แถลงข่าวร่วมแบงก์ชาติ-สมาคมธนาคารไทย เร่งช่วยเหลือลูกหนี้ตามมาตรการเพิ่มเติมที่มีผลบังคับใช้แล้ว

แถลงข่าวร่วม | 03 กันยายน 2564

Logo
สรุปสาระสำคัญ
  • ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 สนับสนุนการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับลูกหนี้ได้มากขึ้นในสถานการณ์ที่ยังต้องเผชิญกับภาวะการระบาดของโควิด-19 มาตรการดังกล่าวประกอบด้วยการรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ SMEs และลูกหนี้รายย่อย รวมถึงมาตรการสนับสนุนการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2564  
  • มาตรการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน เพื่อให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะยาวอย่างตรงจุดและเหมาะสมกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละราย
  • ธนาคารสมาชิกพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งรายย่อยและ SMEs ตามมาตรการเพิ่มเติมของ ธปท. ทั้งในเรื่องของการเพิ่มสภาพคล่องหรือแนวทางการช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ 

ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศมาตรการเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 สนับสนุนการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 ได้อย่างยั่งยืน เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับลูกหนี้ได้มากขึ้นในสถานการณ์ที่ยังต้องเผชิญกับภาวะการระบาดของโควิด-19 โดยมาตรการเพิ่มเติมดังกล่าวประกอบด้วยการรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ SMEs และลูกหนี้รายย่อย รวมถึงมาตรการสนับสนุนการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน มีผลบังคับใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2564 

 

มาตรการรักษาสภาพคล่องและเติมเงินใหม่ให้กับลูกหนี้ SMEs และรายย่อย เพื่อให้สามารถหล่อเลี้ยงธุรกิจและเพียงพอต่อการดำรงชีวิต ได้แก่

1) การปรับปรุงหลักเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟูสำหรับผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ยืดเยื้อกว่าคาดและยังมีความไม่แน่นอนสูง เพื่อช่วยให้บางกลุ่มที่ยังไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อฟื้นฟู มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น ได้แก่  

(1.1) ขยายวงเงินสินเชื่อให้แก่ SMEs ที่เดิมมีวงเงินสินเชื่อเดิมต่ำ หรือไม่มีวงเงินกับสถาบันการเงิน เพราะใช้เงินทุนส่วนตัวหรือรายได้ของบริษัทในการประกอบธุรกิจเป็นหลัก

(1.2) เพิ่มการค้ำประกันและปรับลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันให้กับลูกหนี้กลุ่มเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็น micro-SMEs และภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะภาคท่องเที่ยวและภาคบริการ เพื่อเอื้อให้สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อแก่ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น 

ทั้งนี้ สถาบันการเงินสามารถยื่นคำขอสินเชื่อฟื้นฟูมายัง ธปท. ตามหลักเกณฑ์ข้างต้นได้ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2564 

2) การผ่อนปรนหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสินเชื่อลูกหนี้รายย่อยเป็นการชั่วคราว ในส่วนของบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ และสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล เพื่อลดภาระการจ่ายชำระหนี้ ตลอดจนเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ได้ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2564 จนถึงสิ้นปี 2565 โดย 

(2.1) ขยายเพดานวงเงินเป็น 2 เท่าของเงินเดือน สำหรับบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล กรณีผู้มีรายได้  ต่ำกว่า 30,000 บาท นอกจากนี้ สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ผู้กู้สามารถขอสินเชื่อได้โดยไม่จำกัดจำนวนผู้ให้บริการ

(2.2) คงอัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ถูกปรับลดลงในช่วงการแพร่ระบาดก่อนหน้าเหลือร้อยละ 5 ต่อไปจนถึงสิ้นปี 2565 และ 

(2.3) ขยายเพดานวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัลจากรายละไม่เกิน 20,000 บาท เป็น 40,000 บาท และขยายระยะเวลาการชำระคืนจากไม่เกิน 6 เดือน เป็น 12 เดือน 

มาตรการแก้ไขหนี้เดิมอย่างยั่งยืน เพื่อให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบระยะยาวอย่างตรงจุดและเหมาะสมกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละราย โดยกำหนดการจ่ายหนี้ ให้สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลงมากของลูกหนี้ และทยอยจ่ายเพิ่มขึ้นเมื่อรายได้เริ่มกลับมา รวมทั้งต้องเร่งช่วยลูกหนี้ ให้ได้จำนวนมากและเร็ว โดย ธปท. ได้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองที่เกี่ยวข้องตามความเข้มข้นของความช่วยเหลือ เพื่อสนับสนุนการปรับโครงสร้างหนี้ข้างต้น ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 กันยายน 2564

 

นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพระบบสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า  "มาตรการแก้ไขหนี้เดิม และเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกหนี้ SMEs และรายย่อย ถูกปรับให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นและสถานการณ์ที่ยืดเยื้อ เพื่อช่วยลูกหนี้ที่ยังได้รับผลกระทบหนักให้สามารถบริหารจัดการสภาพคล่องผ่านช่วงวิกฤตนี้ไปได้ และต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมของทั้งกับลูกหนี้และเจ้าหนี้ โดยไม่สร้างแรงจูงใจที่ไม่เหมาะสม (moral hazard) เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิผล โดยลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจริงก็ควรได้รับความช่วยเหลือในรูปแบบที่แตกต่างกันไปตามสถานะของลูกหนี้แต่ละราย ทั้งนี้ ธปท. จะร่วมกับสมาคมธนาคารไทยในการเร่งรัดและติดตามการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างใกล้ชิด"

 

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า "ธนาคารสมาชิกพร้อมให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งรายย่อยและ SMEs ตามมาตรการเพิ่มเติมของ ธปท. ทั้งในเรื่องของการเพิ่มสภาพคล่องหรือแนวทางการช่วยเหลือโดยการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน ขณะนี้เมื่อทางสถาบันการเงินรับทราบรายละเอียดของมาตรการต่าง ๆ ที่ ธปท.ประกาศออกมาแล้ว สถาบันการเงินแต่ละแห่งจะจัดทำทางเลือกการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้แต่ละกลุ่ม (Product program) ให้สอดคล้องกับปัญหาและสถานะของลูกหนี้ และติดตามดูแลช่วยเหลือลูกหนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ธนาคารยังเป็นกลไกสำคัญและมีกำลังไปช่วยลูกหนี้ที่ได้รับความเดือดร้อนได้อย่างเพียงพอและทั่วถึง และสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ในระยะต่อไป  ทั้งนี้ ธนาคารได้รีบเตรียมความพร้อมภายในรวมถึงสื่อสารพนักงานสาขา ซึ่งทางลูกหนี้สามารถติดต่อธนาคารเพื่อเริ่มเตรียมการเบื้องต้นก่อน ขณะนี้ ทั้งแผนการจัดหาวัคซีนที่ครอบคลุมประชาชนมากขึ้น แนวโน้มตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ค่อย ๆ ดีขึ้น แม้กระทั่งการส่งออกที่ได้อานิสงส์จากเศรษฐกิจโลก ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงต่อไปนี้ ก็หวังว่าการแก้ปัญหาและช่วยเหลือลูกหนี้ในครั้งนี้จะทำให้ลูกหนี้กลับมายืนและทำธุรกิจได้ต่อไป"

 

ธปท. และสมาคมธนาคารไทย มุ่งหวังว่ามาตรการที่ปรับใหม่ จะทำให้ลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลืออย่างตรงจุด ทันการณ์ และได้ผลจริงอย่างยั่งยืน สามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์และผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้ ดังนั้น ลูกหนี้ SMEs และรายย่อย ที่ต้องการเพิ่มสภาพคล่องและแก้ไขหนี้เดิม สามารถติดต่อผู้ให้บริการทางการเงินที่ใช้บริการอยู่เพื่อรับความช่วยเหลือได้แล้ว และหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อผ่านผู้ให้บริการทางการเงินโดยตรง หรือศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน (ศคง.)  โทร 1213 

 

ธนาคารแห่งประเทศไทย
สมาคมธนาคารไทย
3 กันยายน 2564

​คำถาม-คำตอบแถลงข่าวร่วม การส่งเสริมการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด 19 อย่างยั่งยืน

 

1. ทำไม ธปท. ต้องมีการปรับมาตรการเป็นระยะ

 

  • มาตรการถูกปรับให้สอดคล้องตามสถานการณ์มาอย่างต่อเนื่อง จากการช่วยเหลือแบบปูพรมในช่วงที่การระบาดยังไม่ชัดเจน
  • แต่เมื่อชัดขึ้นว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อออกไปและส่งผลต่อลูกหนี้ไม่เท่ากัน ด้วยกระสุนที่จำกัด มาตรการระยะที่ 2 จึงปรับเป็นการช่วยเหลือลูกหนี้แบบตรงจุด ให้ผู้เดือดร้อนมาแจ้งขอเข้ามาตรการและส่งเสริมให้สถาบันการเงิน ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ 
  • ต่อมา การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่ เม.ย. 64 ส่งผลรุนแรงขึ้นมาก มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 3 จึงเน้นบรรเทาภาระหนี้ในระยะยาว ลดภาระดอกเบี้ย และมีทางเลือกในการปิดหนี้
  • มาตรการพักหนี้ 2 เดือน ในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้าและเร่งด่วนสำหรับลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการระบาดระลอกล่าสุด 
  • จากการหารือกับ ธนาคารพาณิชย์ พบว่าลูกหนี้ที่อยู่ในโครงการพักชำระหนี้ 2 เดือน ส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบหนักและมีโอกาสจะต้องพักต่อออกไปอีก ซึ่งเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปและยืดเยื้อกว่าคาดเช่นนี้ การแก้ไขหนี้แบบสั้น ๆ จึงไม่ตอบโจทย์แล้ว การพักชำระหนี้เหมาะกับการแก้ปัญหากรณีเศรษฐกิจมี shock ระยะสั้น และสถานการณ์กลับสู่ปกติเร็ว แต่การพักชำระหนี้ไปเรื่อย ๆ นอกจากจะไม่ทำให้ภาระลดลงจริง ยังทำให้ลูกหนี้มีความเครียดจากความไม่แน่นอน เสียเวลาในการติดต่อสถาบันการเงิน และ สถาบันการเงินเจ้าหนี้เองก็สิ้นเปลืองต้นทุนการบริหารจัดการด้วย

 

2. มาตรการสินเชื่อฟื้นฟูที่ออกมาใหม่มีสาระสำคัญอย่างไร

 

  • ธปท. ได้ปรับเกณฑ์สินเชื่อฟื้นฟู โดยนำข้อเสนอแนะของภาคเอกชนมาใช้ปรับเกณฑ์ในรอบนี้ด้วย เพื่อให้เพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการ SMEs เข้าถึงสินเชื่อระยะถัดไปวงเงิน 150,000 ล้าน โดยจะขยายวงเงินสินเชื่อลูกหนี้รายใหม่จากไม่เกิน 20 ล้านบาท เป็นไม่เกิน 50 ล้านบาท ส่วนลูกหนี้เดิมที่มีวงเงินเดิม 30% ไม่ถึง 50 ล้านบาท  สามารถขอได้สูงสุด 50 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่องให้เพียงพอมากขึ้นต่อสถานการณ์ โควิด-19 ที่ยาวกว่าที่คาดการณ์ไว้ 
  • ทางการได้ปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการค้ำประกันของ บสย. รวมถึงการปรับลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันรวมสำหรับลูกหนี้กลุ่มเปราะบาง  โดยลดค่าธรรมเนียมการค้ำประกันในปีที่ 1-2  เพื่อลดภาระในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว คาดว่าจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 6 กันยายนนี้

 

3. ธปท. จะสร้างแรงจูงใจให้สถาบันการเงินเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มขึ้นอย่างไร คาดหวังว่าสถาบันการเงินจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนในสถานการณ์เช่นนี้ 

 

  • การใช้หลักเกณฑ์การจัดชั้นและการกันเงินสำรองอย่างยืดหยุ่นไปจนถึงสิ้นปี 2566 เพื่อลดภาระต้นทุนสำหรับสถาบันการเงินที่ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อย่างยั่งยืน ด้วยการปรับปรุงโครงสร้างหนี้โดยวิธีที่นอกเหนือไปจากการขยายเวลาการชำระหนี้เพียงอย่างเดียว เช่น การเปลี่ยนโครงสร้างสินเชื่อจากระยะสั้นเป็นระยะยาวร่วมกับการปรับโครงสร้างหนี้วิธีอื่น ๆ การปรับโครงสร้างหนี้ที่มีการให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อเยียวยาและฟื้นฟูกิจการลูกหนี้ รวมถึงการลดภาระการผ่อนชำระให้ลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยจูงใจให้เกิดการส่งผ่านความช่วยเหลือไปยังลูกหนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ
  • การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุน FIDF เหลือร้อยละ 0.23 จากร้อยละ 0.46 ต่อปี ที่จะสิ้นสุดสิ้นปี 2564 นี้ ออกไปจนถึงสิ้นปี 2565 เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถส่งผ่านต้นทุนที่ลดลงไปในการบรรเทาผลกระทบต่อภาคธุรกิจและประชาชนได้อย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ COVID-19 ที่ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง 
  • คาดว่าสถาบันการเงิน จะยังคงช่วยเหลือลูกหนี้ให้รอดไปด้วยกันเพราะหาก ลูกหนี้ไม่รอด สถาบันการเงิน ก็ไม่รอดเช่นกัน 
  • ผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์ไตรมาส 2 ปี 2564 ว่า ระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็ง โดยมีเงินกองทุน เงินสำรองและสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวและทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้และสนับสนุนความต้องการสินเชื่อได้ ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้และการผ่อนปรนเกณฑ์การจัดชั้นช่วยชะลอการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ผลประกอบการปรับดีขึ้นจากไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยหลักจากค่าใช้จ่ายกันสำรองที่ลดลงหลังจากการกันสำรองในระดับสูงในปีก่อน
  • ธปท. ดูแลให้ธนาคารพาณิชย์ ทั้งระบบเสริมสร้าง Buffer เงินกองทุนและเงินสำรองสูงมาอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน ม.ค. 2563 ช่วงก่อนเกิด COVID-19  ธนาคารพาณิชย์มีการกันสำรองส่วนเกินจำนวนมากตามมาตรฐานบัญชีใหม่ (TFRS9) นอกจากนี้ ในปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ ก็ยังคงมีการตั้งสำรองเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้มีเงินสำรองเพียงพอสามารถรองรับการเสื่อมค่าของสินเชื่อรายย่อยที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากวิกฤตโควิดนี้ได้ และยังสามารถส่งความช่วยเหลือให้แก่ลูกหนี้รายย่อยต่อไปได้

 

4. ในส่วน non-bank และ สถาบันการเงินที่ไม่ได้อยู่ภายใต้

 

  • กำกับของ ธปท. มีแนวทางการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มเติมตามมาตรการเกี่ยวกับสินเชื่อลูกหนี้รายย่อย ด้วยหรือไม่ ธปท. ได้ประสานงานกับผู้ประกอบธุรกิจ non-bank ภายใต้ชมรมผู้ประกอบธุรกิจเช่าซื้อ สินเชื่อส่วนบุคคล บัตรเครดิต จำนำทะเบียนรถ ซึ่งเป็น non-bank ภายใต้การกำกับของ ธปท. โดยทุกชมรมตอบรับกับมาตรการของ ธปท. แล้ว

 

5. ธปท. และ สมาคมธนาคารไทย คิดว่าปัญหาหลักของลูกหนี้คืออะไร

 

  • ปัญหาหลักของลูกหนี้มาจากรายได้ที่ลดลงหรือไม่มีในช่วงที่ผ่านมา  
  • ผู้ประกอบธุรกิจในกลุ่ม sector ที่ได้รับผลกระทบไม่ว่าจะสถานการณ์การระบาดทำให้ไม่มีนักท่องเที่ยวและผู้ประกอบการที่ได้รับกระทบจากคำสั่ง lockdown เช่น ภาคเท่องเที่ยว เกี่ยวเนื่องกับท่องเที่ยว ขนส่งผู้โดยสาร ร้านอาหาร ก่อสร้าง เป็นต้น 
  • ลูกหนี้รายย่อย ที่ถูกลดเงินเดือนหรือถูกเลิกจ้าง โดยเฉพาะที่อยู่ในสถานประกอบการที่ถูกสั่งปิดกิจการจากการ lockdown หรือจากที่ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้ามา
  • “หลุมรายได้” ขนาดใหญ่ในระบบเศรษฐกิจไทย โดยในช่วงปี 2563-2564 คาดว่ารายได้จากการจ้างงานจะหายไปถึง 1.8 ล้านล้านบาท จากนายจ้างและอาชีพอิสระ 1.1 ล้านล้านบาท และลูกจ้าง 7.0 แสนล้านบาท มองไปข้างหน้า การจ้างงานคงฟื้นตัวไม่เร็วและรายได้จากการจ้างงานในปี 2565 คาดว่าจะหายไปอีกราว 8.0 แสนล้านบาท ซึ่งหมายถึงในปี 2563-2565 “หลุมรายได้” อาจมีขนาดถึง 2.6 ล้านล้านบาท
  • อย่างไรก็ดี ก็มีภาคธุรกิจฟื้นตัวแล้ว (K-shaped) คือภาคการผลิตเพื่อการส่งออก ที่เริ่มฟื้นตัวกลับมาได้ จากการส่งออกสินค้าขยายตัวดีตามเศรษฐกิจต่างประเทศที่สถานการณ์เบากว่าไทย แต่มีแรงงานที่เกี่ยวข้องเพียง 8% ได้รับประโยชน์ ขณะที่แรงงานในภาคบริการกว่า 52 % ส่วนใหญ่ยังเดือดร้อน โดยรวมจึงยังทำให้ความเป็นอยู่ของครัวเรือน/การจ้างงานยังเปราะบางจกผลกระทบที่เป็นวงกว้างและการฟื้นตัวของรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง

 

6. ลูกหนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไร

 

  • ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ท่านได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง  เช่น ลดสต็อกสินค้า, ลดพนักงาน เป็นต้น
  • มีการทำ Cash Flow เพื่อประมาณการว่าในอีก 1.5 ปีข้างหน้า ต้องการเงินทุนหมุนเวียนประมาณเท่าไร
  • เจ้าของกิจการได้นำเงินส่วนตัวมาลงทุนเพิ่มในกิจการหรือไม่
  • มี Asset ใดบ้าง ที่ท่านได้มีการเปลี่ยนสภาพเป็นเงินทุน เพื่อหมุนเวียนในธุรกิจ 

 

7. ธปท. มีตัวเลขลูกหนี้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากสถาบันการเงินหรือไม่ จำนวนกี่ราย มูลค่าหนี้เท่าไหร่

 

  • ข้อมูล ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 64 มีลูกหนี้ที่อยู่ภายใต้มาตรการช่วยเหลือ (สถาบันการเงิน Non-bank +SFIs) จำนวน 5 ล้านบัญชี เป็นมูลหนี้ 3.29 ลลบ. (ในจำนวนนี้เป็นลูกหนี้ของสถาบันการเงิน 1.9 ล้านบัญชี เป็นยอดหนี้ประมาณ 2 ลลบ.) 
  • ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาที่มีลูกหนี้อยู่ในมาตรการสูงสุดเมื่อเดือน ก.ค. 63 ที่มีลูกหนี้ในมาตรการจำนวน 12.52 ล้านบัญชี ยอดหนี้ 7.2 ลลบ. โดยส่วนใหญ่ลูกหนี้ที่ออกจากมาตรการสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ โดยลูกหนี้ในมาตรการทยอยลดลงมาเป็นลำดับ
  • อย่างไรก็ดี ลูกหนี้ในมาตรการมีแนวโน้มเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ มิ.ย. 64 จากสถานการโรคบาดที่รุนแรงขึ้น จนมีการ lockdown อีกครั้งในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา

ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย

Contact for more information

Monetary Policy Strategy Division

การให้ความช่งยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน
สมาคมธนาคารไทย ผนึกำลัง ธนาคารสมาชิก