อุตสาหกรรมภาคเหนือปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว

ธนพร ดวงเด่น | ณัฐชนก จันทรมณี* ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ

24 พ.ย. 2568

บทความประกอบการสัมมนาทางวิชาการประจำปี ครั้งที่ 10 โดยความร่วมมือของธนาคารโลก ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวข้อ “เศรษฐกิจไทย–พร้อมรับ ปรับตัว แสวงหาโอกาสท่ามกลางโลกผันผวน” วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2568 ณ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

1. ภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญ ทั้งในฐานะ “ผู้ก่อให้เกิด” และ “ผู้ได้รับผลกระทบ” จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้นกระแส Green จึงไม่ใช่เป็นเพียงภาพลักษณ์ทางธุรกิจ แต่เป็น “ทิศทางแห่งอนาคต” ที่ผู้ประกอบการต้องปรับตัวให้ทัน เพื่อคว้าโอกาสในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน”

  • ภาพรวมระดับโลก ภาคอุตสาหกรรมเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas Emissions : GHGs) ในปริมาณมาก (รูปที่ 1) ส่งผลต่อภาวะโลกร้อนและความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศ สาเหตุจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพื่อเป็นพลังงานในกระบวนการผลิต เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ
green-industry-1
  • ขณะเดียวกันภาคอุตสาหกรรมก็เผชิญกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนด้วยเช่นกัน เช่น ความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น การออกกฎหมายและข้อบังคับด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงแรงกดดันจากผู้บริโภคและตลาดโลกที่มีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
  • ปัญหาสิ่งแวดล้อมสร้างความเสียหายและผลกระทบมากขึ้น ส่งผลให้ทั่วโลกตื่นตัว และมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อาทิ ความตกลงปารีส (Paris Agreement)1/ โดยมีเป้าหมายหลัก คือ
green-industry-2
  • ภายหลังการประชุม ณ กรุงปารีส ประเทศต่าง ๆ ได้ทำพิธีลงนามความตกลงอย่างเป็นทางการ และไทยได้ร่วมลงนามกับประเทศอื่นๆ รวมกว่า 180 ประเทศ ส่งผลให้ทุกประเทศต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามความตกลงได้ โดยเป้าหมายของประเทศไทย คือ ตั้งเป้าลด GHGs 30-40% ภายในปี 2030 เป็น Carbon Neutrality** ในปี 2050 และไปให้ถึง Net Zero Emissions*** ในปี 20652/ 
  • เพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อย GHGs  หลายหน่วยงานในไทยจึงได้ออกมาตรการเพื่อลด GHGs ในภาคอุตสาหกรรมและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ยั่งยืน อาทิ กระทรวงอุตสาหกรรมได้กำหนด หลักเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียว มุ่งสู่ Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions3/ โดยแบ่งอุตสาหกรรมสีเขียวออกเป็น 5 ระดับ โดยหารือกับหน่วยงานที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ภาคธุรกิจที่ได้รับการรับรอง GI ตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ และการอำนวยความสะดวกการจดทะเบียนเครื่องจักร ตลอดจนการเข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินของรัฐ4/

หมายเหตุ : * นักศึกษาฝึกงาน ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคเหนือ ปี 2567, ** Carbon Neutrality หรือ คาร์บอนเป็นกลาง หมายถึงการที่กิจกรรมหรือองค์กรมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์) เท่ากับปริมาณที่สามารถดูดกลับหรือชดเชยได้ ทำให้ผลกระทบสุทธิที่มีต่อสิ่งแวดล้อมเป็นศูนย์, *** Net Zero Emissions หรือ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ หมายถึงการที่ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาในกิจกรรมต่าง ๆ เท่ากับปริมาณที่สามารถดูดกลับหรือชดเชยได้ โดยไม่จำเป็นต้อง “ไม่ปล่อยเลย” แต่ต้องมีการจัดการให้ผลกระทบสุทธิเป็นศูนย์

ที่มา : 1 United Nations Climate Change
       ภาพรวมแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ปี พ.ศ. 2564 – 2573, กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
       3 กองส่งเสริมเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมโรงงาน กรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม, 4/ที่มา: ข่าวกระทรวงอุตสาหกรรม ปี พ.ศ. 2567
ที่มารูปภาพ: flaticon.com

หลักเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียวของประเทศไทย (Green Industry: GI) 5/ 

 

GI 1: ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment)  โรงงานต้องเข้าร่วมระบบ i-Industry รับทราบนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม และปฏิบัติตามกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และความรับผิดชอบต่อสังคม

GI 2: ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity) จัดทำแผนงานสิ่งแวดล้อมที่นำไปสู่ลดการปล่อย GHGs

GI 3: ระบบสีเขียว (Green System) ประเมินตนเองผ่าน Thailand i4.0 Checkup เพื่อประเมินความพร้อมสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ DIW Safety Application เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยโรงงานด้านความปลอดภัย และแสดงผลการลดการปล่อย GHGs จากการดำเนินการตามแผนงานสิ่งแวดล้อม

GI 4: วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) โรงงานอุตสาหกรรมต้องมีการจัดทำแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อลดการปล่อย GHGs  ผ่านการทวนสอบว่าเป็นไปตามแนวทางความรับผิดชอบต่อสังคม มีการจัดทำรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร มีการดำเนินกิจกรรมลดการปล่อย GHGs ค่าปริมาณการปล่อย GHGs ดีขึ้นต่อเนื่องภายใต้การดำเนินการในสภาวะปกติ

GI 5: เครือข่ายสีเขียว (Green Network) โรงงานอุตสาหกรรมต้องส่งเสริมห่วงโซ่อุปทานมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ต้องมีมาตรการควบคุมหรือลดผลกระทบที่เกิดขึ้น มีการเสนอแผนความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality Plan) หรือแผนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission Plan) รวมทั้งแสดงผลการกระจายรายได้สู่ชุมชน เป็นต้น

2. นอกจากแรงจูงใจจากมาตรการภายในประเทศแล้ว ธุรกิจอุตสาหกรรมยังจำเป็นต้องพิจารณาถึงนโยบายสิ่งแวดล้อมในระดับสากล ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกในอนาคต หากไม่เร่งปรับตัว (ตารางที่ 1)

ตารางที่ 1  ตัวอย่างมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมในต่างประเทศ

green-industry-3

3. มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าจะกระทบอุตสาหกรรมของภาคเหนือในส่วนไหน ?

  • สำหรับภาคเหนือ ภาคอุตสาหกรรมเป็นภาคเศรษฐกิจสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มีสัดส่วน 14.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภาค (Gross Regional Product: GRP)9/ สาขาการผลิตที่สำคัญ คือ เกษตรแปรรูป ผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ วัสดุก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์จากโลหะ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ไม้และกระดาษ เซรามิก และ เครื่องประดับ (รูปที่ 3) 
  • การส่งออกของภาคเหนือในปี 2567 มีมูลค่าประมาณ 6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย สินค้าอุตสาหกรรมคิดเป็น 70% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของภาคเหนือ คู่ค้าหลักคือ อาเซียน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ยุโรป และจีน (รูปที่ 4) เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมมีความสำคัญในแง่ของการส่งออกค่อนข้างมาก และมีความเสี่ยงถูกกระทบหากประเทศคู่ค้าหรือประเทศปลายทางที่บริโภคสินค้าบังคับใช้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากสินค้าและวัตถุดิบที่ส่งออกเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานโลก โดย สินค้าส่งออกของภาคเหนือที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบโดยตรง จากมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้า (รูปที่ 5) ได้แก่

    -  อุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ ผลิตภัณฑ์โลหะและเหล็ก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเกษตรแปรรูป ส่งออกไปญี่ปุ่น  มีมูลค่าประมาณ 518 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 8% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของภาคเหนือ
    -  เซรามิก ไม้แปรรูป เฟอร์นิเจอร์ ส่งออกไปสหภาพยุโรป มีมูลค่าประมาณ 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สัดส่วน 0.6%
    -  ผลิตภัณฑ์กระดาษส่งออกไปสหรัฐฯ มีมูลค่าประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สัดส่วน 0.02%
green-industry-4
green-industry-5

 

ตัวอย่างการปรับตัวของอุตสาหกรรมภาคเหนือเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียว

กรณีศึกษา : 1) อุตสาหกรรมผลิตเครื่องนุ่งห่มในภาคเหนือ 10/

 

Green Transition Plan: ผู้ประกอบการ SMEs ต้องการปรับตัวเพื่อทดลองเรียนรู้ และเป็นตัวอย่างให้รายอื่น ๆ ในจังหวัด

 

  • การพัฒนาทักษะพนักงาน เริ่มจากร่วมกับพาณิชย์จังหวัดส่งพนักงานไปอบรมกับหน่วยงานสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และได้รับทราบว่าการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ต้องใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาคำนวณอย่างถูกต้อง จึงว่าจ้างที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยในภาคเหนือ มาช่วยวางแนวทางประเมินการใช้พลังงานภายในโรงงาน ว่าแต่ละจุดปล่อยคาร์บอนเท่าไหร่ตามกรอบ Greenhouse Gas Emissions =  Activity data x Emission factor ซึ่งในการประเมินมีขอบเขตการวัด (Scope) 3 ขอบเขต (ตารางที่ 2) วัดออกมาในรูปตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า11/ โดยมีค่าใช้จ่ายค่าที่ปรึกษาประมาณ 100,000 บาท และเมื่อพนักงานสามารถดำเนินการประเมินเองได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องจ้างที่ปรึกษาในปีต่อไป
green-industry-6
carboncredit-7

กรณีศึกษา : 2) Pandora Group 13/

 

Green Transition Plan: Pandora เป็นผู้ผลิตเครื่องประดับรายใหญ่จากเดนมาร์ก มีฐานการผลิตหลายแห่ง รวมถึงในประเทศไทย บริษัทให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากล วางแผนลด GHGs และปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างเป็นระบบ

 

  • วางเป้าหมายลด GHGs 50% ภายในปี 2030 และเป็น Net Zero Emissions ภายในปี 2040 โดยในปี 2024 บริษัทสามารถลดการปล่อยก๊าซได้ 17% เทียบกับ baseline ปี 2019 ส่วนใหญ่มาจากการเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (renewable energy) และเปลี่ยนมาใช้วัตถุดิบเงินและทองรีไซเคิล 100%
    -  Scope 1 การปล่อยก๊าซลดลง 27% จากปี 2023 ด้วยการแก้ไขปัญหาด้านการบำรุงรักษาในโรงงาน เช่น ใช้น้ำรีไซเคิลในกระบวนการผลิต ปรับปรุงระบบปรับอากาศและระบบระบายอากาศที่ช่วยลดการสูญเสียพลังงานได้สูงถึง 80%14/
    -  Scope 2 การปล่อยก๊าซลดลง 94% จากปี 2023 จากการขยายการจัดหาพลังงานไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนทั้งการติดตั้ง solar cell ในโรงงาน เพิ่มการซื้อพลังงานชีวมวลจากผู้ประกอบการในพื้นที่ และการซื้อ Renewable Energy Certificates15/ (RECs) ทำให้สามารถบรรลุเป้าหมายการใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนได้ 100%

  • อย่างไรก็ตาม ยังมีความท้าทายในการลดการปล่อย GHGs ในห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3)
    -  Scope 3 การปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้น 7% จากปี 2023 สาเหตุหลักมาจากสินค้าทุนที่ใช้ก่อสร้างโรงงานใหม่ในเวียดนาม การขยายและปรับปรุงหน้าร้าน การเพิ่มขึ้นของ business travel เป็นต้น โดยแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในระยะต่อไป คือการเพิ่มการทำงานเชิงรุก และพัฒนาศักยภาพของ supplier ที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซใน scope 3 มากที่สุดที่ 16% (รูปที่ 6) เช่น จัดทำหลักสูตรฝึกอบรมแบบ e-learning วัดและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้ supplier รายงานการปล่อยก๊าซ รวมถึงช่วยคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และอาจเข้าไปช่วยกำหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนของ supplier ด้วย รวมถึงเริ่มนำข้อกำหนดด้านคาร์บอนต่ำ (Low-carbon clauses) ไปใช้ในสัญญากับ supplier ด้านการขนส่งที่มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซที่ 14% บริษัทดำเนินการลดการปล่อยคาร์บอนด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งสินค้าจากทางอากาศไปเป็นทางถนนหรือทางทะเล และการลงทุนในเชื้อเพลิงสะอาด ด้านการเดินทางเพื่อธุรกิจและการเดินทางของพนักงาน คิดเป็นสัดส่วน 12% ทางบริษัทได้จัดทำแบบสำรวจการเดินทางของพนักงาน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่แม่นยำมากขึ้น ซึ่งช่วยในการวางกลยุทธ์เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนของพนักงานต่อไป
green-industry-8

ที่มา : 13 Pandora Annual Report, 2024, 
       14 Pandora’s crafting facility in Lamphun
       15 Renewable Energy Certificate (REC) หรือ ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เป็นกลไกที่ช่วยให้ผู้ผลิตและผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถอ้างสิทธิ์การผลิตและการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนด้วยการรับรองจากหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของมาตรฐาน ช่วยสนับสนุนให้เกิดการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนผ่านกลไกการซื้อและขายใบรับรองการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนโดย Pandora ซื้อ RECs จากแหล่งที่ได้รับการรับรองจาก EKOenergy (ยุโรป) หรือ Green-e (อเมริกาเหนือ)  (กฟผ. เป็นผู้ให้บริการในการรับรอง REC ของประเทศไทย อ่านเพิ่มเติมที่: https://energysolutions.egat.co.th/index.php/solutions/renewable-energy-certificate)

ถอดบทเรียนจากการปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว

 

  • ในผู้ประกอบการรายใหญ่ การลดการปล่อย GHGs ใน scope 1 และ 2 สามารถดำเนินการได้เองตามเป้าหมาย แต่ใน Scope 3 (supply chain) ยังคงมีความท้าทาย เพราะเป็นการปล่อยก๊าซจากกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานที่ส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีการปรับตัวสู่มาตรฐานความยั่งยืนเท่าที่ควร ดังนั้นผู้ประกอบการรายใหญ่จึงมีแนวโน้มที่จะดำเนินการเชิงรุก และเข้มงวดในการลดการปล่อยก๊าซกับบริษัทที่อยู่ supply chain มากขึ้น
  • ในบริบทของธุรกิจไทย หากเป็นคู่ค้ากับบริษัทระดับโลกที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวด จำเป็นต้องเร่งศึกษาแนวทางคำนวณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตามมาตรฐานสากล วางแนวทางปรับปรุงเพื่อลดการปล่อย GHGs และเตรียมความพร้อมรายงานข้อมูลอย่างเป็นระบบ รวมทั้งอาจเป็นโอกาสของธุรกิจพลังงานไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ สามารถขายให้กับบริษัทเหล่านี้อีกด้วย
  • ในระดับบุคคล โดยเฉพาะพนักงานภายในองค์กรที่มีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ควรเพิ่มความรู้ในการรายงานการปล่อยคาร์บอนส่วนบุคคลอย่างถูกต้อง เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของพนักงานในองค์กรอย่างเหมาะสม

จากกรณีตัวอย่างของภาคเหนือ การปรับตัวสู่อุตสาหกรรมสีเขียวยังคงมีความคืบหน้าไม่มากนัก และยังมีความท้าทายในหลายด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ SMEs พบว่ามีข้อจำกัด ทั้งด้านการขาดองค์ความรู้ทำให้ต้องจ้างที่ปรึกษา ภาระค่าธรรมเนียมการใช้เครื่องหมายรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ด้านเงินลงทุนมีจำกัด ขณะที่ต้นทุนการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีการผลิตสูง รวมทั้งธุรกิจภายในห่วงโซ่อุปทานส่วนใหญ่ยังขาดการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กร จึงจำเป็นที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันสนับสนุนในส่วนที่ภาคธุรกิจต้องการ เพื่อให้ธุรกิจอุตสาหกรรมทั้งห่วงโซ่อุปทานเกิดการปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียวให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีเครื่องมือจากหน่วยงานภาครัฐและภาคการเงิน ที่สามารถช่วยเสริมศักยภาพการปรับตัวในแต่ละด้าน เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน ดังนี้  

แนวทางพัฒนาและหน่วยงานสนับสนุนการปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว

green-industry-9
green-industry-10
green-industry-11

 

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย