นายนครินทร์ อมเรศ
ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ
ธนาคารโลก หรือ World Bank ได้ร่วมกับกระทรวงแรงงานของประเทศมาเลเซียเปิดตัวรายการ “งานขาดคน” หรือ Critical Occupations List ประจำปี โดยนอกจากจะมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของมาเลเซียมาเปิดงานเช่นเคยแล้ว ในปีนี้ยังจัดให้มีการสัมมนาพิเศษรวมเป็นเวลาสองวันเต็ม ๆ ในหัวข้อ “Using Labor Market Information for Addressing Skills Imbalances in South-East Asia” โดยลงทุนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดเพื่อดึงดูดผู้ทรงคุณวุฒิจากหลายประเทศในภูมิภาค ได้แก่ กัมพูชา เมียนมา ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม ตลอดจนภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ร่วมหยิบยกกรณีศึกษาด้านแรงงาน ในการนี้ผู้เขียนขอขอบคุณการสนับสนุนจากธนาคารโลก และ ดร.เกียรติพงศ์ อริยปรัชญา นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสธนาคารโลกประจำประเทศไทย ให้เข้าร่วมบรรยายในงานสัมมนาครั้งนี้ จึงขออนุญาตเก็บตกประเด็นชวนคิดมาร่วมแลกเปลี่ยนกับทุกท่านดังนี้
ประเด็นแรก “งานขาดคน” เป็นปัญหาสามัญทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา โดยมีประเทศต้นตำรับ คือ สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ซึ่งเล็งเห็นว่าไหน ๆ ก็มีคนต่างชาติจำนวนมากแสดงความประสงค์ขอย้ายมาเป็นพลเมือง จึงจัดทำรายการดังกล่าวเพื่อใช้ประกอบการคัดกรองว่าควรเลือกรับคนในสาขาอาชีพใดให้ตรงความต้องการ สำหรับมาเลเซียแล้วได้จัดทำรายการเป็นปีที่ห้า ซึ่งช่วยเติมเต็มในสาขาที่ขาดแคลนได้เป็นอย่างดี โดยในปีนี้มุ่งขยายวงให้กว้างขึ้นเพื่อต่อยอดยุทธศาสตร์ด้านแรงงานให้ครอบคลุมมุมมองแรงงานในตลาดอาเซียนด้วย น่าสังเกตว่ามาเลเซียตั้งท่าจะเป็นผู้นำภูมิภาคอยู่ในทีจึงไม่เชิญปรมาจารย์ด้านการพัฒนาแรงงานอย่างประเทศสิงคโปร์เจ้าของทฤษฎี “Life-long Learning” หรือ เรียนรู้ชั่วชีวี มาเข้าร่วมแต่อย่างใด
ประเด็นต่อมา การร่วมเดินหน้าในทิศทางที่ชัดเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จ เห็นได้จากกระบวนการจัดทำรายการ “งานขาดคน” ของประเทศมาเลเซียที่ตั้งต้นจากการวิธีการ Top-down บนลงล่าง ซึ่งผู้ดำเนินนโยบายใช้ฐานข้อมูลทั้งจากแบบสำรวจและข้อมูลราชการ เพื่อประมวลสาขาอาชีพที่ขาดแคลน ก่อนที่จะใช้วิธี Bottom-up รับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายนายจ้างแบบล่างขึ้นบน และให้ความสำคัญกับการพิจารณาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ (evidence-based) ว่าสาขาอาชีพที่ได้รับการเสนอแนะนั้นมีความขาดแคลนอย่างแท้จริง ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการสุดท้าย คือ การเข้าสลัก (Dovetailing) ให้มั่นใจว่ารายการ “งานขาดคน” ประกอบกันลงตัวกลมกลึงกับทิศทางยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ ซึ่งทั้งสามกระบวนการนี้ดำเนินการอย่างเป็นระบบและอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยจัดทำกันทุกปีได้อย่างลื่นไหลไร้รอยต่อ
ประเด็นที่สาม ประเทศไทยมีของดีไม่แพ้ใครในภูมิภาค ตามที่ผู้แทนจากทุกประเทศที่รับฟังการบรรยายให้ความเห็นว่าข้อมูลด้านแรงงานไทยจากทั้งสำนักงานสถิติแห่งชาติ สำนักงานประกันสังคม และกระทรวงแรงงานมีความสมบูรณ์ อธิบายปัญหาเชิงโครงสร้างด้านแรงงานไทยได้เป็นอย่างดี โดยผู้แทนจากธนาคารกลางมาเลเซียเอ่ยปากว่า สามารถใช้ตัวอย่างจากข้อมูลแรงงานไทยอธิบายหลายปัญหาด้านตลาดแรงงานที่หาคำตอบไม่ได้มาเป็นเวลานาน เช่น ทำไมอัตราว่างงานมาเลเซียจึงอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องไม่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจ (ติดตามรายละเอียดได้จากบทความ “นัยที่อยู่เบื้องหลังอัตราการว่างงานที่ต่ำ ” ในรายงานนโยบายการเงินไตรมาส 1 ปี 2562) ขณะที่ หัวหน้านักวิจัยธนาคารโลกประจำทวีปเอเชียให้ความสนใจข้อมูลแรงงานนอกระบบของไทยเป็นอย่างยิ่ง
ขอทิ้งท้ายบทความด้วยคมความคิดจากผู้อำนวยการประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของบริษัท LinkedIn ซึ่งอ้างอิงว่าบริษัทของตนเป็น Facebook ฉบับคนทำงาน และได้แลกเปลี่ยนความเห็นกับผู้เขียนว่า อยู่ระหว่างจับตาสถานการณ์ความขัดแย้งในประเทศที่เคยเป็นศูนย์กลางแรงงานนานาชาติอย่างสหราชอาณาจักรที่เผชิญความไม่แน่นอนของปัญหา Brexit และฮ่องกงที่การประท้วงยังไม่ยุติลง อย่างใกล้ชิด ซึ่งหากเหตุการณ์ขยายผลกระเพื่อมจนแรงงานทักษะสูงจำนวนมากไหลออก และอาจมีประเทศไทยเป็นหนึ่งในหมุดหมายปลายทางสำคัญก็เป็นได้ โดย LinkedIn พร้อมทุ่มสรรพกำลังด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data Analytics เพื่อให้สามารถสร้างฐานลูกค้าและเพิ่มมูลค่าทางธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างทันท่วงที จึงขอเชิญชวนทุกท่านมาร่วมด้วยช่วยกันคิดว่า แล้วไทยเราเองที่อาจได้ประโยชน์ มีความพร้อมที่จะขับเคลื่อนเชิงรุกเพื่อเกาะกระแสความเป็นไปนี้ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพียงใด?
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย