กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน

Financial Institutions Development Fund (FIDF)

ความเป็นมาและการบริหารจัดการหนี้ของกองทุนฯ

ความเป็นมาของหนี้

          เศรษฐกิจของไทยส่อเค้ามีปัญหาตั้งแต่ปี 2539 โดยเริ่มจากปัญหาการชะลอตัวของมูลค่าส่งออก ส่วนหนึ่งเกิดจากการแข่งขันจากต่างประเทศที่รุนแรงขึ้น อาทิ จีน อินโดนีเซีย เป็นต้น อีกส่วนหนึ่งเกิดจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในตลาดเงินตราต่างประเทศแข็งขึ้น ทำให้เงินบาทซึ่งมีองค์ประกอบเป็นดอลลาร์ในตะกร้าเงินเป็นสัดส่วนสูงแข็งค่าตามไปด้วย ในอีกด้านหนึ่งเงินทุนในรูปเงินกู้ยืมไหลเข้ามาในจำนวนสูงมาก ทำให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อโดยขาดความระมัดระวัง โดยมีการนำเงินไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีการเก็งกำไรในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อเศรษฐกิจซบเซาเกิดปัญหาหนี้เสียในระบบสถาบันการเงิน ธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งประสบปัญหาสภาพคล่อง ส่งผลให้บริษัทเงินทุนที่เป็นสถาบันการเงินที่ให้กู้ยืมแก่ภาคอสังหาริมทรัพย์มากที่สุด ถูกผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจก่อนที่จะมีข่าวลือเกี่ยวกับความอ่อนแอของฐานะการเงินตามมาในอีกระยะหนึ่ง

          ต้นเดือนพฤษภาคม 2539 ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องและส่งผลกระทบต่อบริษัทเงินทุนในเครือ หลังจากนั้นกระแสข่าวลือเกี่ยวกับฐานะการเงินของบริษัทเงินทุนก็เริ่มมีมาเป็นลำดับ จนกระทั่งต้นเดือนกันยายน 2539 มีข่าวว่าบริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์บางแห่งมีปัญหาทางการเงินจนถึงขั้นถูกควบคุมโดยทางการ มีการระบุชื่อสถาบันการเงินหลายแห่ง แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะออกมาปฏิเสธข่าว แต่กระแสการถอนเงินฝากก็ยังมีอยู่ต่อเนื่อง กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) ได้ให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องแก่สถาบันการเงินดังกล่าวเพื่อนำไปชำระคืนผู้ฝากเงิน และในช่วงต้นปี 2540 ก็มีข่าวการลดค่าเงินบาท และข่าว Moody's จะพิจารณาปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือหนี้ระยะยาว นอกจากจะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนแล้ว ยังส่งผลต่ออัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมระยะสั้นผันผวนรุนแรงระหว่างร้อยละ 10-30 ต่อปี ข่าวการขาดสภาพคล่องของบริษัทเงินทุนก็เริ่มแพร่สะพัด ทำให้กระแสการถอนเงินฝากลุกลามต่อเนื่องออกไปในวงกว้าง แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศรายชื่อบริษัทเงินทุนที่ต้องเพิ่มทุน 10 แห่ง เพื่อแยกแยะสถาบันการเงินที่มีปัญหาฐานะออกมา แต่ผลปรากฏว่าประชาชนไม่มีความเชื่อมั่น กระแสการถอนเงินฝากยิ่งขยายออกไปเป็นวงกว้างมากขึ้นเป็นลำดับ และต้องขอรับเงินช่วยเหลือจากกองทุนฯ จนถึงกลางเดือนมิถุนายน 2540 สถาบันการเงินที่กองทุนฯ ต้องให้ความช่วยเหลือสภาพคล่องมีจำนวนมากกว่า 40 แห่ง เป็นเงินกว่า 200,000 ล้านบาท

          ในที่สุดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2540 กระทรวงการคลังได้ประกาศระงับการดำเนินกิจการของสถาบันการเงินชั่วคราว เพื่อให้สถาบันการเงินเหล่านั้นจัดทำแผนเพิ่มทุน/ควบรวมกิจการ จำนวนรวม 16 แห่ง (กลุ่ม 16) ในส่วนของประชาชนผู้ฝากเงิน ทางการให้สิทธิแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินแบบมีกำหนดเวลาตามที่ทางการกำหนดของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) เต็มตามจำนวนต้นเงิน ทั้งยังได้รับดอกเบี้ยตามที่กำหนดด้วย ต้นเดือนกรกฎาคม 2540 ได้มีการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลให้สถานการณ์ระบบสถาบันการเงินยิ่งทรุดต่ำลงไปอีก แม้ว่ารัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้รับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ทั้งในและต่างประเทศในระบบบริษัทเงินทุนที่ไม่ได้ถูกระงับการดำเนินกิจการ ซึ่งคาดว่ามีความปลอดภัยเต็มที่ กระแสการถอนเงินฝากจากบริษัทเงินทุนยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 5 สิงหาคม 2540 กระทรวงการคลังได้ประกาศระงับการดำเนินกิจการของสถาบันการเงินชั่วคราวอีก 42 แห่ง (กลุ่ม 42) เพื่อแยกบริษัทเงินทุนที่ประสบปัญหาความมั่นคงออกจากบริษัทที่สามารถดำเนินธุรกิจโดยปกติต่อไปได้ ในส่วนของประชาชนผู้ฝากเงิน ทางการให้สิทธิแลกเปลี่ยนเป็นบัตรเงินฝากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ทำนองเดียวกับกลุ่ม 16 สำหรับเจ้าหนี้ทั้งในและต่างประเทศได้รับการดูแลเช่นเดียวกับผู้ฝากเงิน แต่ได้รับในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าประชาชนผู้ฝากเงิน (เจ้าหนี้กลุ่ม 16 ไม่สามารถแลกเปลี่ยนตั๋วได้ต้องไปขอเฉลี่ยคืนจากกองทรัพย์สินของสถาบันการเงินนั้น ๆ)

          ในวันเดียวกัน (5 สิงหาคม 2540) คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติหลักเกณฑ์และมาตรฐานการประกันเงินฝากให้แก่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ทุกรายของสถาบันการเงินที่ยังเปิดดำเนินการอยู่ทุกแห่ง โดยมอบหมายให้กองทุนฯ เป็นผู้ดำเนินการตามมติดังกล่าว รวมทั้งเป็นผู้จัดหาสภาพคล่องให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์กรุงไทยธนกิจ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อจ่ายคืนผู้ฝากเงินที่แลกเปลี่ยนเป็นตราสารของสถาบันการเงินทั้งสองแห่ง กองทุนฯ ได้ประมาณการความเสียหายจากการช่วยเหลือผู้ฝากเงินในสถาบันการเงินเหล่านี้รวมทั้งสิ้น 519,298 ล้านบาท

          การประกาศหลักเกณฑ์การประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ไม่อาจเรียกความเชื่อมั่นของประชาชนผู้ฝากเงินได้ทั้งหมด กระแสการถอนเงินฝากในระบบสถาบันการเงินก็ยังคงมีอยู่อันเนื่องมาจากข่าวลือต่าง ๆ สถานการณ์ค่าเงินบาทและสถานการณ์ดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับที่สูงมากกว่าร้อยละ 20 ในตลาดการเงิน ทั้งยังลุกลามไปยังธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก จนกระทั่งทางการได้ออกมาตรการ 14 สิงหาคม 2541 ประกอบด้วย มาตรการหลาย ๆ มาตรการ กล่าวคือ มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการ/ผู้บริหาร เพิ่มทุน ควบรวมกิจการ และการโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพออกมาจากสถาบันการเงิน เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถดำเนินธุรกรรมตามปกติได้ ซึ่งมาตรการดังกล่าวต้องใช้เงินจากทางการเป็นจำนวนมาก แต่ต้นทุนยังต่ำกว่าการปิดกิจการและจ่ายคืนผู้ฝากเงิน นอกจากนี้ ผลดีคือลูกหนี้ปกติของสถาบันการเงินเหล่านั้นยังสามารถใช้บริการและเบิกจ่ายเงินได้ตามปกติ

          จากการดำเนินการตามนโยบายที่กระทรวงการคลังมอบหมายทั้งมาตรการช่วยผู้ฝากเงิน และช่วยฟื้นฟูฐานะการเงินของสถาบันการเงิน เป็นผลให้กองทุนฯ ต้องกู้ยืมเงินในระบบเพื่อมาสนับสนุนการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เป็นจำนวนสูงมาก และเกือบทั้งหมดเป็นการกู้ยืมระยะสั้นจากตลาดเงิน และต้องประสบความเสียหายเป็นจำนวนกว่า 1.4 ล้านล้านบาทตามประมาณการที่กองทุนฯ ได้จัดทำ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนมิถุนายน 2545

                               ประเภทความเสียหาย                                       จำนวนเงิน (ล้านบาท)

          1.  การช่วยเหลือผู้ฝากเงิน                                                              554,149

          2.  การฟื้นฟูกิจการด้วยการเข้าเพิ่มทุน                                                  169,139

          3.  การฟื้นฟูกิจการด้วยการบริหารจัดการหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL)                       650,750

          4.  ค่าดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายอื่นสุทธิ (หลังหักเงินนำส่งและเงินได้อื่น ๆ)                 27,412

                               ความเสียหายทั้งสิ้นสุทธิ                                          1,401,450

การจัดการหนี้ (ปี 2541-2545)

          ในการมอบหมายให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฯ) ดำเนินมาตรการใด ๆ ที่จะฟื้นฟูระบบสถาบันการเงิน รัฐบาลได้ให้คำรับรองที่จะให้ความช่วยเหลือทางการเงินและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กองทุนฯ มาเป็นลำดับ ดังนี้

          1.  การตราพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2541 (ต่อไปนี้ขอเรียกว่า "พันธบัตร F1")

              ความเสียหายในช่วงแรกของการเกิดวิกฤติสถาบันการเงิน ได้แก่ ความเสียหายที่เกิดจากการช่วยเหลือผู้ฝากเงินของสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการทั้ง 56 แห่ง และการเข้าแก้ไขปัญหากรณีของธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) บางส่วน ประมาณการเบื้องต้นรวมเป็นจำนวน 500,000 ล้านบาท ในเดือนพฤษภาคม 2541 รัฐบาลได้ตราพระราชกำหนดออกพันธบัตร F1 เพื่อช่วยเหลือกองทุนฯ โดยภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการกู้เงิน ทางการจะตั้งงบประมาณเพื่อชำระให้ก่อน ส่วนของเงินต้นจะใช้เงินจากกองทุนเพื่อการชำระต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนฯ ซึ่งเงินของกองทุนดังกล่าวจะมาจาก 3 แหล่ง คือ

              1)  เงินกำไรสุทธิที่ธนาคารแห่งประเทศไทยนำส่งเป็นรายได้ตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยในแต่ละปี จำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละเก้าสิบ

              2)  เงินรายได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในจำนวนตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนดโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรี

              3)  ดอกผลของกองทุนดังกล่าว

              ทั้งนี้ ภายหลังจากนำเงินไปชำระต้นเงินกู้ F1 หมดแล้ว  ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องนำส่งเงินเป็นรายได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของเงินกำไรสุทธิที่ได้รับจากการประกอบการในแต่ละปีมาชำระคืนในส่วนของดอกเบี้ยที่ได้ใช้เงินงบประมาณชำระไปก่อนแล้วจนครบถ้วน

              กระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตร F1 เต็มวงเงิน 500,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยความเสียหายให้แก่กองทุนฯ โดยได้รับเงินสุทธิจำนวน 512,824 ล้านบาท

          2.  การเข้าค้ำประกันพันธบัตรกองทุนฯ โดยกระทรวงการคลังค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ย (ต่อไปนี้ขอเรียกว่า "พันธบัตร F2")

              ความเสียหายเกิดขึ้นเพิ่มเติมเนื่องจากการเข้าแก้ไ้ขปัญหาสถาบันการเงินที่ทางการเข้าแทรกแซง (มาตรการ 14 สิงหาคม 2541) การค้ำประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินที่ปิดกิจการเพิ่มเติม คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 อนุมัติแนวทางการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่กองทุนฯ โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันหนี้ของกองทุนฯ เท่ากับตัวเลขเงินกองทุนติดลบ และตั้งงบประมาณเพื่อการชำระค่าดอกเบี้ยให้ ส่วนเงินต้นทางการจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่อไป กระทรวงการคลังได้ค้ำประกันพันธบัตร F2 ที่กองทุนฯ ได้ออกไปเป็นเงินรวมทั้งสิ้น 112,000 ล้านบาท

          3.  การตราพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่สอง พ.ศ. 2545 (ต่อไปนี้ขอเรียกว่า "พันธบัตร F3")

              กองทุนฯ ได้ประมาณการภาระความเสียหายทั้งสิ้นเป็นจำนวน 1,401,450 ล้านบาท กระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตร F1 ให้แล้ว  กองทุนฯ ได้รับเงิน 512,824 ล้านบาท และได้ค้ำประกันพันธบัตร F2 อีก 112,000 ล้านบาท คงเหลือภาระอีก 776,626 ล้านบาท (1,401,450-512,824-112,000) กองทุนฯ ได้อาศัยแหล่งเงินส่วนใหญ่จากตลาดเงินซึ่งเป็นเงินกู้ระยะสั้น มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูง  นอกจากนี้ พันธบัตร F2 จะเริ่มครบกำหนดชำระในปี 2546 เป็นต้นไป แต่ยังไม่มีความชัดเจนว่าแหล่งเงินทุนที่จะนำมาชำระเงินต้นจะมาจากแหล่งใด ในปี 2545 รัฐบาลจึงพิจารณาเห็นควรปรับโครงสร้างหนี้เป็นหนี้ระยะยาวและลดภาระดอกเบี้ยจ่ายให้ลดลง

              รัฐบาลกำหนดวงเงินที่จะออกพันธบัตร F3 เพื่อชดเชยความเสียหายวงเงินไม่เกิน 780,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยคงชำระจากงบประมาณแผ่นดินเช่นเดียวกับพันธบัตร F1 ส่วนการชำระคืนต้นเงินของพันธบัตร F2 และพันธบัตร F3 ให้จัดสรรจากสินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา ซึ่งวิธีการดังกล่าวไม่มีผลทำให้สินทรัพย์ของทุนสำรองเงินตรา และสินทรัพย์ในบัญชีสำรองพิเศษลดน้อยลง

              กระทรวงการคลังได้ออกพันธบัตร F3 ชดเชยความเสียหายให้กองทุนฯ 693,327 ล้านบาทจากวงเงินที่กำหนดไว้ 780,000 ล้านบาท คงเหลือวงเงินกู้อีก 86,673 ล้านบาท (กองทุนฯ ไม่ได้ขอชดเชยอีกเลยจนถึงปัจจุบัน)

              นับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา ค่าเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินตราต่างประเทศโดยเฉพาะดอลลาร์สหรัฐอเมริกา เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยจัดทำงบการเงินซึ่งต้องตีราคาเป็นเงินบาทก็จะิเกิดการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน (ทั้ง ๆ ที่เงินตราต่างประเทศมีมูลค่าเท่าเดิม) งบการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยก็แสดงผลการดำเนินงานขาดทุน เนื่องจากต้องประสบปัญหาขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและยังมีต้นทุนดอกเบี้ยจากการดำเนินนโยบายการเงิน เป็นผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทยประสบผลขาดทุนไม่สามารถนำส่งกำไรเพื่อชำระต้นเงินพันธบัตร F1 และสินทรัพย์คงเหลือจากบัญชีผลประโยชน์ก็มีจำนวนน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ เป็นผลให้หนี้พันธบัตร F1 และ F3 คงค้าง 1.14 ล้านล้านบาท ในขณะที่กระทรวงการคลังต้องรับผิดชอบจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรจากงบประมาณประจำปีประมาณปีละ 60,000 ล้านบาท นับตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา

สาระสำคัญ พ.ร.ก.บริหารหนี้ฯ ปี 55

          เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2555 รัฐบาลโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีมติอนุมัติให้ตราพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. 2555 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2555 โดยให้เหตุผลว่า "เนื่องจากในปี พ.ศ. 2554 ได้เกิดวิกฤติการณ์อุทกภัยอย่างร้ายแรงในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง รัฐบาลมีความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องบูรณะและฟื้นฟูประเทศ เยียวยาความเสียหายให้แก่ประชาชน รวมทั้งดำเนินการวางระบบการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ โดยการจัดให้มีการลงทุนในโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่จำเป็น นอกจากนี้ ผลจากการเกิดความเสียหายนั้นยังทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมเริ่มถดถอยและอยู่ในภาวะที่มีความเสี่ยงต่อความเชื่อมั่นของสาธารณะ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการฟื้นฟูประเทศทั้งการแก้ไขเยียวยาความเสียหาย การป้องกันภัยพิบัติที่ใกล้จะถึง และการสร้างความเชื่อมั่นในการประกอบอาชีพของประชาชนและผู้ลงทุน ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวจะต้องใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมากและต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนหลายแนวทาง และแนวทางหนึ่งคือการต้องลดภาระงบประมาณเพื่อชำระดอกเบี้ยเงินกู้ที่กู้มาเพื่อช่วยเหลือการดำเนินการของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่เกิดจากการแก้ไขปัญหาวิกฤติของระบบสถาบันการเงินเมื่อปี 2540 โดยจำเป็นต้องปรับปรุงและจัดการระบบการชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวเสียใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และไม่เป็นภาระต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลอีกต่อไป สมควรให้มีกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน  โดยกำหนดให้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการชำระคืนต้นเงินกู้และการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ในส่วนที่เกี่ยวกับหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือจัดการและฟื้นฟูสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาวิกฤติทางการเงินเมื่อปี 2540 และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของกองทุนดังกล่าว ตลอดจนปรับปรุงการจัดหาแหล่งเงินในการนำไปชำระต้นเงินกู้และดอกเบี้ยเงินกู้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยยังคงหลักเกณฑ์และแหล่งเงินในการชำระคืนต้นเงินกู้ที่กำหนดไว้แต่เดิม พร้อมกับเพิ่มเติมการเรียกเก็บเงินจากสถาบันการเงินเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินการดังกล่าวด้วย  ทั้งนี้ ภายใต้หลักการในการรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งการปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลมีงบประมาณรายจ่ายไปสมทบกับเงินอื่นที่จะนำไปใช้ในการบูรณะ ฟื้นฟู และพัฒนาประเทศได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งยังเป็นการสร้างเสถียรภาพต่อระบบการเงินการคลังของประเทศโดยรวม และโดยที่เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศจึงจำเป็นต้องตราพระราชกำหนดนี้"

          สาระสำคัญของ พ.ร.ก.ที่กล่าวข้างต้น สรุปได้ดังนี้

          1.  ยอดหนี้พันธบัตรรัฐบาล 1.14 ล้านล้านบาทยังเป็นของภาครัฐ แต่ไม่ต้องตั้งงบประมาณจ่ายสำหรับดอกเบี้ยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

          2.  ภาระชำระคืนเงินต้นยังคงเป็นของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมาจากกำไรสุทธิและบัญชีผลประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยเงินตรา (ตามกฎหมายปี 2541 และ 2545) แต่เพิ่มเติมโดยให้ชำระจากเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนฯ ตามจำนวนที่คณะรัฐมนตรีกำหนดและเงินนำส่งตามข้อ 3

          3.  ให้อำนาจธนาคารแห่งประเทศไทยเรียกให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเป็นอัตราร้อยละต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝากตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด แต่เมื่อรวมกับอัตราที่กำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 1 ของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก  ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจเรียกให้สถาบันการเงินนำส่งเงินเพิ่มขึ้นจากที่กำหนดก็ได้ แต่เมื่อรวมเงินนำส่งทั้งสองประเภทต้องไม่เกินร้อยละ 1 ของยอดเงินที่สถาบันการเงินได้รับจากประชาชน

          4.  กฎหมายมอบหมายให้กองทุนฯ มีหน้าที่และรับผิดชอบเกี่ยวกับการชำระคืนต้นเงินกู้และการชำระดอกเบี้ยเงินกู้ และให้ธนาคารแห่งประเทศไทยดูแลรักษาและจัดการเงินในบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนฯ รวมทั้งมีอำนาจสั่งจ่ายเงินจากบัญชีดังกล่าวให้แก่กองทุนฯ เพื่อชำระต้นเงินและดอกเบี้ย รวมทั้งค่าบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีกำหนด

การบริหารหนี้หลังกฎหมายปี 55

          มกราคม-กันยายน 2555  กระทรวงการคลังชำระดอกเบี้ยของพันธบัตร F1 และพันธบัตร F3 จากงบประมาณประจำปี 2555

          มกราคม-ธันวาคม 2555  ธนาคารแห่งประเทศไทยทยอยโอนผลประโยชน์ตามกฎหมายว่าด้วยเงินตราเข้าบัญชีสะสมฯ เพื่อการชำระต้นเงินพันธบัตร F3 และสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะได้นำเงินดังกล่าวทยอยชำระต้นเงินพันธบัตร F3 ในจำนวนเงินเดียวกัน

          2 พฤษภาคม 2555  ธนาคารแห่งประเทศไทยอาศัยอำนาจตามมาตรา 8 และมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.ปรับปรุงการบริหารหนี้ฯ พ.ศ. 2555 ประกาศกำหนดให้สถาบันการเงินนำส่งเงินให้ธนาคารแห่งประเทศไทยในอัตราร้อยละ 0.46 ต่อปีจากยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีที่ได้รับการคุ้มครอง และยอดเงินที่ได้รับจากประชาชน กำหนดนำส่งปีละ 2 ครั้งภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนกรกฎาคมในปีนั้น และภายในวันทำการสุดท้ายของเดือนมกราคมในปีถัดไป เริ่มนำส่งงวดแรกภายในเดือนกรกฎาคม 2555