​ส่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจากตัวเลขตลาดแรงงาน

เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดแล้วจริงหรือ ถ้าฟื้นแล้ว ฟื้นแค่ไหน

หากไม่นับข้อมูลจีดีพีของ “สภาพัฒน์” แล้ว ข้อมูลหนึ่งที่ตอบคำถามข้างต้นได้ คือ ข้อมูลตลาดแรงงาน


ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ

ย้อนกลับไปดูก่อนที่จะเกิดการระบาดของโควิด-19 อัตราการว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้วของไทยอยูที่ประมาณร้อยละ 1.0

หลังการระบาดของโควิด-19 อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ร้อยละ 2.2 ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 ก่อนที่จะปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ชี้ถึงการฟื้นตัวที่ชัดเจนของตลาดแรงงาน แม้จะยังไม่กลับไปเท่าระดับก่อนโควิด-19

ถ้านับเป็นจำนวนคน จำนวนผู้ว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้วก่อนโควิด-19 อยู่ที่ประมาณสี่แสนคน ณ จุดสูงสุดในไตรมาสที่ 3 ของปี 2564 อยู่ที่ประมาณเก้าแสนคน ก่อนที่จะกลับลงมาที่ห้าแสนกว่าคนในปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี ทั้งตัวเลขอัตราว่างงานและตัวเลขจำนวนผู้ว่างงาน สะท้อนผลของโควิด-19 ต่อตลาดแรงงานไทยที่น้อยกว่าความเป็นจริงมาก ในการวิเคราะห์ภาวะตลาดแรงงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เราจึงบวกตัวเลข “ผู้เสมือนว่างงาน” นิยามจากผู้มีงานทำ แต่ทำงานไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน เข้าไปด้วย โดยพบว่าในไตรมาส 2 ของปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักจากการปิดเมือง จำนวนผู้เสมือนว่างงานที่ปรับฤดูกาลแล้วทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 5.7 ล้านคน

หลังจากการเปิดเมืองในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 จำนวนผู้เสมือนว่างงานปรับลดลงชัดเจน แต่ยังก็ยังสูงกว่าระดับ 3 ล้านคนตลอดทั้งปี 2564

Back rear view of young asian woman, freelance data scientist work remotely at home coding programmer on Big data mining, AI data engineering, IT Technician Works on Artificial Intelligence Project.; Shutterstock ID 2160981465; purchase_order: BOT; job: ;

ข้อมูลที่น่ายินดี คือ ณ ไตรมาส 2 ของปีนี้ ตัวเลขผู้เสมือนว่างงานลงมาอยู่ที่ 2.4 ล้านคน ซึ่งแทบไม่แตกต่างกับตัวเลขก่อนการระบาดของโควิด-19 แล้ว

ที่ต้องติดตามต่อไป คือ หลังจากเศรษฐกิจไทยกลับไปเท่ากับระดับก่อนการระบาดของโควิด-19 ซึ่งคาดว่าจะเป็นภายในสิ้นปีนี้ อัตราการว่างงานซึ่งคำนวณจากเฉพาะจำนวนผู้ว่างงานจะกลับไประดับก่อนโควิด-19 ที่ประมาณร้อยละ 1.0 ด้วยไหม โดยเฉพาะในภาวะปัจจุบัน ที่ธุรกิจหลายสาขา ทั้งส่งออก ก่อสร้าง และร้านอาหาร ออกข่าวว่ามีความต้องการแรงงานเป็นจำนวนมาก

ในข้อหลังนี้ ส่วนตัวผมเองยังไม่แน่ใจ ข้อมูลผู้ว่างงานสามารถจำแนกย่อยไปได้อีกเป็นผู้ว่างงานระยะสั้นและผู้ว่างงานระยะยาว (ว่างงานเกินกว่า 1 ปีขึ้นไป) ก่อนการระบาดของโควิด-19 จำนวนผู้ว่างงานระยะยาวที่ปรับฤดูกาลแล้วอยู่ระหว่าง 5-7 หมื่นคน ในปี 2563 ตัวเลขนี้ยังไม่ขยับมากนัก แต่ตั้งแต่ปี 2564 ตัวเลขนี้พุ่งขึ้นไปเป็นหลักแสน และยังไม่มีทีท่าจะลดลงอย่างมีนัย โดยล่าสุดในไตรมาส 2 ของปีนี้ อยู่ที่ 1.6 แสนคน ชี้ว่าคนกลุ่มหนึ่งซึ่งตกงานจากการระบาดของโควิด-19 ไม่สามารถหางานทำใหม่ได้ สวนทางกับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ซึ่งอาจเป็นเพราะทักษะของพวกเขาไม่ตรงกับความต้องการของตลาดในปัจจุบันแล้ว

แต่หากจำนวนผู้ว่างงานระยะยาวเป็นแผลเป็นทางเศรษฐกิจที่วิกฤตโควิด-19 ทิ้งไว้ถาวร ตลาดแรงงานไทยอาจจะมีความตึงตัวมากกว่าที่สะท้อนจากตัวเลขอัตราการว่างงาน ซึ่งอธิบายว่าทำไมเราจึงเห็นข่าวเชนร้านอาหารประกาศจ้างพนักงานถึง 600 บาทต่อวัน รวมถึงไม่เห็นแรงต้านของนายจ้างในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำมากนัก

ตัวเลขสำคัญตัวเลขหนึ่งที่ต่างประเทศเกาะติด แต่ในไทยไม่ค่อยดูกัน คือ ตัวเลขอัตราการขยายตัวของรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงาน ซึ่งสามารถบ่งชี้แรงกดดันเงินเฟ้อที่มาจากค่าจ้างแรงงานได้ ข้อมูลล่าสุดพบว่า เริ่มเห็นการปรับขึ้นของรายได้ต่อชั่วโมงของแรงงานตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี เทียบกับในอดีตแล้ว อัตราการเพิ่มที่เห็นถือว่ายังไม่ผิดปรกติ เพราะสอดรับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงพอสรุปได้ว่า ค่าจ้างแรงงานที่เพิ่มสูงมากในข่าวยังเป็นเฉพาะบางสาขาธุรกิจเท่านั้น


ที่มา สำนักงานสถิติแห่งชาติ คำนวณโดยธนาคารแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำล่าสุดคงทำให้อัตราการขยายตัวของค่าจ้างแรงงานโดยรวมเพิ่มขึ้นไปอีก อย่างไรก็ดี การปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจหลังการระบาดของโควิด-19 เช่น การเติบโตของธุรกิจฟู้ดดีลิเวอรี่ ทำให้ค่าจ้างแรงงานโดยรวมอ่อนไหวกับการปรับขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำน้อยลง ประกอบกับอัตราที่ปรับขึ้นล่าสุดของค่าจ้างขั้นต่ำที่เฉลี่ยร้อยละ 5 ถือว่าไม่สูงมากนัก

อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่อัตราเงินเฟ้อโดยรวมยังอยู่ในระดับสูง สิ่งที่ต้องระวังคือเงินเฟ้อฝังรากในการเรียกร้องการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน ควบคู่ไปกับการปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการโดยผู้ประกอบการ ซึ่งจะทำให้เงินเฟ้อปีหน้าไม่ลงมามากตามที่ ธปท. คาด และเศรษฐกิจอาจจะประสบกับปัญหาเงินเฟ้อเรื้อรังได้ จึงยังไม่อาจวางใจได้ทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานจะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆครับ


ผู้เขียน :
ดร.ดอน นาครทรรพ


บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย