สรุปประเด็นจากงานเสวนา "กลไกค้ำประกันเครดิต ตัวช่วยของ SMEs ในการเข้าถึงเงินทุน"

เสวนา | 04 มิถุนายน 2567

สรุปประเด็นจากงานเสวนา "กลไกค้ำประกันเครดิต ตัวช่วยของ SMEs ในการเข้าถึงเงินทุน"

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จัดงานเสวนาเรื่อง "กลไกค้ำประกันเครดิต ตัวช่วยของ SMEs ในการเข้าถึงเงินทุน" ในวันอังคารที่ 4 มิถุนายน 2567 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองจากผู้เกี่ยวข้องในภาคส่วนต่าง ๆ และรับฟังความเห็นที่จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากลไกค้ำประกันเครดิตของไทย เพื่อช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่ง คุณรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวเปิดงานโดยเน้นถึงปัญหาของ SMEs ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ว่ายังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน จนทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้เต็มที่ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงควรร่วมกันหาแนวทางเพื่อพัฒนากลไกที่จะเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs และตอบโจทย์ของประเทศได้ดีที่สุด

คุณสมชาย เลิศลาภวศิน ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ได้สรุปผลการศึกษาของ ธปท. เกี่ยวกับปัญหาการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs และบทบาทของกลไกค้ำประกันเครดิต โดยมีสาระสำคัญดังนี้

 

  • การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่สำคัญของไทย โดยสินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัวต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด 19 ถึงปัจจุบัน[1] (ล่าสุด ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 สินเชื่อธุรกิจ SMEs หดตัว 5.1%) นอกจากนี้ จากข้อมูลสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) และ ธปท. พบว่าจากจำนวน SMEs ในระบบทั้งหมด 3.2 ล้านราย มี SMEs ไม่ถึงครึ่งที่เข้าถึงสินเชื่อเพื่อธุรกิจในระบบสถาบันการเงิน (สง.)
  • SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยาก จากทั้งการมีทุนและความสามารถในการแข่งขันที่จำกัด ทำให้ผลประกอบการผันผวน การมีข้อมูลประวัติทางการเงินไม่เพียงพอ และไม่มีหลักประกัน รวมทั้งมูลค่าสินเชื่อมีขนาดเล็ก ไม่คุ้มกับต้นทุนของ สง. ในการประเมินและติดตามความเสี่ยง ทำให้โดยรวม สง. ระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อ หรือให้สินเชื่อด้วยต้นทุนกู้ยืมที่สูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ เพื่อชดเชยความเสี่ยง
  • ที่ผ่านมา การค้ำประกันโดยบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นกลไกสำคัญที่ แบ่งเบาความเสี่ยงของ SMEs ทำให้ สง. กล้าปล่อยสินเชื่ออย่างทั่วถึงขึ้น ซึ่งโครงการค้ำประกันสินเชื่อ (Portfolio Guarantee Scheme – PGS) ของ บสย. แต่ละโครงการ รวมถึงการค้ำประกันสินเชื่อฟื้นฟูในช่วงโควิด 19 มีส่วนช่วยให้สินเชื่อธุรกิจ SMEs ขยายตัวได้แม้ในช่วงวิกฤต อย่างไรก็ดี กลไกค้ำประกันในปัจจุบันยังมีข้อจำกัด เช่น
    • ขอบเขตการค้ำประกันที่จำกัด โดยครอบคลุมเฉพาะการค้ำประกันสินเชื่อที่ปล่อยโดยสถาบันการเงิน (ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจ บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์) และบริษัทลูกเท่านั้น
    • ข้อมูลและเครื่องมือไม่เพียงพอ ทำให้การประเมินความเสี่ยงของ SMEs แต่ละรายทำได้ยาก จึงต้องใช้วิธีค้ำประกันแบบกลุ่ม (portfolio guarantee) ที่คิดค่าธรรมเนียมจากลูกหนี้เท่ากันทุกรายในแต่ละโครงการ ทำให้ลูกหนี้บางส่วนอาจต้องจ่ายค่าธรรมเนียมสูงกว่าความเสี่ยงของตนเอง
    • การค้ำประกันขาดความยืดหยุ่นในการช่วยสนับสนุนภาคธุรกิจที่สอดคล้องกับทิศทาง/ยุทธศาสตร์ของประเทศ หรือเป็นกลไกให้ความช่วยเหลือภาคธุรกิจในช่วงวิกฤต เห็นได้จากในช่วงโควิด 19 ที่ต้องออกพระราชกำหนด (พรก.) เพื่อให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) แก่ SMEs ในการช่วยเหลือเพิ่มเติม
  • กลไกค้ำประกันเครดิตที่มีประสิทธิภาพ ควรตอบโจทย์ทั้งภาครัฐ ผู้ให้กู้ยืม และ SMEs ภายใต้แรงจูงใจที่เหมาะสมร่วมกัน โดยตัวอย่างกลไกค้ำประกันเครดิตที่ประสบความสำเร็จในประเทศที่มี SMEs เป็นแกนหลักคล้ายกับไทย เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย และไต้หวัน มีลักษณะสำคัญดังนี้
    • ไม่จำกัดประเภทผู้ให้กู้ยืม หรือรูปแบบการกู้ยืมอยู่ที่เฉพาะสินเชื่อ ทำให้สามารถสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ในรูปแบบที่หลากหลายและเหมาะกับธุรกิจแต่ละกลุ่มมากขึ้น รวมถึงสนับสนุนธุรกิจตามเป้าหมายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
    • มีข้อมูลและแบบจำลองเพื่อใช้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตที่สะท้อนระดับความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย ทำให้กำหนดค่าธรรมเนียมที่เหมาะสมได้ (risk-based pricing)
    • มีความยืดหยุ่น สามารถใช้เป็นกลไก/เครื่องมือเชิงนโยบายทั้งในภาวะปกติและช่วงวิกฤต
    • มีเงินทุน (funding) ที่มีเสถียรภาพ มั่นคง ที่มาจากผู้มีส่วนได้เสียในแต่ละภาคส่วน อย่างเกาหลีใต้ เงินสมทบจะมาจากทั้งรัฐบาล สง. และภาคธุรกิจอื่น ๆ ตามความสมัครใจ ทำให้ทั้งรัฐ สง. และเอกชนต้องร่วมกันประเมินและปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ
    • ให้การสนับสนุน SMEs มากกว่าเพียงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน อาทิ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินที่มีบริการครบวงจร ทั้งให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ และการบริหารจัดการเงิน เพื่อช่วยยกระดับศักยภาพของ SMEs

นอกจากนี้ ในช่วงการเสวนาระหว่างผู้แทนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบด้วย คุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช (ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย) คุณสิทธิกร ดิเรกสุนทร (กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย.) คุณชัยยศ ตันพิสุทธิ์ (ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย) คุณสมชัย จิตสุชน (ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย) และผู้ดำเนินการเสวนา คุณณชา อนันต์โชติกุล (ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ KKP Research) ผู้ร่วมเสวนาเห็นตรงกันถึงปัญหาที่ SMEs เผชิญ และได้แลกเปลี่ยนความเห็นต่อแนวทางการพัฒนากลไกค้ำประกันเครดิตให้ตอบโจทย์ SMEs ไทยได้มากขึ้น โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ ได้แก่ (1) การมีข้อมูลที่ครบถ้วนและเพียงพอต่อการประเมินความเสี่ยงแบบ individual risk เพื่อให้ SMEs แต่ละรายได้รับเงื่อนไขการค้ำประกันที่แตกต่างกันตามความเสี่ยงของตน ทั้งนี้ เห็นว่าการผลักดันแนวนโยบาย Open Data ที่ ธปท. ดำเนินการอยู่ จะมีส่วนทำให้ข้อมูลจากหลายแหล่งทั้งในภาคการเงินและนอกภาคการเงินถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น (2) การขยายขอบเขตของการค้ำประกันทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์และผู้ให้กู้ยืม ซึ่งจะช่วยให้ SMEs มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ในหลายรูปแบบมากขึ้น และกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันระหว่างผู้ให้กู้ยืม และ (3) การให้เงินทุนต้องทำควบคู่กับการให้ความรู้ และเสริมศักยภาพของ SMEs ในด้านอื่น ๆ เพื่อพัฒนา SMEs ให้มีความเข้มแข็ง สามารถแข่งขันและอยู่รอดได้ 

 

นอกจากนี้ ผู้ร่วมเสวนาแต่ละท่านได้หยิบยกประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

  • คุณแสงชัย กล่าวว่า SMEs จำนวนมากยังต้องพึ่งพาแหล่งเงินทุนนอกระบบ สง. เพราะมีข้อจำกัดหลายด้านเพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ ทั้งการขาดหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่มีประวัติด้านเครดิต ขั้นตอนการขอสินเชื่อยุ่งยาก และขาดความรู้ทางการเงิน จึงเน้นย้ำถึงความจำเป็นของการมีแรงจูงใจให้ SMEs เข้ามาในระบบได้มากขึ้น เช่น การเข้าถึงแหล่งทุนต้นทุนต่ำ ตลอดจนการมีที่ปรึกษาด้านการเงินหรือการดำเนินธุรกิจที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ธุรกิจ และการแก้ไขกฎหมาย/กฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจของ SMEs
  • คุณชัยยศ เห็นว่า ในบริบทปัจจุบันงบประมาณภาครัฐเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดความต่อเนื่องของโครงการค้ำประกัน หากโครงการค้ำประกันมีความต่อเนื่องขึ้นจะยิ่งมีส่วนช่วยให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น อีกทั้งหากมีการขยายขอบเขตค้ำประกันให้รวมผู้ให้กู้ยืม อาทิ บริษัทลีสซิ่ง/non-banks จะช่วยให้ SMEs มีทางเลือกในการกู้ยืมจากผู้ให้บริการทางการเงินที่หลากหลายมากขึ้น
  • คุณสิทธิกร เห็นด้วยกับแนวคิดของการมีกลไกค้ำประกันที่ยืดหยุ่นขึ้น ทั้งการคิดค่าธรรมเนียมแบบ risk-based pricing และการช่วยสนับสนุนกลไกภาครัฐต่าง ๆ ที่ให้เงินทุนแก่ SMEs ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย แต่ด้วยปัจจุบัน บสย. ยังเผชิญข้อจำกัดหลายด้าน เช่น การเข้าถึงข้อมูลเพื่อใช้ประเมินความเสี่ยงรายคน ซึ่งต้องคำนึงถึงกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและกระบวนการขอ consent ทางดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งข้อจำกัดทางกฎหมายที่กำหนดให้ บสย. ค้ำประกันได้เฉพาะสินเชื่อที่ปล่อยโดย สง. เท่านั้น อย่างไรก็ดี บสย. มุ่งส่งเสริมให้ SMEs รายใหม่เข้าถึงสินเชื่อได้เพิ่มขึ้น และยังเพิ่มบทบาทช่วยให้คำแนะนำทางการเงินแก่ SMEs อีกด้วย
  • คุณสมชัย เห็นว่า SMEs ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่มีอายุและการศึกษาไม่สูง จึงควรมีมาตรการที่ช่วยเสริมศักยภาพให้ SMEs ทั้งความสามารถในการแข่งขันและการเข้าถึงเงินทุน โดยเฉพาะการสร้างสภาพแวดล้อม (ecosystem) ที่เอื้อต่อการเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกการค้ำประกันเครดิต ซึ่งต้องอาศัยฐานข้อมูลที่เอื้อต่อการประเมินความเสี่ยงและให้การค้ำประกันเป็นรายธุรกิจ การแก้กฎหมายให้ บสย. ขยายการค้ำประกันไปถึงผู้ให้กู้ยืมรายอื่นนอกจาก สง. และการมีแหล่งเงินทุนในการค้ำประกันที่หลากหลาย ไม่เพียงจากภาครัฐเท่านั้น

 

ทั้งนี้ ธปท. จะนำความเห็นและข้อเสนอแนะมาใช้ประกอบการพิจารณาและหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงการคลัง เพื่อร่วมกันพัฒนากลไกค้ำประกันเครดิตของประเทศที่มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่น และครอบคลุมขึ้นต่อไป

 


1) สินเชื่อธุรกิจ SMEs ขยายตัวในช่วงโควิด 19 เป็นผลจากมาตรการสินเชื่อ soft loan /สินเชื่อฟื้นฟู

1
2
3