​ดร. นครินทร์ อมเรศ
ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ

ในช่วงที่คนไทยใจจดใจจ่อรอคอยการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่อาจจะนำโดยนายกรัฐมนตรีคนเก่านั้น ทิศทางของนโยบายเศรษฐกิจมีความชัดเจนว่ารัฐบาลใหม่จะมุ่งต่อยอดนโยบายในช่วงก่อนหน้า ความไม่แน่นอนจึงเหลือเพียงว่ารัฐบาลใหม่จะจัดตั้งได้เมื่อใด ซึ่งอาจมีนัยต่อการล่าช้าของระยะเวลาในการประกาศใช้งบประมาณปี 2563 และการเบิกจ่ายลงทุนโครงการใหม่ของรัฐบาล หากเรามองย้อนกลับไปในช่วงหาเสียงเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคการเมืองที่ต่างแนวคิดอาจมีข้อเสนอด้านนโยบายที่แตกต่างกัน โดยบางกลุ่มเสนอให้ยกเลิกนโยบายหลัก อาทิ นโยบายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เป็นต้น ท่ามกลางความหลากหลายของนโยบายเศรษฐกิจ เป็นที่น่าสังเกตว่าแทบทุกพรรคการเมืองมีความเห็นร่วมกันว่ายังควรสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจสำคัญประการหนึ่ง คือ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor- EEC จึงเป็นที่มาของคำถามว่าทำไมต้อง EEC?

หลายท่านอาจถามกลับว่า ทำไมจะไม่ ? ในเมื่อแท้จริงแล้วโครงการ EEC เป็นการปัดฝุ่น หรือ re-launch โครงการที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เกือบ 40 ปีก่อน คือ เขตพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก หรือ Eastern Seaboard ด้วยเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น มีแผนการลงทุนรอบด้านมากขึ้น และถูกคาดหวังให้เป็นหัวจักรเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปภายใต้สถานการณ์ที่การลงทุนภาคเอกชนมีบทบาทลดลง จึงต้องกระตุ้นให้เกิดวัฏจักรการลงทุนใหม่ เพื่อสร้างการจ้างงานและรายได้ อันจะนำมาสู่การเติบโตของกำลังซื้อและการใช้จ่ายในประเทศ (ณัชพล จรูญพิพัฒน์กุล 2562) ในวันนี้จึงขอแลกเปลี่ยนความคิดกับทุกท่านด้วยการประมวลเหตุผลสามข้อที่อธิบายว่าทำไมต้อง EEC ? ดังนี้

ประการแรก กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ EEC มีความโดดเด่นแตกต่างจากพื้นที่อื่น โดยข้อมูลสำมะโนอุตสาหกรรม พ.ศ. 2560จัดทำโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติสะท้อนว่าโดยเฉลี่ยแล้วภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่สามจังหวัด EEC มีสัดส่วนการจ้างงานแรงงานมีทักษะร้อยละ 39 สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ร้อยละ 29 ได้รับการสนับสนุนด้านการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนถึงร้อยละ 13 สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ร้อยละ 3.5มีสัดส่วนการส่งออกร้อยละ 14 สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ร้อยละ 5.6 ตลอดจนมีสัดส่วนการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่ร้อยละ 8 สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วประเทศที่ร้อยละ 3 เป็นต้น

ประการต่อมา พื้นที่ EEC มีทำเลที่ตั้งและศักยภาพในการเชื่อมโยงเศรษฐกิจทั้งภายในและระหว่างประเทศ โดยมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางทั้งในภาคอุตสาหกรรม การค้า และการท่องเที่ยว ผ่านการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ทั้งบก ราง น้ำ และอากาศ นอกจากนี้ ยังสามารถใช้เป็นพื้นที่ในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่มีนวัตกรรมสูงขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะข้างหน้า

ประการสุดท้าย โครงการ EEC ได้ปลดล็อกข้อจำกัดด้านกฎหมายในหลายด้าน โดยคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก มีหน้าที่หลักในการกำหนดนโยบาย ตัดสินใจ และมีกฎหมายที่สามารถดำเนินการอนุมัติอนุญาตได้ 8 ฉบับ อาทิ กฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร คนเข้าเมือง โรงงาน การจัดสรรที่ดิน เป็นต้น จึงช่วยกระชับขั้นตอนในการประกอบธุรกิจ และเอื้อให้ไทยสามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งการขาดแคลนบุคลากรทักษะสูงและเทคโนโลยีนวัตกรรม ผ่านการสร้างแรงดึงดูดนักธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญในกิจกรรมกลุ่มเป้าหมายจากต่างประเทศได้

โดยสรุปแล้ว ความโดดเด่นของอุตสาหกรรม ทำเลที่ตั้งและศักยภาพของพื้นที่ ตลอดจนการลดข้อติดขัดด้านกฎเกณฑ์ เป็นคำตอบของคำถามว่าทำไมต้อง EEC? แต่คำถามต่อไป คือ ทำไมแค่ EEC ? เพราะหากเราจำกัดการพัฒนาให้กระจุกตัวเช่นนี้แล้วเราจะเจอปัญหาการโตเดี่ยวของเมืองเช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับกรุงเทพฯ หรือไม่ ดังนั้นคำถามที่ขอทิ้งท้ายไว้ คือ เราจะวางแผนควบคู่กันไปอย่างไรให้การพัฒนาในพื้นที่ EEC ส่งผลบวกกระจายออกในวงกว้าง เพื่อที่คนไทยจะได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึงและยั่งยืน ?

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย