​จับชีพจรการฟื้นตัว ด้วยพัฒนาการค่าจ้าง

ระดับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจพิจารณาได้ในหลายมิติควบคู่ไปกับตัวชี้วัดที่หลากหลาย เครื่องชี้มหภาคสะท้อนผ่านตัวเลขการขยายตัวของ GDP ทั้งในด้านอุปสงค์ อาทิ การบริโภคและการลงทุน และในด้านอุปทานผ่านกิจกรรมในสาขาเศรษฐกิจต่าง ๆ ขณะที่ ตัวเลขความเชื่อมั่นทั้งจากผู้ประกอบการและประชาชนก็แสดงถึงทิศทางเศรษฐกิจได้ อีกเครื่องชี้หนึ่งซึ่งมีบทบาทสำคัญในฐานะข้อต่อที่จะเชื่อมโยงผลบวกจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในภาพรวมไปยังกำลังซื้อของหน่วยเศรษฐกิจย่อยในระดับครัวเรือน คือ ตัวเลขการขยายตัวของค่าจ้าง จึงขอเชิญทุกท่านมาร่วมกันจับชีพจรการฟื้นตัวด้วยตัวเลขสถิติดังกล่าว

ก่อนอื่นขอเกริ่นถึงโครงสร้างตลาดแรงงานไทยว่ามีสัดส่วนของเกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ และลูกจ้างธุรกิจขนาด SME ต่อกำลังแรงงานอยู่มาก ทำให้การติดตามประเมินภาวะของค่าจ้างด้วยข้อมูลทะเบียนทางการทำได้ค่อนข้างจำกัด อย่างไรก็ดี สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้จัดทำแบบสำรวจภาวะการมีงานทำของประชากรรายไตรมาสอย่างต่อเนื่องมากว่าสามทศวรรษ โดยสำรวจตัวอย่างกว่าสองแสนคนต่อไตรมาส จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

โดยปกติแล้วตลาดแรงงานไทยจะมีพัฒนาการไปตามลำดับ คือ ในระยะแรกของการฟื้นตัวนั้น ผู้ประกอบการจะเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานของลูกจ้างโดยเฉพาะการทำงานล่วงเวลา ก่อนที่จะมีความเชื่อมั่นมากขึ้นจนทดแทนการทำงานล่วงเวลาด้วยการจ้างงานเพิ่ม และในที่สุดเมื่อเห็นสัญญาณการฟื้นตัวเต็มที่จะพบการขยายตัวของทั้งการจ้างงานและการเพิ่มชั่วโมงการทำงาน ซึ่งเมื่อคัดเลือกเฉพาะกลุ่มแรงงานนอกภาคเกษตรที่มีตัวอย่างเกินกลุ่มละ 10 คนและมีค่าจ้างเฉลี่ยขยายตัวครึ่งแรกปีนี้เทียบกับปีก่อน 8,827 ตัวอย่าง ครอบคลุมแรงงาน 2.92 ล้านคนแล้ว จะแบ่งออกได้เป็นสามกลุ่ม

smiling female waiter geting order from chef in restaurante; Shutterstock ID 1842503818; purchase_order: BOT; job: ; client: ; other:

กลุ่มที่เติบโตเข้มแข็ง มีการจ้างงานและจำนวนชั่วโมงทำงานขยายตัวไปในทิศทางเดียวกันกับค่าจ้าง ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ผู้ประกอบการกลับมาดำเนินกิจกรรมได้ตามปกติและได้ประโยชน์จากการบริโภคและการใช้บริการหลังผ่อนคลายมาตรการควบคุม โดยกิจกรรมที่มีค่าจ้างขยายตัวส่วนใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชนเติบโตดีครอบคลุมแรงงานกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่าง โดยเฉพาะภาคบริการ ร้านอาหาร ร้านค้าและโรงแรม อาทิ บริกรร้านอาหารวุฒิมัธยมศึกษาตอนต้นหรือน้อยกว่าในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ได้รับค่าจ้างเฉลี่ยเดือนละ 12,000 บาท และมีค่าจ้างแรงงานจบใหม่เฉลี่ยเดือนละ 14,300 บาทสูงกว่าที่แรงงานเดิมได้รับ สะท้อนการแข่งขันของนายจ้างในการดึงดูดแรงงาน

กลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโต เพิ่มการจ้างงานและลดจำนวนชั่วโมงทำงานลง สะท้อนถึงความมั่นใจของผู้ประกอบการที่มีต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจึงจ้างลูกจ้างประจำเพิ่มขึ้น อาทิ การจ้างงานพนักงานโรงงานอาหารวุฒิมัธยมศึกษาตอนต้นหรือน้อยกว่า ในพื้นที่นอกเขต กทม. ปริมณฑล และจังหวัด EEC โดยให้ค่าจ้างเฉลี่ยเดือนละ 16,100 บาท และ 12,000 บาท สำหรับแรงงานจบใหม่

กลุ่มที่มีความไม่แน่นอนสูง ลดการจ้างงานลง แต่เพิ่มจำนวนชั่วโมงทำงาน ส่วนใหญ่เป็นลูกจ้างรายวันที่มีทักษะไม่สูงและทำงานในตำแหน่งปฏิบัติการ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณทั้งด้านบวกว่ากำลังปรับเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานจากชั่วคราวไปเป็นประจำ หรือ สะท้อนปัญหาการขาดแคลนแรงงานเนื่องจากแรงงานออกไปทำงานประจำที่มีความมั่นคงมากกว่าเมื่อมีทางเลือกในช่วงที่ตลาดแรงงานตึงตัวมากขึ้น อาทิ ช่างก่อสร้างรายวันที่มีการศึกษาระดับมัธยมต้นหรือต่ำกว่า ในพื้นที่ต่างจังหวัดซึ่งมีค่าจ้างเฉลี่ยอยู่ที่เดือนละ 8,900 บาท และ 7,400 บาทสำหรับแรงงานจบใหม่


ตัวเลขค่าจ้างที่ขยายตัวกระจายในหลากหลายกลุ่มแรงงานทั้งในมิติวุฒิการศึกษา สาขาวิชา ประเภทงาน กิจกรรมเศรษฐกิจ และพื้นที่ แสดงถึงความตึงตัวในด้านค่าจ้างควบคู่ไปกับอัตราการว่างงานที่ลดลงซึ่งสะท้อนความตึงตัวในด้านปริมาณแรงงาน จึงเป็นแรงส่งด้านบวกที่มีต่ออุปสงค์ภายในประเทศ อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมเช่นกันว่าภาวะตลาดที่ตึงตัวเร็วอาจนำมาซึ่งปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการเพิ่มภาระต้นทุนค่าจ้างของภาคธุรกิจ ซึ่งอาจจะวนกลับมาส่งผ่านผลกระทบด้วยการขึ้นราคาสินค้าและบริการได้เช่นกัน

นอกจากนี้ การที่ภาคบริการจำนวนหนึ่งเพิ่มค่าจ้างเพื่อจูงใจแรงงานอายุน้อยที่มีทักษะไม่สูงนักอาจส่งผลเสียต่อการพัฒนาทักษะแรงงานเหล่านี้ในระยะยาว การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในระยะต่อจากนี้ จึงไม่อาจให้น้ำหนักกับการกระตุ้นอุปสงค์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเพิ่มบทบาทการยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว เพื่อให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างยั่งยืน ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่ยังมีความไม่แน่นอนอยู่อีกมาก


ผู้เขียน :
ดร.มณฑลี กปิลกาญจน์
ฝ่ายเสถียรภาพระบบการเงิน
ดร.นครินทร์ อมเรศ
พรชนก เทพขาม
ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ

พัชยา เลาสุทแสน
กองสถิติสังคม
สำนักงานสถิติแห่งชาติ

คอลัมน์ “ร่วมด้วยช่วยคิด” นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 13-16 สิงหาคม 2565




บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย