​ปัญหาสภาพคล่องกับตลาดตราสารหนี้ไทย

นางสาวธนันธร มหาพรประจักษ์ฝ่ายนโยบายการเงิน


ในช่วงสองถึงสามสัปดาห์ที่ผ่านมา นอกจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะคลี่คลายเมื่อใด ยังได้สร้างความไม่แน่นอนและความผันผวนให้กับตลาดการเงินเป็นอย่างมาก ซึ่งรวมถึงตลาดตราสารหนี้ของไทยที่เผชิญแรงเทขายจนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องออกมาตรการเพื่อเข้ามาดูแลสภาพคล่องในตลาดตราสารหนี้ บางขุนพรหมชวนคิดจึงขอพาท่านผู้อ่านมาทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดการเงินในช่วงที่ผ่านมาค่ะ

ในสถานการณ์ปกติ หากตลาดการเงินอยู่ในภาวะ risk-off หรือสภาวะเสี่ยง ซึ่งเป็นช่วงที่ตลาดเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงที่มีความไม่แน่นอนและผันผวนสูง นักลงทุนจะย้ายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำกว่า จึงมักเกิดการเทขายตราสารทุนหรือตราสารหนี้ของภาคเอกชนเพื่อไปถือเงินสดหรือพันธบัตรรัฐบาลโดยเฉพาะพันธบัตรระยะยาวมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยในระยะสั้น อย่างไรก็ดี การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทวีความรุนแรงและกระจายไปทั่วโลก ประกอบกับหลายประเทศประกาศปิดประเทศ (Lockdown) เพื่อจำกัดการแพร่ระบาด ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจต้องหยุดชะงักหรือทำได้จำกัด รวมถึงสงครามราคาน้ำมันระหว่างกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุดิอาระเบียและรัสเซียที่คาดว่าจะกดดันรายได้ของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันอย่างหนัก เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเพิ่มความกังวลให้กับตลาดการเงินและนักลงทุน ส่งผลให้ตลาดเคลื่อนไหวแบบไม่สมเหตุสมผล
ากเหตุการณ์ข้างต้นทำให้สินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ ถูกเทขายออกมาจากภาวะ risk off ที่เห็นชัดเจนคือ ตราสารทุน โดยดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับลดลงแรงจนถูกสั่งพักการซื้อขายชั่วคราวระหว่างวัน (Circuit breaker) หลายครั้ง แต่สิ่งที่แตกต่างจากสถานการณ์ปกติคือ สินทรัพย์ปลอดภัยทั้งพันธบัตรรัฐบาลและทองคำกลับถูกเทขายเช่นเดียวกัน สะท้อนถึงการขายอย่างตื่นตระหนกหรือ panic sell ภาวะตลาดที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้เกิดขึ้นทั่วโลกเช่นเดียวกับไทย โดยสิ่งที่นักลงทุนต้องการถือ ณ ตอนนี้มีแค่เพียงเงินสดเท่านั้น ความต้องการถือเงินสดที่เพิ่มขึ้นทำให้ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องปรับสูงขึ้นตามจากการที่มีคนขายสินทรัพย์มากกว่าคนซื้อ ซึ่งปัญหาสภาพคล่องนี้เห็นได้ชัดในตลาดตราสารหนี้ของไทยที่มีแรงขายอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยมาจากหลายสาเหตุ ทั้งการปรับน้ำหนักการลงทุนเมื่อราคาหุ้นตกลงอย่างหนักจึงจำเป็นต้องขายตราสารหนี้เพื่อปรับสัดส่วนการลงทุน ความกังวลว่าอาจไม่ได้รับทั้งเงินลงทุนและดอกเบี้ยคืน (default risk) รวมถึงการขายของนักลงทุนต่างชาติเพื่อลดการลงทุนในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และส่วนหนึ่งเพื่อลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่ปรับอ่อนค่าลง การเทขายตราสารหนี้ทำให้กองทุนตราสารหนี้จำเป็นต้องขายตราสารหนี้ที่ถืออยู่ แม้จะเป็นตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดี เพื่อนำเงินมาชำระคืนให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนที่เทขาย จนส่งผลให้กองทุนต้องขายตราสารหนี้ในราคาถูกกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะได้รับหากรอให้ตราสารหนี้ครบกำหนด และท้ายที่สุดทำให้บริษัทจัดการกองทุนตราสารหนี้บางแห่งเริ่มยืดระยะเวลาได้รับเงินคืนให้ยาวขึ้น
ปัญหาสภาพคล่องที่เกิดขึ้นหากไม่ได้รับการดูแลโดยเร็วอาจทำให้นักลงทุนตื่นตระหนกและยิ่งพยายามเทขายหน่วยลงทุนออกมา จนอาจกระทบเป็นวงกว้างและลามไปกระทบสภาพคล่องในตลาดอื่น ๆ ทั้งระบบการเงินได้ ธปท. และหน่วยงานภาครัฐจึงได้เข้ามาดูแลปัญหาดังกล่าวผ่านมาตรการเสริมสภาพคล่องให้กองทุนรวมตราสารหนี้ทุกกองทุน โดยหากกองทุนใดถูกขายหน่วยลงทุนคืนจำนวนมาก ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าไปช่วยซื้อหน่วยลงทุนและนำหน่วยลงทุนนั้นไปขายให้ ธปท. ได้ พร้อมทำสัญญาว่าจะซื้อคืนในอนาคต รวมถึง ธปท. รับซื้อพันธบัตรรัฐบาลหากกองทุนใดจำเป็นจะต้องขาย รวมถึงตั้งกองทุนเพื่อเสริมสภาพคล่องให้บริษัทที่มีคุณภาพดี แต่ไม่สามารถต่ออายุตราสารหนี้ที่ครบกำหนดได้ทั้งจำนวนจากปัญหาตลาดขาดสภาพคล่อง ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยลดความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ สร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุน และเป็นการ “ดับไฟ” ก่อนที่ปัญหาสภาพคล่องจะลุกลามเป็นปัญหาทั้งระบบการเงินได้ค่ะ


บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย


>>>