ดร.ฐิติมา ชูเชิด ฝ่ายนโยบายการเงิน


ไม่นานมานี้มีโอกาสได้ร่วมพูดคุยในฟอรั่มนโยบายสาธารณะเกี่ยวกับความยั่งยืนทางการคลังของไทยหลังโควิด-19 จัดโดยสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ้งภากรณ์ ร่วมกับคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เลยขอเก็บประเด็นมาฝากผู้อ่านที่ติดตามสถานการณ์การเงินการคลังของประเทศตอนนี้อยู่ค่ะ โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า การรับมือกับโควิด-19 ในยกแรกสร้างภาระการคลังมากแค่ไหน และจะมั่นใจได้อย่างไรว่าการคลังจะกลับมายั่งยืนได้อีก

ในงานนี้ ดร.ศาสตรา สุดสวาสดิ์ และ ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล เล่างานวิจัยเกี่ยวกับภาพการคลังของไทยปีนี้และมองไปข้างหน้าให้ฟังว่า หากเงื่อนไขเศรษฐกิจและเงินเฟ้อแย่ลงมากเพราะผลกระทบจากโควิด-19 และฟื้นตัวกลับมาได้ช้า รวมถึงมาตรการลดภาษีต่างๆ อาจทำให้การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลปีนี้และปีหน้าหายไปจากที่เคยคิดไว้ปีละประมาณ 2 – 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งถ้ารัฐบาลยังคงวงเงินงบประมาณรายจ่ายตามแผนการคลังระยะปานกลางที่วางไว้ก่อนเกิดโควิด-19 ประมาณ 3.3 - 3.4 ล้านล้านบาทในปีนี้และปีหน้า ก็อาจเห็นการขาดดุลการคลังสูงเกิน 4% ต่อ GDP หรือปีละ 6 - 7 แสนล้านบาท (สูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ที่ขาดดุล 2 - 3% ต่อ GDP หรือราว 4 แสนล้านบาท) และขนาดการขาดดุลอาจลดลงได้ช้าในระยะต่อไป

เนื่องจากภาวะที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบทำให้ GDP ต่ำลงไปมาก ประกอบกับหนี้สาธารณะที่จะสูงขึ้นเพราะรายได้ที่ไม่พอวงเงินงบประมาณรายจ่าย จนทำให้รัฐบาลต้องกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเยอะขึ้น รวมกับการกู้นอกงบประมาณตาม พ.ร.ก. กู้เงิน 1 ล้านล้านบาทเพื่อเยียวยาฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมฯ และส่วนที่อาจต้องกู้เพื่อมาชดเชยภาระการคลังอื่นๆ นอกงบประมาณ ทำให้นักวิจัยทั้งสองท่านประเมินว่า ประมาณการหนี้สาธารณะต่อ GDP ของไทยน่าจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจากสิ้นปี 2562 ที่ประมาณ 41% ของ GDP ไปใกล้เพดานหนี้ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ 60% ในปี 2564 ซึ่งสอดคล้องกับที่ผู้อำนวยการ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เองได้เคยกล่าวไว้ นอกจากนี้ หนี้ที่เห็นอาจมีแนวโน้มที่จะไปต่อ ถ้ายังมีการกู้ใหม่สูง แต่เศรษฐกิจกลับยังไม่ฟื้นไประดับเดิม

ด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินไว้รายงาน Fiscal Monitor เดือน เม.ย. 63 ว่า หนี้สาธารณะต่อ GDP ในโลกจะสูงขึ้นมากเช่นกัน สำหรับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้น จากเฉลี่ย 105% เป็น 122% ต่อ GDP สำหรับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ คาดว่าหนี้สาธารณะจะเพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 53% เป็น 62% ต่อ GDP หากมองยาวขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า บทวิเคราะห์ของ Capital Economics ประเมินไว้ว่า หนี้สาธารณะของทั้ง 2 กลุ่มประเทศจะสูงขึ้นจากตอนนี้อีกราว 15 - 30% และ 5 - 15% ต่อ GDP ตามลำดับ จึงพอเห็นได้ว่า สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่พุ่งสูงขึ้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก จึงดูไม่น่าแปลกใจนัก เพราะรัฐบาลทั่วโลกสร้างหนี้เพิ่มขึ้นแบบมีที่มาที่ไปเพื่อรับมือโควิด-19 ขณะที่ระดับ GDP ที่ใช้เป็นตัวหารของสัดส่วนหนี้ต่อ GDP เองก็ลดลงมาก แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ รัฐบาลประเทศต่าง ๆ จะสามารถบริหารจัดการให้หนี้สาธารณะที่สูงขึ้นมากให้กลับมายั่งยืนอีกครั้งได้อย่างไร

เมื่อมองย้อนไปในช่วงหลังวิกฤตการเงิน 2540 หนี้สาธารณะของไทยก็เคยขยับไปใกล้เพดานหนี้ที่ 60% ต่อ GDP จากที่เคยต่ำกว่า 20% แต่หลังจากนั้นไม่นาน รัฐบาลก็สามารถบริหารจัดการหนี้ให้กลับมายั่งยืนได้ ซึ่งอาศัย 3 แรงช่วยกัน คือ (1) GDP เติบโตได้เร็วกว่าอัตราดอกเบี้ยจ่ายของยอดคงค้างหนี้ (2) ลดขนาดการขาดดุลงบประมาณได้ต่อเนื่อง และ (3) ลดภาระผูกพันทางการคลังและเงินกู้นอกงบประมาณที่ไม่จำเป็นลง

หากหนี้สาธารณะสูงเกินเพดานหนี้ตามกรอบความยั่งยืนทางการคลังปัจจุบันไปบ้าง ก็อาจพอจะขยับเพดานขึ้นได้บ้างในระยะสั้น เพราะจริงๆ ก็เป็นกรอบที่กำหนดขึ้นมาเองเพื่อให้ประเทศมีวินัยการคลัง ตราบใดที่รัฐบาลสามารถสื่อสารถึงความจำเป็นและสร้างความมั่นใจให้ผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลได้ว่า รัฐบาลไม่ได้ก่อหนี้เกินตัว และสามารถบริหารจัดการหนี้ให้กลับมายั่งยืนได้อีกครั้ง โดย (1) ใช้จ่ายเงินกู้อย่างคุ้มค่าเพื่อเร่งฟื้นเศรษฐกิจ และใช้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยต่ำในช่วงนี้เพื่อลดต้นทุนเงินกู้ระยะยาว (2) มีแผนปฏิรูปรายได้และรายจ่ายในอนาคตเพื่อลดขนาดการขาดดุลและเพื่อให้มีเงินมาชำระคืนหนี้ และ (3) ไม่สร้างภาระผูกพันทางการคลังที่ไม่โปร่งใสและไม่จำเป็น ซึ่งจะช่วยให้พลวัตหนี้สาธารณะยั่งยืนได้ด้วย 3 แรงข้างต้นดังที่ได้กล่าวไว้

การรับมือกับศึกโควิด-19 บนสังเวียนระดับโลกในเวลานี้ ช่วงพักยกอาจต้องกลับมาสำรวจบาดแผลทางเศรษฐกิจ การเงิน การคลังที่เกิดขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมหากระฆังยกสองเกิดดังขึ้นมาอีก ผู้เขียนหวังว่าข้าศึกจะไม่ลุกขึ้นมาสู้กับเราแบบไม่ทันตั้งตัวจนเผลอโดนหมัดน็อคไป ทั้งที่มีแววว่าประเทศไทยเราน่าจะชนะบนสังเวียนนี้ได้ตั้งแต่ยกแรกแล้วนะคะ


บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย



>>