​ภาคเอกชนกับมรสุม COVID-19 : ความเปราะบางของภาคครัวเรือนและมาตรการเยียวยาต้องไม่ทิ้งใคร

นางสาวธาราทิพย์ ตั้งกาญจนภาสน์ฝ่ายนโยบายการเงินดร. พสิษฐ์ โชติวัฒนะกุล
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค


มาตรการปิดเมืองเพื่อลดการระบาดของโรค COVID-19 นอกจากจะส่งผลกระทบต่อ SMEs แล้ว ยังกระจายไปยังครัวเรือนทุกกลุ่ม กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ลดลงทำให้ (1) ลูกจ้างบางส่วนถูกเลิกจ้างหรือถูกปรับลดเงินเดือน ขณะที่ (2) ครัวเรือนประกอบอาชีพอิสระต้องขาดรายได้จากอุปสงค์ที่ลดลง และ (3) ครัวเรือนที่พึ่งพาเงินโอนจากการทำงานของบุตรหลานหรือญาติก็ได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่จากการที่บุตรหลานมีรายได้ลดลง กล่าวได้ว่าวิกฤติ COVID-19 นั้นส่งผลกระทบกระจายไปทุกกลุ่มครัวเรือน บทความนี้จึงต้องการชี้ให้เห็นถึงลักษณะของครัวเรือนที่เปราะบาง และชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ภาครัฐต้องรีบเข้ามาช่วยเหลือ


ครัวเรือนกลุ่มพึ่งเงินสงเคราะห์และเงินโอนจากบุตรหลานเปราะบางที่สุด

การวิเคราะห์ข้อมูลแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2562 ชี้ให้เห็นถึงสถานะทางการเงินของครัวเรือนที่น่ากังวล ดังนี้

(1) ครัวเรือนไทยส่วนใหญ่มีภาระรายจ่ายเทียบกับรายได้ในระดับสูง ครัวเรือนรายได้ปานกลาง (15,000 - 35,000 บาทต่อเดือน) มีรายจ่ายอุปโภคบริโภคเฉลี่ย 3 ใน 4 ของรายได้ต่อเดือน ขณะที่กลุ่มรายได้น้อย (น้อยกว่า 15,000 บาทต่อเดือน) เป็นกลุ่มที่ใช้รายได้ทั้งหมดไปกับการอุปโภคบริโภค สะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนกลุ่มนี้จะได้รับความเดือดร้อนอย่างมากหากรายได้ลดลงเพียงเล็กน้อย

(2) 40% ของครัวเรือนรายได้น้อย หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 3 ล้านครัวเรือน เป็นกลุ่มที่ไม่มีรายได้จากการทำงาน แต่พึ่งพารายรับจากเงินสงเคราะห์หรือเงินโอน โดยเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ หรือผู้พิการที่พึ่งพาเงินที่บุตรหลานและญาติโอนไปให้ รวมถึงเงินสวัสดิการจากรัฐ ซึ่งครัวเรือนกลุ่มนี้มีรายได้เฉลี่ยเพียง 9,500 บาทต่อเดือน ขณะที่ 30% ของครัวเรือนรายได้น้อยเป็นกลุ่มลูกจ้างเอกชนระดับปฏิบัติการ และ 20% เป็นกลุ่มเกษตรกร

(3) มรสุม COVID-19 ทำให้รายได้ลดลงอย่างฉับพลัน (Income shock) ซึ่งหากไม่มีมาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ จะมีครัวเรือนประมาณ 1 ใน 3 ที่มีเงินออมสะสมเพื่อใช้ในการดำรงชีพอยู่ได้ไม่ถึง 3 เดือน และครัวเรือนรายได้น้อยเป็นกลุ่มที่มีปัญหาเงินออมไม่เพียงพอมากที่สุด คือ มีเงินออมสะสมน้อยกว่าครัวเรือนรายได้ปานกลางประมาณ 2 เท่า และน้อยกว่ากลุ่มรายได้สูงถึงเกือบ 10 เท่า สะท้อนความเหลื่อมล้ำของความสามารถในการสะสมเงินออมของครัวเรือนในแต่ละกลุ่มรายได้

(4) ภาระหนี้สินรุนแรงยิ่งทำให้สถานการณ์ข้างต้นน่ากังวลมากขึ้น โดยเมื่อนำภาระหนี้ที่ครัวเรือนต้องจ่ายมาพิจารณาร่วมด้วยจะพบว่า ครัวเรือนที่มีหนี้จะมีปัญหาด้านการเงินที่รุนแรงกว่า และหากพิจารณาตามกลุ่มรายได้พบว่า สัดส่วนครัวเรือนที่มีเงินออมสะสมเพื่อใช้จ่ายอุปโภคบริโภคและชำระหนี้ได้ไม่เกิน 3 เดือน จะเพิ่มขึ้นเป็นกว่าครึ่งหนึ่งของครัวเรือนรายได้ต่ำที่เป็นหนี้

ผลการวิเคราะห์ข้างต้นชี้ได้ชัดเจนว่า ครัวเรือนรายได้น้อย ประกอบด้วย กลุ่มผู้สูงอายุและผู้พิการที่พึ่งพารายรับจากเงินสงเคราะห์และเงินโอนจากบุตรหลานและญาติ ครัวเรือนลูกจ้างเอกชนระดับปฏิบัติการ และครัวเรือนกลุ่มเกษตรกร มีความเปราะบางทางการเงินในหลายมิติ คือ (1) ภาระรายจ่ายที่สูงเทียบกับรายได้ (2) ความไม่เพียงพอของเงินออมสะสม และ (3) ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับสูง ทำให้ภาครัฐมีความจำเป็นต้องออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19


มาตรการ 3C: “เติม Cash ลด Cost เสริม Credit”

ที่ผ่านมารัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมาตรการเพื่อเยียวยาครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 อย่างเร่งด่วน เพื่อประคับประคองระดับการบริโภค และความเป็นอยู่ของประชาชน ดังนี้

ติม Cash รัฐบาลมีมาตรการเพื่อเพิ่มสภาพคล่องโดยตรงให้ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบ อาทิ (1) มาตรการเราไม่ทิ้งกัน ซึ่งให้เงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน สำหรับแรงงาน ลูกจ้าง หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระนอกประกันสังคมที่มีรายได้ลดลง (2) เงินเยียวยาสูงสุดไม่เกิน 7,500 ต่อคน เป็นเวลา 6 เดือน สำหรับลูกจ้างเอกชนนประกันสังคมที่ว่างงาน (3) โครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบ ครัวเรือนละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 3 เดือน (4) การเพิ่มเบี้ยผู้พิการ รายละ 1,000 บาท และ (5) การคืนเงินประกันมิเตอร์ไฟฟ้าและมิเตอร์น้ำประปา

ลด Cost of Living รัฐบาลช่วยลดภาระค่าครองชีพของครัวเรือน ได้แก่ (1) ลดค่าไฟฟ้าและน้ำประปาเป็นระยะเวลา 3 เดือน (2) ลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม และ (3) เลื่อนชำระภาษี นอกจากนี้ ธปท. ก็ได้ออกมาตรการเลื่อนชำระหนี้จากการขอความร่วมมือจากสถาบันการเงิน เพื่อช่วยลดภาระหนี้ให้แก่ภาคครัวเรือนในช่วงที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ

เสริม Credit ซึ่งรวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ และการให้สภาพคล่องเพิ่มเติมผ่านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ อาทิ โครงการคลินิกแก้หนี้ สินเชื่อฉุกเฉินสำหรับผู้ที่มีและไม่มีรายได้ประจำ รวมทั้งสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อประชาชนฐานราก นอกจากนี้ ธปท. ได้ขอความร่วมมือสถาบันการเงินดูแลลูกหนี้ที่เดือดร้อนจาก COVID-19 ให้ดีที่สุด หากท่านมีคำถามเกี่ยวกับมาตรการ สามารถสอบถามได้ที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธปท. โทร. 1213 และดูข้อมูลมาตรการของทุกสถาบันการเงินได้ที่เว็บไซต์ ธปท.




มาตรการเยียวยาต้องไม่ทิ้งใคร เพราะคนไทยไม่ทิ้งกัน

การช่วยเหลือด้วยการ “เติม Cash ลด Cost เสริม Credit” ถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อเยียวยาและประคับประคองให้ครัวเรือนทุกกลุ่มผ่านพ้นมรสุมนี้ไปได้ ในระยะต่อไปภาครัฐอาจพิจารณามาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม หากเห็นว่ายังมีครัวเรือนบางกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงมาตรการเยียวยาในปัจจุบัน โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่พึ่งพารายรับจากเงินสงเคราะห์และเงินโอนจากบุคคลอื่น ซึ่งมีความเปราะบางทางการเงินสูง ประกอบกับผู้ทำงานหาเลี้ยงคนกลุ่มนี้ก็ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 จึงไม่สามารถส่งรายได้มาจุนเจือได้ตามปกติ

สุดท้ายนี้ วิกฤติ COVID-19 จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญที่ทำให้เราได้เห็นคนไทยจับมือไว้ไม่ทิ้งกัน และหากทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจได้รับความช่วยเหลืออย่างเพียงพอ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลัง COVID-19 ก็อาจเกิดขึ้นได้เร็วและมีประสิทธิผล ส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป


บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

>>