​นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในมือว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ

นางสาวธนันธร มหาพรประจักษ์ฝ่ายนโยบายการเงิน


ในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวที่เป็นที่จับตาทั่วโลกคงหนีไม่พ้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งนอกเหนือจากจะเป็นการเลือกผู้นำที่จะเข้ามาบริหารสหรัฐฯ แล้ว แต่ยังหมายถึงทิศทางนโยบายของสหรัฐฯ ในระยะต่อไปซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกในฐานะที่สหรัฐฯ เป็นประเทศมหาอำนาจสำคัญ ภายหลังผลการเลือกตั้งชี้ว่าโจ ไบเดน จากพรรคเดโมแครตจะก้าวเข้ามาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ หนึ่งในนโยบายที่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสมัย ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ คือ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม บางขุนพรหมชวนคิดในวันนี้จึงอยากชวนท่านผู้อ่านทำความรู้จักกับนโยบายนี้ให้มากขึ้นค่ะ

"นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของว่าที่ ปธน.ไบเดน ให้ความสำคัญกับวาระด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมากและถือเป็นวาระแห่งชาติ"

ที่ผ่านมาอดีต ปธน.ทรัมป์ ให้ความสำคัญกับนโยบาย “สหรัฐฯ ต้องมาก่อน” (America First) โดยเน้นการสร้างและจัดการผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แม้ว่าผลประโยชน์ดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมโดยตรง เช่น นโยบายสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการยกเลิกกฎระเบียบข้อบังคับด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ดี นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของว่าที่ ปธน.ไบเดน ให้ความสำคัญกับวาระด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศมากและถือเป็นวาระแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลับไปเข้าร่วมใน “ความตกลงปารีส” หลังสหรัฐฯ ประกาศถอนตัวในปี 2019 ซึ่งความตกลงนี้เป็นกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กว่า 200 ประเทศร่วมกันลงนาม เพื่อกำหนดเป้าหมายของแต่ละประเทศในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยมีเป้าหมายควบคุมไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ ภายใต้การนำของว่าที่ ปธน.ไบเดน เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินการควบคู่กัน โดยนโยบายที่หาเสียงของไบเดนมองว่าการปรับนโยบายต่าง ๆ ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นเป็นการนำสหรัฐฯ เข้าสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่และก่อให้เกิดการสร้างงานหลายล้านตำแหน่งในกระบวนการนี้ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด อาทิ ปรับระบบขนส่งโดยหันมาสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และปรับโครงสร้างพื้นฐานโดยเพิ่มกำลังการผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์และกังหันลม เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ระบบเศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะถูกขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด 100% ภายในปี 2035 และมีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 นอกจากนี้ ยังมีแผนยุติการสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันในประเทศที่สร้างความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เช่น การไม่อนุมัติให้มีการผลิตน้ำมันและก๊าซจากบริษัทรายใหม่ๆ เพิ่มเติมในสหรัฐฯ
สำหรับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะผู้ส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไปยังสหรัฐฯ รวมถึงไทย โดยเฉพาะมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (carbon border adjustment mechanism) หรือการเก็บภาษีคาร์บอน ซึ่งเป็นนโยบายที่สหภาพยุโรปกำลังพิจารณาบังคับใช้เช่นกัน โดยเน้นการใช้มาตรการทางภาษีกับสินค้านำเข้าที่มีการใช้พลังงานเข้มข้น และมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดกระบวนการผลิตในระดับสูง โดยสหภาพยุโรปมีแนวคิดที่จะเริ่มเก็บภาษีคาร์บอนในอัตรา 10 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันคาร์บอน และในอนาคตจะเพิ่มจนถึง 60 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันคาร์บอน ในกรณีสหรัฐฯ นักวิเคราะห์จากมอร์แกน สแตนลีย์ประเมินว่า อัตราภาษีที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บอาจสูงถึง 40 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอน นอกจากนี้ ว่าที่ ปธน.ไบเดน อาจออกนโยบายบังคับให้สินค้านำเข้าต้องติดฉลากคาร์บอน (คาร์บอนฟุตพริ้นท์) เพื่อให้ผู้บริโภคทราบรายละเอียดของก๊าซเรือนกระจกที่ผลิตภัณฑ์นั้นปล่อยออกมาตลอดการใช้งาน ซึ่งปัจจุบันนิยมติดฉลากเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องเขียน และเสื้อผ้า ทั้งนี้ แม้ทั้ง 2 นโยบายมีเป้าหมายเพื่อลดโลกร้อน แต่ก็เพิ่มต้นทุนและทำให้สินค้าน้ำเข้าจากไทยมีราคาสูงขึ้น รวมถึงอาจกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันได้ เช่น ต้นทุนในการดำเนินการให้หน่วยงานระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องมาตรวจวัดการปล่อยก๊าซและให้การรับรองฉลาก
ในปัจจุบันแม้ทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปยังไม่บังคับใช้มาตรการข้างต้น แต่ผู้ส่งออกสินค้าของไทยจำเป็นต้องดำเนินการยกเครื่องการผลิตของตนเองให้สอดคล้องกับเทรนด์สิ่งแวดล้อมที่สินค้าคาร์บอนสูงกำลังจะสูญหายไป และสินค้าคาร์บอนต่ำกำลังจะเข้ามาแทนที่ในไม่ช้า รวมถึงภาครัฐควรให้การสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกันค่ะ

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย


>>