​หนี้บัตรเครดิต ไร้หลักประกันจริงหรือ?

พวกเราคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า บัตรเครดิตที่เราถืออยู่มีขั้นตอนการสมัครที่แสนจะง่ายดาย “แค่ใช้สำเนาสลิปเงินเดือน ก็สมัครบัตรเครดิตได้แล้ว” แถมสมัครแล้วยังได้รับ “สิทธิพิเศษและของแถม” มากมาย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเดินทาง แพ็กเกจที่พักฟรี ตั๋วเครื่องบินฟรี คะแนนสะสมไมล์ บัตรกำนัลร้านอาหาร เครดิตเงินคืน หรือคะแนนสะสมแต้มบัตรเครดิต ซึ่งล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้คนจำนวนมากตัดสินใจสมัครบัตรเครดิต โดยไม่เคยศึกษาเงื่อนไขการใช้บัตร นอกจากนี้ ที่พิเศษยิ่งกว่าคือ พอใช้บัตรเครดิตไปสักระยะ หลายคนคงเคยได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ที่มาเสนอสินเชื่อเพื่อเสริมสภาพคล่องให้พร้อมใช้จ่ายต่อไปอีก ... นี่คือสิ่งที่หลายคนที่ใช้บัตรเครดิตคงเคยพบเจออยู่บ่อย ๆ

stressed woman trying money to pay credit card debt and many expenses bills such as electricity bill,water bill,internet bill,phone bill during covid-19 or coronavirus outbreak at home

จากประสบการณ์การแก้ปัญหาหนี้สินภาคประชาชน และการได้พูดคุยกับผู้ประสบปัญหาภาระหนี้สินล้นพ้นตัว ปัญหาแรกที่เจอคือ ลูกหนี้จำนวนมากใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้าด้วยจำนวนเงินที่สูง โดยไม่ได้กันเงินไว้จ่ายคืนเมื่อถึงวันครบกำหนดชำระ เมื่อเงินไม่พอ ก็จ่ายแค่ขั้นต่ำ โดยไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าเมื่อจ่ายขั้นต่ำนั้นจะถูกคิดดอกเบี้ยในส่วนที่ยังไม่ได้จ่ายในอัตราที่สูงมาก และนับวันยิ่งจะทวีคูณขึ้นหากยังคงพฤติกรรมการผ่อนชำระขั้นต่ำอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจากการรูดเงินซื้อของเพียงไม่กี่บาท ก็กลายเป็นภาระหนี้ก้อนโต
เรามาลองดูว่า ภาระหนี้ก้อนโต เกิดขึ้นได้อย่างไร ในกรณีที่ลูกหนี้ผ่อนชำระขั้นต่ำ
สมมติว่า 5 มีนาคม 2564 นาย A ใช้บัตรเครดิตรูดซื้อสินค้ามูลค่า 20,000 บาท โดยทุก วันที่ 25 ของทุกเดือน เป็นวันปิดยอดการใช้จ่าย ถ้าวันที่ 27 มีนาคม 2564 นาย A จ่ายขั้นต่ำ 10% เท่ากับ 2,000 บาท ในรอบบัญชีแรกจะยังไม่คิดดอกเบี้ย แต่ในรอบบัญชีถัดไป คือ 25 เมษายน 2564 ธนาคารจะจัดส่งใบแจ้งหนี้ โดยมีรายละเอียดยอดคงค้าง และดอกเบี้ยอีกจำนวนหนึ่ง

สูตรคำนวณดอกเบี้ย = (จำนวนเงินที่รูดบัตร x อัตราดอกเบี้ยต่อปี x จำนวนวัน) / 365

2021_04_05_หนี้บัตรเครดิตไร้หลักประกันจริงหรือ_พี่ชุ้น


ทั้งนี้ ดอกเบี้ยที่ในใบแจ้งหนี้ประกอบด้วย 2 ส่วน ส่วนแรก ดอกเบี้ยที่คิดจากจำนวนเงินที่รูดซื้อสินค้า คือ 20,000 บาท โดยเริ่มนับจากวันที่รูดซื้อสินค้าจนถึงวันที่สรุปยอดรายการรวม 20 วัน (5 – 25 มีนาคม) ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 16% ถ้าคิดที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดจะเป็นเงิน 175.34 บาท
ส่วนที่สองคือ ดอกเบี้ยที่คิดจากยอดเงินต้นค้างชำระ คือ 18,000 บาท (20,000 บาท หัก 2,000 บาทที่จ่ายขั้นต่ำ) โดยคิดจากวันที่เราชำระไปคือ 27 มีนาคม ถึงวันปิดยอดในรอบล่าสุดคือ 25 เมษายน รวม 29 วัน ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 16% ถ้าคิดที่อัตราดอกเบี้ยสูงสุดจะเป็นเงิน 228.82 บาท
หมายความว่า ในการผ่อนขั้นต่ำครั้งนี้ เราจะมีภาระหนี้จากดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 404.16 บาท และถ้าไม่ทำอะไร เชื่อหรือไม่ว่า เพียงเวลาไม่กี่ปี ดอกเบี้ยส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเท่ากับเงินที่รูดซื้อของเลยทีเดียว

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่เจอคือ ลูกหนี้จำนวนไม่น้อยยังชะล่าใจว่า แม้ไม่จ่ายหนี้บัตรเครดิต ก็ไม่เป็นไร เพราะคิดว่า เจ้าหนี้มีแค่สลิปเงินเดือนเป็นหลักฐาน ตอนนี้ก็ออกจากงานแล้ว ใครจะมาติดตามหนี้ได้ ถ้าไม่รับโทรศัพท์ เปลี่ยนเบอร์โทร เปลี่ยนชื่อ หรือ เปลี่ยนที่อยู่ ก็หมดเรื่อง มีแต่จดหมายที่ติดตามทวงถามหนี้ที่ส่งไปที่บ้านต่างจังหวัด ถ้าไม่รับรู้เสียอย่าง ใครจะทำอะไรได้ ... จริงหรือ?

เชื่อหรือไม่! ด้วยความคิดเช่นนี้ ทำให้ลูกหนี้บางคนไม่ระมัดระวังการใช้จ่ายของตนเอง รูดบัตรเครดิตแล้วไม่ได้ชำระคืนแบบเต็มจำนวน แต่กลับผ่อนชำระแบบขั้นต่ำ ทำให้หนี้สินพอกพูนขึ้นโดยไม่รู้ตัว จนในที่สุดไม่สามารถที่จะชำระหนี้ได้ สุดท้ายเจ้าหนี้สืบทรัพย์จนเจอ นำมาสู่การฟ้องร้องและยึดบ้านในที่สุด โดยที่ลูกหนี้ไม่เคยรู้ว่า ถ้าตัวเองมีทรัพย์ทั้งที่เป็นชื่อตัว หรือเป็นทรัพย์มรดก เช่น ที่นาของพ่อแม่ ก็สามารถถูกยึดได้ทั้งนั้น

บทสรุปที่ไม่สวยงามย่อมไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ... กลับเกิดขึ้นจนได้ ผลจากการใช้เงินโดยไม่ไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนและประมาทศักยภาพเจ้าหนี้เกินไป อาจทำให้ครอบครัว คนที่รัก ได้รับความเดือดร้อน ไม่มีที่อยู่อาศัย หรือไม่มีที่ทำมาหากิน

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เมื่อสถานการณ์บีบคั้นมาก ๆ ลูกหนี้บางรายที่พวกเราลงพื้นที่ไปช่วยแก้ปัญหา รับแรงกดดันไม่ไหว จนมีอาการซึมเศร้าจากความเครียดที่ไม่สามารถหาทางออกให้ชีวิตได้ แต่นี่ไม่ใช่ชีวิตลูกหนี้เพียงคนเดียว เพราะในฐานะหัวหน้าครอบครัว เมื่ออยู่ในภาวะเช่นนี้ แล้วอีกหลายชีวิตที่อยู่เบื้องหลังจะทำอย่างไร
นี่เป็นอุทาหรณ์ที่นำมาเตือนลูกหนี้บัตรเครดิตว่า โลกนี้ไม่มีของฟรี ...เจ้าหนี้บัตรเครดิตมีฐานข้อมูลลูกหนี้ มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับพฤติกรรมการไม่ชำระเงินของลูกหนี้มานับไม่ถ้วน มีนักกฎหมายและหน่วยงานที่ใช้ติดตามการชำระเงินจากลูกหนี้ ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุด เมื่อเป็นหนี้ควรจ่ายหนี้ให้ครบถ้วน หากรู้ตัวว่าเริ่มที่จะชำระไม่ไหว ให้รีบเข้าคุยกับสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เพื่อเจรจาขอความช่วยเหลือและหาทางออกในการแก้ไขหนี้ร่วมกัน หรือสมัครเข้ามาที่ “งานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลออนไลน์” โดยการสนับสนุนของธนาคารแห่งประเทศไทย กรมบังคับคดีและสำนักงานศาลยุติธรรม ได้ที่ www.bot.or.th และ www.1213.or.th

สุดท้ายนี้ ขอให้เชื่อมั่นว่า ทุกปัญหามีทางออก เพียงท่านมีความตั้งใจและจริงใจที่จะชำระหนี้คืน หากมีข้อสงสัย โทรมาหาพวกเราได้ที่ 1213 พวกเราพร้อมช่วยหาทางออกให้ลูกหนี้สุดกำลัง

อย่าลืมนะคะ “มีหนี้ต้องแก้ไข เริ่มต้นใหม่อย่างยั่งยืน”

ผู้เขียน :นางสาวปริยดา อาสยวชิร
ฝ่ายคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน
นางสาวกัลยรัตน์ ศิริภัทรพิพิธ
ฝ่ายบริหารความเสี่ยงภาพรวม

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย