นางสาวพชรนันท์ เกษมชัยนันท์
ในปัจจุบัน ทุกท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่าประเทศจีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกมาก จีนมีความสำคัญและมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลก เศรษฐกิจจีนขยายตัวในระดับสูง (สูงถึง 8.1% ต่อปี ในไตรมาส 1 ปี 2555) ประกอบกับทางการจีนมีแนวการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจอย่างเด่นชัดเพื่อให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจในอนาคต โดยเร่งเพิ่มบทบาทและสนับสนุนความสัมพันธ์ทางการค้ากับนานาประเทศ โดยเฉพาะกับกลุ่มประเทศที่เป็นเครือข่ายทางการผลิตที่สำคัญอย่างกลุ่มประเทศอาเซียนรวมถึงประเทศไทย
จากความสำคัญของประเทศจีนในสายตาประชาคมโลกข้างต้น ประกอบกับจีนเป็นคู่ค้าที่มีความสำคัญเป็นลำดับที่สองของประเทศไทย ภาคเอกชนของทั้งสองประเทศมีการลงทุนข้ามประเทศระหว่างกันในแต่ละปีเป็นมูลค่ามหาศาล ทั้งการลงทุนในส่วนของภาครัฐและภาคเอกชนที่รวมถึงธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทย
คำถามคือ ไทยมีความพร้อมรับมือกับวิวัฒนาการสำคัญนี้มากน้อยเพียงใด เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านของเราหลายๆ ประเทศ จึงต้องย้อนกลับมาถามว่า ไทยจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง แล้วต้องทำอะไรบ้าง คำถามแรกว่าไทยจะได้ประโยชน์อะไรกับการหันมาใช้เงินสกุลหยวนแลกโดยตรงกับเงินบาท โดยไม่ผ่านเงินสกุลดอลลาร์ สรอ. ประการแรกที่ดิฉันเห็นได้ชัด คือ ผู้ประกอบการไทยมีทางเลือกในการลดความเสี่ยงทางด้านอัตราแลกเปลี่ยนการที่ต้องไปอิงโดยตรงกับเงินสกุลดอลลาร์สรอ. สกุลยูโร สกุลเยน เป็นต้น ซึ่งท่านก็ทราบดีแล้วว่าค่าเงินสกุลหลักๆ ดังกล่าว ผันผวนมากจากผลของจากวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ มาจนถึงวิกฤติหนี้ของยุโรป กรีซ ซึ่งนับวันจะยิ่งมีการลุกลามออกไปอีก ขณะที่เงินหยวนมีความผันผวนต่ำมากโดยเปรียบเทียบกับทุกสกุล (ในรอบปีที่ผ่านมาเงินหยวนเทียบกับ USD มีความผันผวนเพียงร้อยละ 2.08 ขณะที่เงินบาทเทียบกับ USD มีมากกว่า 2 เท่าคือร้อยละ 5.50) ซึ่งก็เป็นอานิสงค์จากที่ทางการจีนดูแลอยู่เพื่อให้คนในประเทศค่อยๆ เคยชินกับระบบกลไกตลาดในอนาคต ประการที่สอง ดิฉันเห็นว่า หากธุรกิจเลือกใช้เงินหยวนชำระค่าสินค้ากับคนจีน น่าจะช่วงลดต้นทุนได้ระดับหนึ่งในแง่ผู้ประกอบการจีนไม่ต้องเสีย spread ในการทำธุรกรรมผ่านสกุลเงินที่สาม และยังเป็นจังหวะดีที่ทางการจีนให้การสนับสนุนการใช้เงินหยวนในภูมิภาคอย่างจริงจัง และดำเนินการด้านต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้นว่า ได้ทยอยผ่อนคลายกฎระเบียบ ให้เงินหยวนสามารถเปลี่ยนมือได้เสรีมากขึ้น ทั้งด้านเงินทุนไหลเข้าและเงินทุนไหลออกจาก จีน และการสนับสนุนให้เกิดศูนย์กลางแลกเปลี่ยนเงินหยวนภายนอกประเทศ ซึ่งเริ่มจากศูนย์กลาง ในฮ่องกง ในมาเลเซีย ในสิงคโปร์ และปัจจุบันกำลังจะขยายไปยังยุโรป ผ่านศูนย์กลางการเงินของโลกที่มหานครลอนดอน
ทั้งนี้ ขอเรียนข้อเท็จจริงให้ทราบว่าหนทางจะให้เงินหยวนเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ย่อมต้องมีอุปสรรคอยู่พอสมควร เป็นต้นว่า ข้อจำกัดทางด้านความเข้าใจในกฎระเบียบของทางการจีนที่ซับซ้อน เข้าใจยาก โดยเฉพาะเมื่อต้องแปลจากภาษาจีนที่อาจได้ความหมายไม่ครบถ้วน และ ปัญหาว่าจะมีเงินหยวนหมุนเวียนในระบบเพียงพอและมีประสิทธิภาพเพียงใด ทำให้ต้นทุนในการทำธุรกรรมยังแพงเกินไป ไม่คุ้มกับการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยใช้เงินดอลลาร์ สรอ.อย่างในปัจจุบัน ซึ่ง ส่วนนี้ฟ้องจากตัวเลขที่ผู้ประกอบการยังใช้เงินหยวนในการชำระด้านการค้าในระดับต่ำ พบว่าปี 2554 มูลค่าการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีนสูงถึงจำนวน 27,402 ล้านดอลลาร์ สรอ. หรือคิดเป็นร้อย ละ 11.98 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดของไทยขณะที่มูลค่าการนำเข้ามากถึง 30,582 ล้าน ดอลลาร์ สรอ. หรือร้อยละ 13.38 ของยอดนำเข้าสินค้าจากจีน แต่กลับพบว่าใช้เงินหยวนเพื่อชำระค่าสินค้าระหว่างกันโดยเฉลี่ยเพียง 0.2% ของยอดการชำระเงินระหว่างกันโดยรวมเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ปัญหาเหล่านี้ทางการของไทยและจีนทราบเป็นอย่างดี จึงเกิดความร่วมมือกันใน ระดับหลายระดับ โดยในแง่ผู้รับผิดชอบด้านการชำระเงิน ธปท.ร่วมมือกับธนาคารกลางของจีนได้ตกลงร่วมกันลงนามในสัญญากู้ยืมระดับทวิภาคี Currency Swap Arrangement เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เพื่อให้มั่นใจว่า ธปท.สนับสนุนให้ธนาคารพาณิชย์ไทยมีเงินหยวนอย่างเพียงพอรองรับความต้องการชำระเงินหยวนของผู้ประกอบการไทยเป็นต้น ส่วนในเรื่องอุปสรรคด้านระเบียบที่เป็นภาษาจีนและการแปลความออกมาอาจผิดเพี้ยนไปไม่ครบถ้วน จึงมีความพยายามร่วมกันศึกษาระเบียบและจัดทำคู่มือการทาธุรกรรมเงินหยวนเป็นฉบับภาษาไทย พร้อมการเร่งศึกษาและผลักดันแนวทางการทำธุรกรรมเงินหยวน เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกรรมโดยการดำเนินการดังกล่าว คาดว่าจะเป็นรูปธรรมในปีนี้ นอกจากนี้ ทราบมาว่าเร็วๆ นี้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการจัดตั้งสำนักงานตัวแทนที่กรุงปักกิ่ง นอกจากจะเป็นช่องทางประสานแนวนโยบายระหว่างธนาคารกลางของทั้ง 2 ประเทศในอนาคตแล้ว ยังใช้เป็นหน้าต่างเรียนรู้ สร้างความเข้าใจกับเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศจีนด้วย
ท้ายนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความชิ้นนี้จะทำให้ผู้อ่านเห็นทางเลือกอีกทางหนึ่งที่จะใช้เงินหยวนในการทำธุรกรรมมากขึ้น รวมทั้งเตรียมพร้อมปรับตัวในทันกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มว่าประเทศจีนจะมีบทบาทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอาจกลายเป็นศูนย์กลางของความมั่งคั่งและเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกแซงหน้ากลุ่มประเทศตะวันตกในอีกไม่นาน
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย