาโดยเฉลี่ยสูงขึ้นเกือบ 15% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ ยิ่งซ้ำเติมครัวเรือนฐานรากที่มีความเปราะบางด้านรายได้อยู่แล้วให้มีความเป็นอยู่แย่ลงยิ่งขึ้น

 

เมื่อรายจ่ายเพิ่มขึ้นสวนทางกับรายได้ที่ลดลง การพึ่งพิงสินเชื่อจึงเป็นหนึ่งในทางออกของครัวเรือนฐานราก ทั้งเพื่อใช้บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและเป็นต้นทุนสำหรับประกอบอาชีพ แต่จากดัชนี RMSI ด้านภาวะการเงินสะท้อนว่าการเข้าถึงสินเชื่อในระบบของครัวเรือนฐานรากทำได้ยากขึ้น จากความสามารถในการชำระหนี้และการได้รับสินเชื่อที่ลดลง บางรายจึงต้องหันไปพึ่งพิงช่องทางอื่น อาทิ นำทรัพย์สินไปจำนำ หรือขอกู้จากแหล่งเงินกู้นอกระบบ ส่งผลให้โอกาสในการหลุดออกจากกับดักความยากจนทำได้ยากขึ้น

 

ผู้เขียนเล็งเห็นว่าปัญหาความเปราะบางของครัวเรือนฐานรากที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตัวเลขเศรษฐกิจที่เติบโตนั้นเป็นโจทย์สำคัญ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องเร่งแก้ไข โดยล่าสุด (3 ก.ย. 68) ภาครัฐ และเอกชนร่วมมือกันขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะปัญหาด้านรายได้ของประชาชนและหนี้ครัวเรือน ภายใต้โครงการ Reinvent Thailand ซึ่งผู้เขียนหวังว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนส่วนใหญ่ และทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว

 

** บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่สังกัด **

ผู้เขียน

ศุภณิดา รัตนบุรี

ปัณฑารีย์ ศิระพลานนท์

ธนาคารแห่งประเทศไทย
คอลัมน์ "ร่วมด้วยช่วยคิด"
ฉบับวันที่ 6 ตุลาคม 2568 

 

เศรษฐกิจภูมิภาค บทความ