​โครงการรับจำนำข้าวกับสภาพแวดล้อมใหม่ ในระบบการค้าข้าวไทย

นายปัญจพัฒน์ ประสิทธิ์เดชสกุล

เมื่อตุลาคมปีก่อน รัฐบาลประกาศรับจำนำข้าวเปลือกจากเกษตรกรในราคาสูงเป็นประวัติการณ์ โดยรับซื้อข้าวเปลือกเจ้าสูงสุดที่ตันละ 15,000 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิสูงสุดที่ตันละ 20,000 บาท ในปริมาณไม่จำกัด และในฤดูเพาะปลูกข้าวนาปรังปีนี้ รัฐบาลยังคงเดินหน้าสานต่อนโยบายเดิม โดยมุ่งหวังจะยกระดับรายได้ของชาวนาไทยให้สูงขึ้น ถึงวันนี้ คำถามที่น่าสนใจ คือ โครงการรับจำนำข้าวได้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวหรือไม่?

จากข้อมูลของกรมการค้าภายใน ในฤดูเพาะปลูกนาปี 2554/55 มีผลผลิตข้าวที่เข้าร่วมโครงการเพียง 1 ใน 3 ของผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ทั้งหมด สาเหตุหนึ่งที่สำคัญ คือ เกษตรกรที่ปลูกข้าวในฤดูนาปีกลุ่มหนึ่งเพาะปลูกเพื่อกินเอง มิได้เพื่อขายสร้างรายได้ ส่วนโครงการรับจำนำข้าวเปลือกในฤดูนาปรังปี 2555 คาดว่ามีเกษตรกรนำผลผลิตไปจำนำมากขึ้นเป็นร้อยละ 80 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรในภาคกลาง ทำการเพาะปลูกเชิงพาณิชย์บนผืนแปลงขนาดใหญ่ ใช้เครื่องจักรทันสมัย และสามารถทำการเพาะปลูกได้ปีละ 2-3 หน ทำให้เงินอุดหนุนของรัฐบาลส่วนใหญ่กระจุกอยู่ที่เกษตรกรในภาคกลาง

ถ้ามองในเชิงโครงสร้าง โครงการรับจำนำถูกออกแบบมาเพื่อพยุงราคาในตลาดให้สูงขึ้น รัฐบาลจึงเชื่อว่าการรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาสูงและในปริมาณมากระดับหนึ่งจะสามารถพยุงราคาข้าวในประเทศและในตลาดโลกให้สูงขึ้นได้ แล้วประโยชน์จะตกอยู่กับพี่น้องเกษตรกรทุกคน ไม่ว่าจะขายให้กับรัฐบาลหรือภาคเอกชน แต่ปรากฏว่า โครงการรับจำนำช่วยพยุงให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศได้ประมาณตันละ 1,300-1,700 บาท (คำนวณจากส่วนต่างราคาข้าวไทยกับเวียดนามที่สูงขึ้นเป็นตันละ 100-120 ดอลลาร์ สรอ. จากระดับส่วนต่างปกติที่ตันละ 30 ดอลลาร์ สรอ.) เนื่องจากภาวะการค้าข้าวในตลาดโลกมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นมาก ทำให้ราคาข้าวเปลือกเจ้าความชื้นต่ำที่เกษตรกรขายนอกโครงการให้ภาคเอกชนขณะนี้ยังต่ำกว่าตันละ 1 หมื่นบาทเท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าราคาแทรกแซงประมาณตันละ 5,000 บาท ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า ในตลาดการค้าข้าว รัฐบาลมิได้มีอำนาจในการกำหนดราคาข้าวเปลือกในประเทศได้มากดังที่คาด และไทยก็ไม่สามารถพยุงราคาในตลาดโลกได้ดังที่เข้าใจแม้ไทยจะเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลกก็ตาม

นอกจากนี้ ความพยายามของรัฐบาลที่จะยกระดับรายได้ของชาวนาไทยได้สร้างสภาพแวดล้อมใหม่ในระบบการค้าข้าวให้คนไทยกลุ่มต่างๆ อาทิ เกษตรกร โรงสี ผู้ส่งออก และประชาชนที่บริโภคข้าว ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่างๆ จากปีที่ผ่านมา ดังนี้

เกษตรกรขยายการเพาะปลูกมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ คาดว่าพื้นที่เพาะปลูกในฤดูนาปรังปี 2555 จะเพิ่มขึ้นเป็น 16.9 ล้านไร่ เพราะแน่ใจว่ารัฐบาลจะยินดีรับซื้อในจำนวนทั้งหมดและในราคาสูง ดังนั้น วิธีการสร้างรายได้ของเกษตรกรภายใต้สภาพแวดล้อมใหม่นี้ คือ เพาะปลูกให้ได้ผลผลิตมากที่สุด เพื่อมาจำหน่ายให้รัฐบาล โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องของราคาที่จะขายได้ ผลลัพธ์นอกจากจะทำให้ผลผลิตล้นตลาดแล้วจะยิ่งกดดันให้ราคาข้าวเปลือกในประเทศลดลงสวนทางกับเจตนารมณ์ของรัฐบาล และที่สำคัญคือยังทำให้เกษตรกรลดความพยายามในการบริหารจัดการต้นทุนและการดูแลคุณภาพผลผลิตลง ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาความเข้มแข็งของชาวนาไทยเมื่อต้องเผชิญกับโลกความเป็นจริงเมื่อมาตรการภาครัฐสิ้นสุดลงในภายหลัง

โรงสีมีแหล่งรายได้ใหม่จากการให้รัฐบาลเช่าเก็บข้าว จูงใจให้โรงสีสร้างโกดังใหม่รองรับความ ต้องการใช้พื้นที่เก็บข้าวที่เพิ่มขึ้นมาก ปรากฏการณ์นี้กำลังเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในภาคอีสาน ซึ่งจะทำให้โรงสีมีพื้นที่โกดังเก็บข้าวสูงเกินผลผลิตจริงโดยไม่จำเป็น

ผู้ส่งออกมีต้นทุนซื้อข้าวในประเทศสูงเกินความเป็นจริงจากการแทรกแซงราคา ทำให้สูญเสีย ตลาดให้คู่แข่งในประเทศเวียดนามและอินเดีย จากตัวเลขการส่งออกข้าวล่าสุดของกรมศุลกากร ในไตรมาสแรกปีนี้ ไทยส่งออกข้าวได้เพียงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน และปีนี้ไทยอาจเสียตำแหน่งผู้ส่งออกอันดับหนึ่งของโลกให้แก่เวียดนาม และอาจตกไปอยู่อันดับ 3 รองจากอินเดีย

รัฐบาลสะสมสต็อกข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นจากการรับซื้อข้าวเปลือกในฤดูนาปี 2554/55 จำนวน 7 ล้านตัน และฤดูนาปรังปีนี้คาดว่าอีกประมาณ 9 ล้านตัน รวมเป็นปีละประมาณ 16 ล้านตัน ซึ่งแปลงเป็น ข้าวสารได้ประมาณ 8-10 ล้านตัน ซึ่งนับเป็นจำนวนที่เท่ากับการส่งออกปกติของภาคเอกชนรวมทั้งปี ท้ายที่สุด รัฐบาลก็ต้องระบายสินค้าออกเพราะข้าวที่ถูกกองเก็บนานเกิน 2 ปีจะเสียสภาพจนขายไม่ได้ราคา ทำให้รัฐบาลสูญเสียความสามารถในการพยุงราคาข้าวในประเทศ จำต้องขายข้าวถูกรับซื้อข้าวแพงจากเกษตรกรต่อไป และประเทศชาติต้องรับภาระขาดทุนประมาณ 0.7-1.2 แสนล้านบาทต่อปี เทียบเท่ากับเงินลงทุนสร้าง Floodway

นอกจากนี้ กระบวนการระบายข้าวของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยก็มักจะมีคำถามเรื่องความโปร่งใส แต่ถึงแม้สมมติได้ว่า รัฐบาลมีการดำเนินการที่โปร่งใสก็จะมีแต่ผู้ส่งออกรายใหญ่ที่มีเงินทุนและฐานลูกค้า ที่เหนือกว่ารายเล็กชนะประมูลข้าว ทำให้ผู้ส่งออกรายย่อยได้รับผลกระทบจากโครงการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โครงการรับจำนำเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการบริหารของรัฐบาล เสมือนคันไถของชาวนาที่ไม่ ควรกล่าวโทษเมื่อผลผลิตไม่งอกงาม แต่สิ่งสำคัญคือการใช้เครื่องมือนี้ให้ถูกต้องเหมาะสม โดยนำมาใช้แต่ในยามจำเป็น คือ ในช่วงที่ราคาตกต่ำกว่าต้นทุน เพื่อเป็นปราการด่านสำคัญป้องกันไม่ให้เกษตรกรประสบปัญหาการเงินหรือติดกับดักหนี้ และที่สำคัญที่สุด นโยบายของรัฐบาลควรมุ่งสนับสนุนให้เกษตรกรมีความเข้มแข็ง โดยเฉพาะความสามารถในการบริหารความเสี่ยงของตนทั้งในด้านตลาดและด้านต้นทุน ซึ่งเป็นหัวใจที่ทำให้เกษตรกรสามารถยืดหยัดบนสมรภูมิการค้าโลกได้อย่างยั่งยืนด้วยความภาคภูมิใจ

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย