​เงินสกุลท้องถิ่น...อีกหนึ่งทางเลือกของการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้าน

นางสาวมุจลินท์ นวลนิ่ม
ฝ่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ

ปัจจุบัน ธุรกรรมการเงินเพื่อการค้าการลงทุน ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ มักใช้เงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์ สรอ. และยูโร แต่ความผันผวนของเงินสกุลหลักต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาทำให้ต้นทุนการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนของผู้ประกอบกาสูงขึ้น ธปท. จึงร่วมมือกับธนาคารกลางประเทศเพื่อนบ้าน ให้ภาคธุรกิจสามารถทำธุรกรรมการเงินต่างๆ เป็นเงินสกุลท้องถิ่นมากขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการได้

ในยุคที่การแข่งขันของโลกธุรกิจทั้งในและต่างประเทศมีความเข้มข้นมากขึ้น ผู้ประกอบการต่างต้องพยายามปรับปรุงสินค้าและบริการของตนไป พร้อมกับการลดต้นทุนต่างๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ การช่วยภาคเอกชนลดต้นทุนทางการเงินในการทำธุรกิจจึงเป็นอีกหนึ่งโจทย์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ให้ความสำคัญมาโดยตลอด และหนึ่งในแนวทางที่ ธปท. ได้ดำเนินการก็คือการส่งเสริมให้มีการใช้เงินบาทและเงินสกุลท้องถิ่นอื่นๆ ชำระค่าสินค้าและบริการ เพื่อเป็นทางเลือกในการชำระเงิน สำหรับธุรกรรมระหว่างประเทศเพิ่มเติมจากการใช้เงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์ สรอ. และยูโร ที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีความผันผวนมาก ทั้งนี้การใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างประเทศ นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลหลักที่ผันผวนมากแล้ว ยังจะช่วยลดต้นทุนในการแปลงเงินบาทเป็นเงินตราต่างประเทศ เพื่อชำระค่าสินค้านำเข้า หรือแปลงรายรับที่เป็นเงินตราต่างประเทศกลับเป็นเงินบาทอีกด้วย

ปัจจุบัน การค้าขายระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านกว่า 90% ของมูลค่าธุรกรรมทั้งหมดเป็น การชำระเงินด้วยดอลลาร์ สรอ. ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะความไม่สะดวกในการใช้เงินสกุลท้องถิ่น ดังนั้น ธปท. จึงได้พยายามหาทางช่วยให้การชำระเงินเป็นสกุลท้องถิ่นมีความสะดวกมากขึ้น โดยที่ผ่านมา ธปท. ได้จับมือกับธนาคารกลางมาเลเซียและอินโดนีเซียผ่อนคลายระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการทาธุรกรรมเงินบาท ริงกิต และรูเปีย ให้แก่ธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) ที่ได้รับการคัดเลือกให้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการ quote อัตราแลกเปลี่ยน ทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงิน และบริหารเงินทั้งสองสกุลกับลูกค้าในไทย (หรือที่เรียกว่า Appointed Cross Currency Dealer: ACCD) โดยในส่วนของความร่วมมือกับธนาคารกลางมาเลเซียนั้น ได้มีการผ่อนคลายระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมเงินบาทและเงินริงกิตให้แก่ ธพ. ที่เป็นตัวกลางในการธุรกรรมไปแล้วตั้งแต่ต้นปี 2559 และจากข้อมูลพบว่ามีการใช้เงินบาทและเงินริงกิตเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการระหว่างไทยและมาเลเซียเพิ่มมากขึ้นในระดับที่น่าพอใจ โดยเมื่อเทียบข้อมูลการชำระเงินของเดือนตุลาคมปีนี้กับปีที่แล้ว พบว่าเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมทั้ง spread ของอัตราแลกเปลี่ยนเงินริงกิตกับเงินบาทก็แคบลงด้วย โดยจากกราฟจะพบว่า spread ทั้งที่เป็น direct quotation และ indirect quotation มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง

จากพัฒนาการที่เกิดขึ้น ธนาคารกลางทั้งสองประเทศจึงได้พิจารณาผ่อนคลายระเบียบต่างๆ เพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจมากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในต้นปีหน้า โดยการผ่อนคลายเพิ่มเติมที่สำคัญในครั้งนี้ คือ การขยายขอบเขตธุรกรรมให้ครอบคลุมการลงทุนโดยตรงและการโอนเงินรายย่อยด้วยจากเดิมที่ครอบคลุมเฉพาะการชำระค่าสินค้าและบริการเท่านั้น รวมทั้งเพิ่มจำนวน ธพ. ที่เป็น ACCD เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ได้มากขึ้น มีการแข่งขันระหว่างกัน มากขึ้น เพื่อนำไปสู่ต้นทุนในการทำธุรกรรมทางการเงินของผู้ประกอบการที่ถูกลงในที่สุด ในโอกาสเดียวกันนี้ ธปท. ยังได้ร่วมกับธนาคารกลางอินโดนีเซียผ่อนคลายระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการทาธุรกรรมเงินบาทและเงินรูเปียให้แก่ ธพ. ที่ได้รับการคัดเลือกในลักษณะที่คล้ายความร่วมมือที่ได้ทำกับธนาคารกลางมาเลเซีย โดยในระยะแรกจะครอบคลุมเฉพาะค่าสินค้าและบริการก่อน และจะมีการพิจารณาผ่อนคลายเพิ่มเติมตามความต้องการของภาคธุรกิจต่อไปในอนาคต

เราลองมาดูกันสักหน่อยว่า ความร่วมมือดังกล่าวช่วยลดต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนให้แก่ภาคธุรกิจได้อย่างไร

อันดับแรก คือ ความร่วมมือนี้ช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถมีบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศเป็นเงินสกุลริงกิตหรือรูเปียกับ ธพ. ได้ แม้ปัจจุบัน ธปท. อนุญาตให้ประชาชนเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit : FCD) กับ ธพ. ได้อยู่แล้ว แต่ทางการมาเลเซียและอินโดนีเซียยังไม่อนุญาตให้มีการเปิดบัญชีริงกิตและรูเปียนอกประเทศของตน ดังนั้น หากไม่มีความร่วมมือนี้ ธพ. ก็ไม่สามารถรับฝากเงินริงกิตหรือรูเปียกับลูกค้าได้

การที่ผู้ส่งออกไทยสามารถฝากเงินริงกิตหรือรูเปียที่ได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการไว้ในบัญชี FCD กับ ธพ. ไทยได้ โดยอาจรอแลกเป็นเงินบาทในภายหลัง หรือเพื่อเตรียมชำระภาระอื่นๆ ในอนาคตจะช่วยให้ไม่ต้องเสียส่วนต่างจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศหลายรอบ นอกจากนี้ ผู้นำเข้าที่จะต้องจ่ายเงินริงกิตหรือรูเปียก็สามารถซื้อเงินเพื่อฝากเข้าบัญชี FCD สาหรับเตรียมชำระภาระต่างๆ ในอนาคตได้เช่นกัน

ความร่วมมือดังกล่าวยังทำให้ภาคธุรกิจไทยสามารถกู้ยืมเงินเพื่อการค้าและการบริการ (trade finance) เป็นเงินสกุลริงกิตหรือรูเปียกับ ธพ. ได้ ซึ่งแม้ว่าตามระเบียบปัจจุบัน ธพ. สามารถปล่อยกู้เป็นเงินตราต่างประเทศได้อยู่แล้ว แต่เนื่องจากริงกิตและรูเปียเป็นสกุลเงินที่มีใช้อยู่เฉพาะภายในประเทศมาเลเซียหรืออินโดนีเซียเท่านั้น ธพ. จึงไม่มีริงกิตหรือรูเปียที่จะสามารถปล่อยกู้แก่ลูกค้าได้ แต่ภายใต้ความร่วมมือนี้เมื่อมีลูกค้าต้องการกู้ยืมเงินริงกิตหรือรูเปียเพื่อชำระค่าสินค้าและบริการ ธพ.ก็สามารถกู้เงินริงกิตหรือรูเปีย จาก ธพ. ในมาเลเซียหรืออินโดนีเซียเพื่อมาปล่อยกู้ต่อให้แก่ลูกค้าได้ นี่จึงเป็นความคล่องตัวอีกรูปแบบหนึ่งให้แก่ภาคธุรกิจที่จะสามารถเลือกกู้เงินให้ตรงกับสกุลเงินที่ต้องการใช้จริง

สุดท้ายนี้ ก็หวังว่าความร่วมมือระหว่างธนาคารกลางข้างต้น จะช่วยเพิ่มทางเลือกในการชำระเงินสำหรับการค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น และจะเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำหรับภาคเอกชนในการลดต้นทุนทางการเงิน ตลอดจนช่วยให้ภาคเอกชนสามารถแข่งขันในโลกธุรกิจปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น และแน่นอนว่าการตอบรับที่ดีจากภาคเอกชนก็จะเป็นแรงผลักดันให้มีการจัดทำความร่วมมืออื่นๆ เพื่อส่งเสริมการใช้เงินสกุลท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นในอนาคต

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย