ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยพบสื่อมวลชน (Meet the Press)

Meet the Press | 04 กรกฎาคม 2567

วันที่ 4 กรกฎาคม 2567 ธปท. จัดงาน ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย พบสื่อมวลชน (Meet the Press) ณ อาคารศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทย 

สรุปประเด็น

 

ส่วนที่ 1: เศรษฐกิจ

  • แม้เศรษฐกิจในภาพรวมจะฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่ยังเป็นการฟื้นตัวแบบไม่เท่าเทียม และมีประชาชนกลุ่มที่เดือดร้อนจากรายได้ที่ฟื้นตัวไม่เต็มที่ โดยเฉพาะแรงงานในภาคการผลิต (เช่น กลุ่มที่เผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง อย่าง Hard Disk Drive สิ่งทอ ปิโตรเคมี และเหล็ก) และภาคท่องเที่ยว ขณะที่แม้เงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ค่าครองชีพยังสูง สะท้อนจากราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นยังปรับสูงขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา
  • ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย[1] ปัจจุบันมีแนวโน้มลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 3%[2] เทียบกับช่วง 10 ปีก่อนโควิดที่ 3-3.5% เป็นผลจากปัจจัยเชิงโครงสร้างเป็นหลัก การยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจควรให้ความสำคัญกับการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง การยกระดับคุณภาพแรงงาน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตผ่านการลงทุนเทคโนโลยีและ R&D มากขึ้น

ส่วนที่ 2: อัตราดอกเบี้ยนโยบาย

  • ธปท. ดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น การปรับดอกเบี้ยนโยบายจึงต้องชั่งน้ำหนักหลายมิติ ทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และเสถียรภาพระบบการเงิน รวมทั้งต้องคำนึงถึงผลข้างเคียง เช่น ในช่วงที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำ การสะสมหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
  • ดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือที่ต้องตอบโจทย์หลายด้านพร้อมกัน และมีผลกระทบเป็นวงกว้าง (blunt tool) ดังนั้น การตัดสินใจต้องชั่งน้ำหนักให้ดี เพราะจะมีทั้งคนได้และคนเสีย เช่น ผู้ฝากเงินจะได้รับผลกระทบหากลดดอกเบี้ยลง เพราะอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่แท้จริงในปัจจุบันยังติดลบ
  • บริบทปัจจุบัน ระดับดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ยังเหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจการเงิน (outlook) ที่ กนง. มองไว้ (เศรษฐกิจทยอยกลับสู่ระดับศักยภาพ และเงินเฟ้อจะกลับเข้ากรอบปลายปีนี้) แต่หาก outlook เปลี่ยนไปจากที่ประเมินไว้ (outlook dependent) กนง. ก็พร้อมปรับดอกเบี้ยนโยบายให้เหมาะสมกับสถานการณ์
  • นอกจากดอกเบี้ยนโยบาย ธปท. มีเครื่องมือเสริมอื่นๆ ที่ใช้ เพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุดและมีผลข้างเคียงน้อยกว่า เช่น การเข้าดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้เงินบาทผันผวนสูง มาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินที่มีการผ่อนเกณฑ์ LTV ในช่วงโควิด-19 และมาตรการทางการเงินทั้งการผลักดันสินเชื่อในช่วงวิกฤตและการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน
  • มาตรการทางการเงินล่าสุด คือ การปรับโครงสร้างหนี้ ภายใต้หลักเกณฑ์แก้หนี้อย่างยั่งยืน (Responsible lending: RL) ที่จะช่วยลดภาระหนี้ ทำให้ยอดผ่อนชำระต่อเดือนของลูกหนี้สอดคล้องกับรายได้ที่มี ซึ่งจะช่วยแก้หนี้ได้ตรงจุดสำหรับกลุ่มลูกหนี้ที่มีปัญหาและช่วยลดภาระได้มากกว่าการลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยภายหลังออกมาตรการตั้งแต่ 1 ม.ค. 2567 ธปท. ให้ความสำคัญและเร่งรัดสถาบันการเงิน (สง.) ให้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบ ผ่านการติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานอย่างรอบด้าน ทั้งนโยบายและระบบงานสนับสนุน การสื่อสารและติดตามลูกหนี้ การแก้หนี้ให้ลูกหนี้ และการแก้ไขหนี้เรื้อรัง โดย ธปท. ได้สั่งการให้ สง. เร่งแก้ไขปัญหาที่พบทันทีเพื่อให้การช่วยลูกหนี้ทำได้อย่างต่อเนื่อง และหาก ธปท. ประเมินว่ายังมีกลุ่มที่ต้องช่วยเหลือเพิ่มเติม ก็พร้อมทบทวนและปรับปรุงมาตรการให้เหมาะสมต่อไป

ส่วนที่ 3: สินเชื่อ

  • ปัจจุบัน ยอดการปล่อยสินเชื่อขยายตัวลดลงสอดคล้องกับวัฏจักรสินเชื่อที่อยู่ในช่วงขาลง หลังจากขยายตัวในช่วงก่อน โดยมักมีความเข้าใจผิดว่า การที่ สง. เข้มงวดขึ้นในการปล่อยสินเชื่อเป็นผลจากหลักเกณฑ์ RL[3] โดยแท้จริงแล้ว ธปท.

o   ไม่มีการกำหนดอัตราส่วนภาระผ่อนชำระต่อรายได้ (Debt Service Ratio: DSR)

o   ไม่ได้กำหนด credit scoring ขั้นต่ำในการปล่อยสินเชื่อ

o   ไม่มีการกำหนดตัวเลขรายได้คงเหลือขั้นต่ำหลังหักภาระผ่อนชำระของลูกหนี้

o   ไม่ได้กำหนดเกณฑ์ห้ามปล่อยสินเชื่อแก่คนหรือธุรกิจกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ

o   ไม่ได้กำหนดวงเงินดาวน์รถขั้นต่ำ

 

  • นอกจากนี้ การชะลอลงของสินเชื่อไม่ใช่เพราะ สง. มาฝากเงินกับ ธปท. เพิ่มขึ้น ตามที่บางกลุ่มเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ทั้งสินเชื่อรวม (ธพ. และ SFIs) และยอดการฝากเงินผ่านธุรกรรม Bilateral Repo ที่ ธปท. ปรับเพิ่มขึ้น[4] จะเห็นได้ว่า สง. ไม่ต้องลดการปล่อยสินเชื่อเพื่อมาฝากเงินกับ ธปท. แต่ในทางตรงกันข้าม การเพิ่มขึ้นของยอดการฝากเงินกับ ธปท. สะท้อนสภาพคล่องที่สูงของ สง. ซึ่งจะช่วยรองรับการปล่อยสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้ ดังนั้น ยอดการปล่อยสินเชื่อที่ชะลอลง ไม่ได้มาจากการเพิ่มสภาพคล่องที่ สง. ฝากไว้กับ ธปท. แต่เป็นผลจากการประเมินผลตอบแทนและความเสี่ยงของการให้กู้ยืมเป็นสำคัญ
  • ที่ผ่านมา สง. ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อให้ SMEs เพราะต้นทุนการปล่อยสินเชื่อ SMEs อยู่ในระดับสูง จากความเสี่ยงด้านเครดิต ธปท. จึงให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs ซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยอยู่ระหว่างผลักดันกลไกค้ำประกันเครดิตที่มีประสิทธิภาพ และการเปิดกว้างให้ผู้ให้บริการทางการเงินใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้หลายแหล่งขึ้น (Open data) เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของลูกค้า ทำให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อได้สะดวกขึ้น ด้วยต้นทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยง

อ้างอิง

[1] ขึ้นกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น จำนวนแรงงาน ความสามารถในการผลิต

[2] แบบจำลองของ ธปท. ประมาณการจาก (1) ฟังก์ชันการผลิต (production function) โดยใช้ตัวแปรด้านผลิตภาพการผลิต ทุน จำนวนชั่วโมงทำงานของแรงงาน และคุณภาพแรงงาน โดยอ้างอิงงานศึกษาของ US Congressional Budget Office, IMF, World Bank ธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางฮ่องกง ที่ได้ potential growth ประมาณ 3.0% (2) Multivariate Unobserved Component Model (UCM) ที่แยกแนวโน้ม (trend) ออกจากปัจจัยเชิงวัฏจักร (cyclical) โดยใช้ตัวแปรจำนวนชั่วโมงทำงาน อัตราการว่างงาน อัตราการมีส่วนร่วมในกำลังแรงงาน ทุน และอัตราเงินเฟ้อ โดยอ้างอิงจากงานศึกษาของธนาคารกลางยุโรปที่ได้ potential growth ประมาณ 3.0%

[3] เกณฑ์ RL ส่วนของการปล่อยกู้ใหม่ เจ้าหนี้ต้องประเมินว่าภายหลังหักการชำระหนี้รายเดือนแล้ว ลูกหนี้มีเงินเหลือพอดำรงชีพ เช่น จ่ายค่าอาหาร ค่าเช่าบ้านได้ 

[4] สินเชื่อรวม (ธพ. และ SFIs) ปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 6.6 ล้านล้านบาท (จาก 14.8 เป็น 21.4 ล้านล้านบาท) ขณะที่ยอดการฝากเงินผ่านธุรกรรม Bilateral Repo ที่ ธปท. ก็เพิ่มขึ้น 1.2 ล้านล้านบาท (จาก 1.3 เป็น 2.5 ล้านล้านบาท)

Video

สินเชื่อ

04 ก.ค. 2567

เศรษฐกิจ

04 ก.ค. 2567

อัตราดอกเบี้ย

04 ก.ค. 2567

มาตรการทางการเงิน

04 ก.ค. 2567

Tag ที่เกี่ยวข้อง

Meet the Press