​การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศของไทย: ไปที่ไหน ไปเพื่ออะไร?

​นายนิธิสาร พงศ์ปิยะไพบูลย์
นางสาวภรมาภา พูนภักดี
นางสาวพราวรวี นาคใหม่
ฝ่ายนโยบายการเงิน

บริษัทไทยลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (TDI) ต่อเนื่อง โดยนิยมออกไปทำธุรกิจที่บริษัทมี ความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว และมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายตลาดเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่การลงทุนเพื่อลดต้นทุนกลับไม่ใช่เป้าหมายหลักอย่างที่หลายคนเข้าใจ ในระยะต่อไป เราจะเห็นบริษัทไทยออกไป TDI มากขึ้นเพื่อเข้าถึงตลาดและแหล่งทรัพยากรที่ไทยมีจำกัด รวมถึงขยายแบรนด์สินค้า และเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาบริษัทไทยให้แข่งขันในตลาดโลกได้ดีขึ้น

หากเปิดหน้าหนังสือพิมพ์หรือท่องอินเตอร์เน็ต ในทุกวันนี้ เราจะพบเจอข่าวบริษัทของคนไทยออกไปลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ หรือ Thai Direct Investment (TDI) อยู่เสมอ หากพิจารณาบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไทย พบว่าจำนวนบริษัทที่มี TDI เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าภายใน 4 ปี จาก 92 บริษัทในปี 2012 เป็น 198 บริษัทในปี 2016 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 71 ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด โดยในระยะหลังเริ่มเห็นแนวโน้มบริษัทขนาดใหญ่ของไทยออกไปลงทุน TDI ด้วยวิธีซื้อและควบรวมกิจการ (M&A) ในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ

คุณผู้อ่านทราบหรือไม่ว่าในบางปีที่ผ่านมา TDI ต่อปีมีมูลค่าสูงกว่าการลงทุนโดยตรงของต่างชาติในไทย หรือ Foreign Direct Investment (FDI) ต่อปีแล้ว ถึงแม้ยอดคงค้างการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศสุทธิของไทย (net TDI stock ซึ่งคำนวณจาก TDI stock หักด้วย FDI stock) จะยังติดลบอยู่จาก FDI stock ที่ยังสูงกว่า TDI stock มาก แต่เราสังเกตเห็นว่า net TDI stock เริ่มมีทิศทางสูงขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2015 ซึ่งเป็นพัฒนาการที่สอดคล้องกับประสบการณ์ของประเทศอื่น คือ เมื่อเศรษฐกิจเจริญเติบโตขึ้นและ FDI สูงถึงระดับหนึ่งแล้ว บริษัทในประเทศจะทยอยออกไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้น จนในบางประเทศยอดคงค้างของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศสูงกว่า FDI ที่สะสมในประเทศแล้ว เช่น เกาหลี มาเลเซีย


เจาะข้อมูลรายบริษัทเพื่อทำความเข้าใจ

TDI เพื่อทำความเข้าใจวัตถุประสงค์และลักษณะของ TDI ให้ลึกซึ้งมากขึ้น คณะผู้เขียนจึงนำข้อมูลบริษัท 250 บริษัทจากการสำรวจฐานะการลงทุนระหว่างประเทศรายบริษัทที่จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทยและรายงานรายปีของบริษัท ระหว่างปี 2012-2016 มาใช้ในการวิเคราะห์ ซึ่งครอบคลุมร้อยละ 95 ของมูลค่า TDI แบบการเพิ่มทุน (equity) หรือการลงทุนด้วยการถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละ 10 ขึ้นไป ไม่รวมการกู้ยืมระหว่างบริษัทในเครือเดียวกัน โดยในกรณีที่บริษัทไทยลงทุนผ่านประเทศที่เป็นศูนย์กลางทางการเงิน เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง มอริเชียส ก็จะวิเคราะห์ประเทศปลายทางที่บริษัทไปประกอบธุรกิจจริง ๆ ทั้งนี้ เราได้แบ่งวัตถุประสงค์ของ TDI ออกเป็น 4 ประเภท คือ (1) ขยายตลาด (2) แสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ (3) ลดต้นทุน และ (4) แสวงหาเทคโนโลยี แบรนด์สินค้า และอื่น ๆ นอกจากนี้ ยังแบ่งลักษณะของธุรกิจในประเทศปลายทางที่ออกไปลงทุนเป็น 3 ประเภท คือ (1) การลงทุนในธุรกิจเดิม (2) ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับธุรกิจในประเทศ และ (3) ธุรกิจใหม่ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเดิมในประเทศ


TDI ส่วนใหญ่ออกไปทำธุรกิจที่ตัวเองเชี่ยวชาญเพื่อแสวงหาตลาด

จากการวิเคราะห์ข้อมูลข้างต้น เราพบว่าธุรกิจไทยที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศมากที่สุดคือ ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ธุรกิจเหมืองแร่และถ่านหิน และธุรกิจการค้า ซึ่งเป็นธุรกิจใหญ่ที่สามารถออกไปแข่งขันในต่างประเทศได้ นอกจากนี้ ประเทศปลายทางที่ได้รับเงินลงทุนมากที่สุดคือ เวียดนาม จีน และอินโดนีเซีย
เมื่อแบ่ง TDI ตามวัตถุประสงค์ เราพบว่าวัตถุประสงค์ของ TDI ลาดับที่ 1 คือการขยายตลาด โดยในปี 2016 มีมูลค่าสูงถึงร้อยละ 54 ของมูลค่า TDI ที่วิเคราะห์การขยายตลาดของบริษัทไทย 3 ใน 4 เป็นการออกไปลงทุนในธุรกิจเดิม เช่น บริษัทผลิตวัสดุก่อสร้างออกไปตั้งโรงงานผลิต วัสดุก่อสร้างเพื่อจาหน่ายในเวียดนาม บริษัทการค้าออกไป M&A ธุรกิจการค้าต่างประเทศหรือเปิดสาขาใหม่ในต่างประเทศเพิ่มเติม ส่วนการขยายตลาดที่เหลืออีก 1 ใน 4 เป็นการออกไปลงทุนในธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน เช่น บริษัทผู้ผลิตไปลงทุนตั้งบริษัทจัดจำหน่ายเพื่อขายสินค้าจากไทยในประเทศปลายทาง

วัตถุประสงค์ของ TDI ลำดับที่ 2 คือการแสวงหาเทคโนโลยี แบรนด์สินค้า และอื่น ๆ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 17 ของมูลค่า TDI ที่วิเคราะห์ โดยช่วงหลังพบว่าบริษัทพลังงานออกไปลงทุนเพื่อเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ หรือ shale oil ในประเทศจีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ หรือบริษัทผลิตอาหารไทยซื้อบริษัทผลิตอาหารที่สหรัฐฯ เพื่อให้ได้แบรนด์สินค้าและช่องทางการจัดจำหน่าย นอกจากนี้ เรายังเห็นบริษัทบางแห่งที่ต้องการกระจายแหล่งรายได้ไปลงทุนในธุรกิจใหม่ที่ไม่ได้ทำในไทย เช่น บริษัทผลิตเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันไปลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่จีน

วัตถุประสงค์ของ TDI ลำดับที่ 3 คือการแสวงหาทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 15 ของมูลค่า TDI ที่นำมาวิเคราะห์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจพลังงานที่ต้องการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรในประเทศปลายทาง เนื่องจากในไทยมีเหลือจำกัด เช่น การทำเหมืองถ่านหินในจีนและอินโดนีเซีย การผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนในลาว หรือการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมที่แคนาดา

วัตถุประสงค์ของ TDI ลำดับสุดท้ายคือ การแสวงหาต้นทุนที่ถูกลง ซึ่งมีเพียงร้อยละ 3 ของมูลค่า TDI ที่นำมาวิเคราะห์ โดยทั้งหมดเป็นการลงทุนในธุรกิจเดิมหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างคือบริษัทเครื่องนุ่งห่มหลายแห่งที่ใช้แรงงานมากย้ายฐานการผลิตไปกัมพูชาเพราะมีค่าแรงต่ำกว่า หรือบริษัทผลิตน้ำยางพาราออกไปลงทุนผลิตถุงมือยางที่มาเลเซียซึ่งเชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ จึงสามารถผลิตได้ถูกกว่า

ทั้งนี้ เป็นที่น่าสังเกตว่าวัตถุประสงค์หลักที่เป็นจุดเริ่มต้นของ TDI คือการแสวงหาตลาด แตกต่างจากประเทศเอเชียอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่จุดเริ่มต้นมาจากการแสวงหาต้นทุนที่ถูกลง โดยมีปัจจัยภายในประเทศดังกล่าวเป็นแรงผลักดันหลัก เช่น ค่าเงินหรือค่าแรงที่สูงขึ้น ยกตัวอย่าง เหตุการณ์ Plaza Accord ปี 1985 ที่ทำให้ค่าเงินของญี่ปุ่นแข็งขึ้นมากและราคาสินค้าส่งออกปรับสูงขึ้น บริษัทญี่ปุ่นจึงต้องออกไปลงทุนต่างประเทศ หรือไต้หวันและเกาหลีใต้ที่เริ่มออกไปลงทุนต่างประเทศเพื่อหนีค่าแรงและต้นทุนการผลิตในประเทศที่ปรับสูงขึ้น


TDI ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

โดยสรุปแล้ว บริษัทไทยมี TDI มากขึ้นจากในอดีต ส่วนใหญ่มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหาตลาดในต่างประเทศโดยการนำความรู้ความสามารถของบริษัทไปลงทุนในธุรกิจเดิมในประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้งการเจาะตลาดในประเทศที่พัฒนาแล้ว ในระยะต่อไป TDI มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงตลาด แหล่งทรัพยากร แบรนด์สินค้า เทคโนโลยี ซึ่งจะทำให้ไทยมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น และมีแหล่งรายได้อีกทางหนึ่งนอกเหนือจากตลาดในประเทศและการส่งออก จากการส่งกลับกำไรของบริษัทลูกในต่างประเทศ เช่นเดียวกับประเทศพัฒนาแล้วที่ลงทุนโดยตรงในต่างประเทศมาก่อนหน้าไทย

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย