นางวิมลรัตน์ ปิยสถาพรพงศ์ ฝ่ายตรวจสอบ 1
ก่อนจะเข้าสู่หัวข้อของบทความนี้ ขอปูพื้นเกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิตสักนิด คนทั่วไปอาจจะคิดว่า คนติดหนี้บัตรนั้น เป็นเพราะความฟุ้งเฟ้อบ้าง หรือการขาดวินัยของผู้ใช้บัตรบ้าง ผิดถูกแค่ไหนไม่อยากให้ด่วนสรุป แต่อยากชวนคิดอีกมุมหนึ่งว่า บัตรเครดิตนั้นเป็นผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาเพื่อใช้ซื้อสินค้าแทนเงินสด โดยเมื่อถึงกำหนดชำระ ควรจ่ายแบบเต็มจำนวน มิฉะนั้นจะต้องเสียดอกเบี้ยค่อนข้างสูง บัตรเครดิตจึงเหมาะกับลูกค้าที่สามารถจ่ายชำระค่าสินค้าและบริการได้ 100% เมื่อถูกผู้ให้บริการทางการเงินเรียกเก็บตามรอบบิล
แต่อย่างไรก็ดี การไม่มีเงินออมและไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสม คือความจริงของชีวิตของคนจำนวนไม่น้อย บางครั้งเมื่อเกิดเหตุจำเป็น เช่น คนในครอบครัวเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล หรือยานพาหนะ รถจักรยานยนต์เสีย ต้องซ่อมแซม หรือ แม้แต่ช่วงที่จบปริญญาตรีใหม่ๆ เริ่มทำงานเงินเดือน 12,000 - 15,000 บาท วันทำงานวันแรกก็ต้องมีข้าวของเครื่องใช้ จนถึงเสื้อผ้าหน้าผม ล้วนแต่เป็นสิ่งจำเป็นทั้งสิ้น แล้วจะทำเช่นใดในเมื่อไม่มีเงินทุนตั้งต้นที่เพียงพอ ก็ต้องพึ่งบัตรเครดิตสิจ๊ะ รูดปรื้ดๆ แล้วพอเงินเดือนออก ก็คิดว่าจะนำไปจ่ายชำระที่รูดไว้ได้ แต่เอาเข้าจริง ก็อาจไม่สามารถจ่ายได้เต็มจำนวน เพราะต้องเก็บเงินสดไว้ส่วนหนึ่งเพื่อค่ารถ ค่าอาหาร ค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่นๆ
จึงเป็นที่มาของการผ่อนชำระบัตรเครดิต ผ่อนไปผ่อนมา ก็เข้าสู่วงจรผ่อนขั้นต่ำ 10% 5% เจ้ากรรม จ่ายเท่าไหร่ๆ หนี้ก็ไม่หมดเสียที และนี่คือปัญหาของลูกหนี้บัตรเครดิตที่ผ่อนชำระ หรือที่บางทีเรียกกันว่า revolver หลายล้านคนที่ติดหนี้บัตรเครดิตมากกว่าสิบล้านใบ และพวกเขาก็เริ่มอยากจะปลดหนี้ ดอกเบี้ยแพง นี้ !
วิกฤตโควิด 19 และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ส่งผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก รายได้ของครัวเรือนและธุรกิจปรับลดลงอย่างมาก ทำให้ชีวิตคนมีหนี้บัตรเครดิตยากลำบากขึ้น ผู้ให้บริการทางการเงินใจดี มีมาตรการช่วยเหลือโดยในระยะที่ 1 เน้นการจ่ายอัตราขั้นต่ำรายเดือนลดลงจาก 10% เหลือ 5 % เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง ช่วยให้ลูกหนี้บัตรมีเงินสดเก็บไว้ใช้ในการยังชีพประจำวันมากขึ้น
ต่อมามีเสียงสะท้อนมากขึ้นว่า อัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตยังอยู่ในระดับสูง หากเป็นไปได้ น่าจะมีทางเลือกที่หลากหลายที่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องระยะสั้น และช่วยให้เห็นแสงสว่างที่จะปลดหนี้ไปพร้อมๆกัน เพราะลูกหนี้บัตรจำนวนไม่น้อย ได้เพียรพยายามผ่อนจ่ายและมีวินัยมาโดยตลอด ซึ่งก็ยังมีอีกจำนวนมากที่ไปไม่ไหวและต้องกลายเป็น NPL ซึ่งถึงคราวจำเป็นแล้วที่จะต้องช่วยหาทางออกให้เขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่
เราคนไทยด้วยกันจะทิ้งกันได้อย่างไร ความเห็นและข้อเสนอแนะเหล่านี้ ได้นำมาสู่มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย ระยะที่ 2 ของ ธปท. แล้วคนไทยที่มีหนี้บัตรได้อะไรจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยระยะที่ 2 ของ ธปท.? อยากขอให้พวกเราเหล่าลูกหนี้ สละเวลาสักเล็กน้อย ศึกษาข้อมูลดังต่อไปนี้ เพื่อเลือกทางเลือกที่ใช่สำหรับตัวเอง (ภาพที่ 1)
1. ลูกหนี้บัตรทุกราย ที่ถือบัตรจำนวนราว 23 ล้านใบ จะได้รับประโยชน์จากการลดเพดานอัตราดอกเบี้ยจาก 18% เหลือ 16% ซึ่งแน่นอน จะช่วยลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของผู้ถือบัตรทุกท่าน รวมถึงลูกหนี้ NPL ด้วย ซึ่งจะได้รับสิทธิ์นี้โดยอัตโนมัติ ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 เป็นต้นไป
2. ลูกหนี้บัตรที่มีสถานะปกติ นอกจากจะได้รับการผ่อนปรนลดอัตราจ่ายชำระขั้นต่ำเหลือ 5% ในปี 2563 - 2564 แล้ว มาตรการระยะที่ 2 ยังให้สิทธิลูกหนี้ที่จะเปลี่ยนประเภทหนี้ จากหนี้บัตรเครดิต เป็นเงินกู้แบบมีกำหนดเวลา (term loan) ที่อัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 12% (ดอกเบี้ยลดลงถึง 6%)
3. หากพวกเรามีรายได้เพิ่ม หรืออาจจะมีเงินก้อนฟลุ้คๆ เข้ามา แนะนำให้มาโปะลดยอดหนี้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย prepayment fee แต่อย่างใด
ข้อควรรู้เพิ่มเติมที่สำคัญ
(1) การแปลงหนี้บัตรมาเป็น term loan มิได้ทำให้ติดประวัติเสียในเครดิตบูโร อย่างที่เข้าใจกัน
(2) ลูกหนี้ยังคงมีวงเงินบัตรเครดิตไว้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้ แต่วงเงินบัตรจะลดลงเหลือเท่ากับวงเงินเดิมหักด้วยยอดหนี้ที่เปลี่ยนเป็น Term loan ดังกล่าว
สำหรับกรณีที่วงเงินบัตรเดิมเต็มวงเงิน ผู้ให้บริการอาจพิจารณาให้วงเงินแก่ลูกหนี้ ในจำนวนที่ไม่มากนัก เช่น 5,000 - 10,000 บาท เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าสำหรับใช้ชีวิตในประจำวัน เผื่อเหตุฉุกเฉินต่างๆ เป็นการตอบแทนในยามที่ยากลำบากนี้ ก็น่าจะอยู่ในวิสัยที่ผู้ให้บริการพอจะทำได้
(3) มาตรการระยะที่ 2 ได้เสนอแผนการผ่อนชำระ term loan ไว้ที่ 48 งวด หรือ 4 ปี ดอกเบี้ยไม่เกิน 12% เพื่อให้ลูกหนี้ได้มีหลักยึด หลักคิดในการเลือกใช้สิทธิ อย่างไรก็ดี กรณีที่ลูกหนี้ต้องการผ่อนชำระในเวลาที่สั้นกว่านั้น เช่น ผ่อนเพียง 24 งวด หรือ 30 งวด ก็สามารถเจรจากับผู้ให้บริการ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำกว่า 12% ได้ หรือในทางกลับกัน หากต้องการจะผ่อนยาว เช่น 60 เดือนเพื่อให้ค่างวดในแต่ละเดือนลดต่ำลงอีก ก็ทำได้เช่นกัน โดยดอกเบี้ยไม่เกิน 12%
ทีนี้ พวกเราอาจสงสัยว่า ถ้าเปลี่ยนหนี้บัตรมาเป็น term loan แล้ว ภาระโดยรวมจะเป็นอย่างไร ดอกเบี้ยจะเป็นเท่าไร และที่สำคัญคือในแต่ละเดือนจะต้องจ่ายมากกว่าที่จ่ายขั้นต่ำ 5% หรือไม่