​เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ...คืออะไร ทำไมต้องมี ทำไมต้องปรับใหม่?

นางสาววรินทิพย์ วรศักดิ์
ฝ่ายนโยบายการเงิน


ทำไมต้อง “มี” เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ ?

อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวเลขสะท้อนราคาสินค้าและบริการในประเทศว่าแพงขึ้นแค่ไหน ซึ่งหากอัตราเงินเฟ้อสูงเกินไปจะทำให้ค่าครองชีพของประชาชนเพิ่มมากขึ้น หรือหากอัตราเงินเฟ้อผันผวนมากเกินไปจะทำให้ภาคธุรกิจวางแผนธุรกิจและตั้งราคาสินค้าได้ยาก ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพราคาหรือดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวนเกินไป เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว โดยจะกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อไว้ชัดเจน เพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในอนาคตได้ง่ายขึ้น และสามารถวางแผนการบริโภค การออม และการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งล่าสุด คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (รมว.คลัง) ได้ตกลงร่วมกันว่าควรปรับเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อใหม่ โดยกำหนดให้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วง 1 - 3% สำหรับปี 2563 แทนเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อเดิมที่ 2.5% + 1.5% โดยยังเป็นเป้าหมายระยะปานกลางเช่นเดิม




ทำไมต้อง “ปรับ” เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ ?

ที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานจากปัจจัยโครงสร้าง 3 ข้อหลัก คือ (1) การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตช่วยให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าได้มากขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง (2) การขยายตัวของธุรกิจ e-commerce ทำให้เกิดการแข่งขันสูง ผู้ขายขึ้นราคาสินค้าได้ยาก และ (3) การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่ทำให้การจับจ่ายใช้สอยสินค้าและบริการมีแนวโน้มลดลง ซึ่งในภาวะเช่นนี้หากเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงอยู่ อาจทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ ประชาชนจะคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะข้างหน้าได้ยากขึ้นและกระทบต่อการวางแผนการผลิต การลงทุน และการจ้างงาน

การตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อที่สูงเกินไปยังส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการเงิน ทำให้มีต้นทุนสูง เนื่องจาก กนง. ต้องลดดอกเบี้ยมากหรือคงดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานานเกินไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไปสู่กรอบเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินจากพฤติกรรมการก่อหนี้หรือการลงทุนที่ไม่เหมาะสมจนอาจกลายเป็นวิกฤตในอนาคตได้ นอกจากนี้ ในภาวะปัจจุบันที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับเศรษฐกิจการเงินโลกที่ผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูงจากปัจจัยการเมืองระหว่างประเทศ อาทิ สงครามการค้า และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ ทำให้เศรษฐกิจไทยอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นเป้าหมายนโยบายการเงินจำเป็นต้องยืดหยุ่นเพียงพอให้ กนง. สามารถดูแลเป้าหมายอีก 2 ด้าน คือ การเติบโตทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงินได้ดีขึ้น


เป้าใหม่ vs เป้าเก่า: ปรับลดเป้า ไม่มีค่ากลาง

(1) ปรับลดเป้าหมายเพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเงินเฟ้อในปัจจุบัน โดยการปรับลดเป้าหมายเป็น 1-3%ซึ่งเป็นระดับที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไปจนกระทบค่าครองชีพของประชาชนและศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจ ส่วนสาเหตุที่ปรับขอบบนของเป้าหมายลง เนื่องจากในระยะต่อไปอัตราเงินเฟ้อมีโอกาสไม่มากที่จะสูงถึง 3 - 4%จากผลของปัจจัยโครงสร้าง ขณะที่ขอบล่างของเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะหลังจะต่ำกว่า 1% เนื่องจากขอบล่างที่ต่ำเกินไปอาจทำให้สาธารณชนคาดการณ์เงินเฟ้อต่ำลงมาก ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยในตลาดต้องใช้เงินเฟ้อคาดการณ์ในการคำนวณ ดังนั้น อัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ที่ลดลงจึงทำให้อัตราดอกเบี้ยในระบบเศรษฐกิจต่ำตามไปด้วย ซึ่งอาจก่อให้เกิดการสะสมความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน รวมถึงส่งผลให้ กนง. มีความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงินเพื่อการรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคต (policy space) น้อยลง

(2) เปลี่ยนรูปแบบของเป้าหมายเพื่อให้นโยบายการเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้น จากเดิมกำหนดเป้าหมายให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ค่ากลาง 2.5%และกำหนดขอบ (band) ที่ยอมให้อัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวออกจากค่ากลางได้ในระยะสั้นที่ + 1.5%แต่เป้าหมายใหม่กำหนดเป็นแบบช่วง (range target) คือไม่มีค่ากลางเพียงค่าเดียวเหมือนเป้าหมายเดิม ซึ่งมีข้อดีคือ กนง. มีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการดำเนินนโยบายการเงินมากขึ้นและสามารถดูแลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่เหมาะสม ตามสถานการณ์แต่ละช่วงเวลาได้อย่างไรก็ดี การใช้เป้าหมายอัตราเงินเฟ้อแบบช่วงอาจสร้างความท้าทายกับ กนง. ในการดูแลการคาดการณ์เงินเฟ้อของสาธารณชน เนื่องจากการไม่กำหนดเป้าหมายที่ค่าใดค่าหนึ่งชัดเจน ทำให้ประชาชนคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในอนาคตแตกต่างกัน ดังนั้น กนง. จึงให้ความสำคัญกับการสื่อสารเรื่องอัตราเงินเฟ้อมากขึ้นในระยะต่อไป

(3) ปรับปรุงการสื่อสารกรณีอัตราเงินเฟ้ออยู่นอกกรอบเป้าหมายอย่างทันการณ์ เพื่อให้ กนง.สื่อสารกับสาธารณชนได้ทันท่วงทีและมองไปข้างหน้ามากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายการเงินที่ต้องใช้เวลาส่งผ่านไปสู่ภาคเศรษฐกิจจริง โดย กนง.จะประเมินเงินเฟ้อทุกเดือนโดยใช้เกณฑ์อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยเคลื่อนที่ย้อนหลัง 12 เดือนหรือประมาณการเฉลี่ยเคลื่อนที่ 12 เดือนข้างหน้า หากอัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวออกนอกกรอบเป้าหมาย กนง. จะมีจดหมายเปิดผนึก (open letter) ชี้แจง รมว. คลังทันที และจะติดตามภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด รวมถึงจะทำจดหมายเปิดผนึกอีกทุก 6 เดือน ถ้าอัตราเงินเฟ้อตามแนวทางข้างต้นยังคงอยู่นอกเป้าหมาย จากเดิมที่ออกจดหมายเปิดผนึกปีละครั้งเมื่ออัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีหลุดจากเป้าที่วางไว้


ปรับเป้าหมายใหม่ แต่การดำเนินนโยบายการเงินยังคงหลักการเดิม

การปรับเป้าหมายในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณว่าแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินจะเปลี่ยนจากเดิม นโยบายการเงินยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับผ่อนคลายเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวและทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมาย การตัดสินนโยบายยังยึดหลักการเดิม คือ (1) ยึดหลัก data dependent โดย กนง. จะติดตามข้อมูลที่หลากหลายและทันสมัย มาประกอบการตัดสินนโยบายและพร้อมปรับนโยบายเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยประเมินไว้ และ (2) รักษาสมดุลในการดูแลเป้าหมายทั้ง 3ด้านอย่างเหมาะสม ทั้งเสถียรภาพราคา การเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสถียรภาพระบบการเงิน โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนสามารถคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะข้างหน้าได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการวางแผนการผลิต การลงทุน และการจ้างงานต่อไป

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย