นางสาวพัฐสุดา เสนทองนางสาวนารถนลิน ธีรชัยฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
ตั้งแต่ต้นปี 2563 ที่เริ่มมีการระบาดของ COVID-19 พวกเราทุกคนล้วนได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง lifestyle ที่ต้องปรับตัว การหยุดทำงานชั่วคราว หรือการที่ต้อง work from home ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบด้านการเงินต่อหลายคน เช่น ชั่วโมงการทำงานที่ลดลง การค้าขายได้ไม่ดีเท่าเดิม ทำให้มีรายได้ลดลงไปด้วย
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ตระหนักถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจเหล่านี้และได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อออกนโยบายมาดูแลและช่วยบรรเทาภาระด้านการเงินของประชาชน มาตรการต่าง ๆ ที่ ธปท. ได้ดำเนินการในช่วงสถานการณ์ COVID-19 ได้คำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก โดยแบ่งได้เป็น 3 ส่วนสำคัญ เพื่อช่วยพยุงให้ประชาชนรายย่อยสามารถผ่านพ้นช่วงนี้ไปได้
เริ่มแรก คือ การเร่งแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน โดยไม่ต้องรอจนเกิดปัญหาผิดนัดชำระ เพื่อปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ให้เหมาะสมกับกำลังความสามารถที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งลูกหนี้สามารถขอเจรจาได้ทั้งการขยายเวลา การลดอัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม ต่ออายุวงเงิน หรือขอสินเชื่อเพิ่มเติม เพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน โดยลูกหนี้สามารถติดต่อสถาบันการเงินที่ใช้บริการได้โดยตรง
ส่วนที่สอง คือ การออกมาตรการช่วยเหลือเป็นการทั่วไปเพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบสมัครเข้าร่วมโครงการ ซึ่งสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล เช่าซื้อ และสินเชื่อบ้านได้เป็นจำนวนมาก โดยในระยะที่ 1 มีตัวอย่างการช่วยเหลือลูกหนี้ คือ การลดอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำของบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด (จาก 10% เป็น 5%) การพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ผ่อนชำระเป็นงวดและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เป็นระยะเวลา 3 เดือน เป็นต้น
ในส่วนของระยะที่ 2 ได้แก่ การเปลี่ยนยอดหนี้บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดเป็นสินเชื่อระยะยาว 48 งวด โดยลดดอกเบี้ยเหลือ 12% ต่อปี และ 22% ต่อปี ตามลำดับ การลดค่างวดโดยลดอัตราดอกเบี้ยเหลือ 22% ต่อปี ของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ผ่อนชำระเป็นงวดและสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามาตรการระยะที่ 2 ได้เริ่มให้ลูกหนี้ทยอยจ่ายชำระเงินเข้ามา เพื่อให้ค่อยๆ ปรับตัว ไม่ต้องจ่ายหนี้ที่ค้างไว้ทั้งก้อนในคราวเดียว