ภาครัฐ-ธปท. จะสนับสนุนเกษตรกร ผลิตสินค้ามูลค่าสูงที่ใคร ๆ ต้องการได้อย่างไร
ตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ลูกหนี้กลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่า SMEs ครัวเรือน หรือเกษตรกร ต่างประสบปัญหารุนแรงและยืดเยื้อ โดย ธปท.ได้ออกมาตรการด้านการเงินเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้หลายระลอก ตั้งแต่แบบปูพรมที่ให้ทุกราย แบบมุ่งเป้าที่ตรงกับปัญหาแต่ละราย จนถึงล่าสุดที่ให้ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company : AMC) เข้าไปซื้อหนี้รายย่อยมาบริหารต่อแบบผ่อนปรน เพื่อให้ลูกหนี้เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
แต่การแก้หนี้อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะแม้จะแก้ได้สำเร็จ ก็อาจกลับมาเป็นปัญหาอีกครั้งหากรายได้ยังไม่เพียงพอจากการแข่งขันที่เข้มข้นและเศรษฐกิจที่ผันผวน
ทางออกหนึ่งที่เป็นไปได้สำหรับ “เกษตรกร” คือ การผลิตสินค้าเกษตรพรีเมี่ยมที่คุณภาพดี ราคาสูง เช่น ข้าวหอมมะลิ โดยเฉพาะที่ปลูกในเขตทุ่งกุลาร้องไห้ที่ขายได้ราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 45-70 บาท หรือมันเทศญี่ปุ่นที่ขายได้ราคาสูงกว่ามันเทศไทย 2-3 เท่า คงเป็นสิ่งที่เกษตรกรและผู้วางนโยบายทั้งหลายต้องการ
บทความนี้จึงขอชวนหาคำตอบว่า ความพรีเมี่ยมของสินค้าเกษตรคืออะไร สร้างขึ้นได้อย่างไร แล้วภาครัฐและ ธปท. รวมถึงภาคการเงิน จะมีส่วนสนับสนุนการสร้างพรีเมี่ยมให้สินค้าเกษตรไทยได้อย่างไร
พรีเมี่ยม (Premium) คือ “ราคาที่ผู้บริโภคยินดีจ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับคุณค่าที่ผู้บริโภคได้รับมากกว่าสินค้าปกติ” กล่าวคือ สินค้าพรีเมี่ยมให้ความพึงพอใจบางอย่างจนผู้บริโภคยินดีจ่ายเงินแพงกว่าปกติ เช่น ผู้บริโภคยินดีจ่ายเพิ่มเพื่อกลิ่นหอมและความนุ่มนวลของข้าวหอมมะลิที่หาไม่ได้จากข้าวสายพันธุ์อื่น ยินดีจ่ายเพิ่มสำหรับสารต้านมะเร็งในข้าวไรซ์เบอรี่ หรือยอมจ่ายเพิ่มเพื่อความอิ่มเอิบใจและภาคภูมิใจจากการสนับสนุนชาวบ้านที่ช่วยอนุรักษ์ป่า เช่น รองเท้าลำลอง Veja ที่มีชื่อเสียงด้านความยั่งยืนและจริยธรรม เนื่องจากบริษัทรับซื้อน้ำยางจากชาวบ้านที่ช่วยดูแลป่าแอมะซอนและกรีดยางในป่าแบบอนุรักษ์ทำให้ขายได้ในราคาพรีเมี่ยมสูงถึง 3-4 เท่าของราคาตลาด
ผู้เขียนลองใช้ ChatGPT ช่วยสืบค้นงานวิจัยเกี่ยวกับสินค้าเกษตรพรีเมี่ยมทั่วโลก พบตัวอย่างการสร้างความพรีเมี่ยมที่หลากหลาย เช่น
(1) คุณภาพสินค้า จากการพัฒนาสายพันธุ์หรือกระบวนการเพาะปลูกข้าวหรือผลไม้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ 5-100% (2) กระบวนการเพาะปลูกที่ยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงเกษตรกรและสังคม สร้างมูลค่าเพิ่มได้ 0.5-100% (3) ภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือลักษณะพิเศษเฉพาะถิ่น สร้างมูลค่าเพิ่มได้ 1.5-10 เท่า (4) การค้าโดยตรง (ไม่ผ่านคนกลาง) หรือการสร้างแบรนด์ของตนเอง สร้างมูลค่าเพิ่มได้ 9-40% (5) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทำให้มีรายได้เสริมจากการขายคาร์บอนเครดิตตั้งแต่ 10-200 ดอลลาร์สหรัฐ/เฮกตาร์/ปี เป็นต้น...
จะเห็นได้ว่าเราสามารถสร้างพรีเมี่ยมได้ในหลายขั้นตอนการผลิต แต่บางขั้นตอนอยู่นอกเหนือการควบคุมของเกษตรกร เช่น การพัฒนาสายพันธุ์ให้มีคุณภาพหรือคุณสมบัติทางยาที่ผู้บริโภคต้องการ ก็ต้องอาศัยการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ ส่วนการสร้างภูมิปัญญาท้องถิ่นหรือขยายลักษณะพิเศษเฉพาะถิ่น ก็ต้องอาศัยวัฒนธรรมที่ยึดโยงกับพื้นที่ การสร้างแบรนด์และช่องทางการตลาดก็ดูเป็นเรื่องยากสำหรับเกษตรกรที่ไม่มีประสบการณ์ แล้วเกษตรกรจะสร้างพรีเมี่ยมได้อย่างไร เรื่องนี้มี 2 ข้อต่อสำคัญ
พรีเมี่ยมจากคุณภาพสินค้าและปัจจัยด้านความยั่งยืนได้ เช่น การจัดรูปแปลงและเว้นระยะการปลูกให้เหมาะสม การใส่ปุ๋ยตามความต้องการของพืชและดิน (ลดการใส่ปุ๋ยเกินขนาดซึ่งก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก) การบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด การให้น้ำและปุ๋ยในเวลาที่เหมาะสม ตลอดจนการดูแลป้องกันโรคและศัตรูพืช ฯลฯ เหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มราคาจากพรีเมี่ยมด้านคุณภาพและความยั่งยืนแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนให้เกษตรกรอีกด้วย ซึ่งจะเกิดผลดีกับเกษตรกรตั้งแต่ที่เริ่มทำ
แม้ปรับการเพาะปลูกแล้ว เกษตรกรอาจยังขายสินค้าในราคาพรีเมี่ยมไม่ได้ทันที เพราะผู้บริโภคไม่ทราบหรือไม่มั่นใจว่าสินค้าผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพจริง จึงต้องมีข้อต่อที่ 2 คือ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ และการตรวจสอบคุณภาพโดยผู้ตรวจสอบภายนอก ซึ่งมีค่าใช้จ่ายพอสมควร แต่กิจกรรมดังกล่าว หากทำเป็นโครงการขนาดใหญ่ ครอบคลุมหลายพื้นที่ ก็จะลดต้นทุนต่อหน่วยลงได้
เกษตรกรต้องการการสนับสนุน 2 ด้าน ได้แก่ (1) เงินทุนเพื่อปรับกระบวนการเพาะปลูก และ (2) ระบบตรวจสอบย้อนกลับและการตรวจสอบคุณภาพจากบุคคลภายนอก โดยระบบตรวจสอบย้อนกลับเป็นแกนของเรื่องที่จะสร้างความมั่นใจ เพื่อให้ทั้งผู้ให้ทุนและผู้บริโภคมั่นใจว่าเงินทุนที่ได้ไป ถูกนำไปปรับปรุงกระบวนการเพาะปลูกและผลิตสินค้าพรีเมี่ยมที่รักษ์โลกจริง เมื่อแหล่งทุนมั่นใจ การจัดสรรเงินทุนหรือการกู้ยืมก็จะคล่องตัวขึ้น
ขออนุญาตคิดดัง ๆ ถึงวิธีการผลักดันให้เกิดขึ้นจริงว่าต้องร่วมมือกับหน่วยงานใดบ้าง ตั้งแต่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งมีทั้งหน่วยงานด้านบุ๋นที่ทำเรื่องวิชาการ (สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมวิชาการเกษตร ฯลฯ) และหน่วยงานด้านบู๊ที่ลงภาคสนามในพื้นที่ (กรมส่งเสริมการเกษตร กรมข้าว ฯลฯ) ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ที่ต้องเป็นหน่วยพลาธิการในการ “จัดสรรเงินทุน” ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสร้างระบบตรวจสอบกระบวนการเพาะปลูกและคุณภาพสินค้าเพื่อให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าในราคาพรีเมี่ยมอย่างมั่นใจ
ขณะเดียวกัน ธปท.ก็มีส่วนขับเคลื่อนด้วยการร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนหลายแห่ง ร่วมกันจัดทำ Thailand Taxonomy ภาคเกษตร เพื่อใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงในการจำแนกว่า การเพาะปลูกแบบใดเป็นกิจกรรมที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง เพื่อให้ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการเงิน นำเกณฑ์ดังกล่าวไปใช้สนับสนุนเงินทุนหรือด้านอื่นแก่เกษตรกรได้
นอกจากนั้น ธปท.ยังร่วมกับธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง ดำเนินโครงการ Financing the Transition เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้ธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ในการปรับกระบวนการผลิตสู่ความยั่งยืน ซึ่งมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่สนับสนุนการปรับตัวในภาคเกษตรรวมอยู่ด้วย
ผู้เขียนเชื่อว่าหากทุกฝ่ายร่วมด้วยช่วยกัน ตั้งแต่เกษตรกร ภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคสถาบันการเงิน ไปจนถึงผู้บริโภคอย่างพวกเราทุกคน จะสามารถยกระดับรายได้ของพี่น้องเกษตรกรด้วยสินค้าเกษตรพรีเมี่ยมได้อย่างยั่งยืนแน่นอนค่ะ
ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์/สุเมธ พฤกษ์ฤดี ฝ่ายเศรษฐกิจการเงินภูมิภาค
คอลัมน์ แบงก์ชาติชวนคุย ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน 2568