​เปลี่ยนวิกฤตท่องเที่ยวไทยให้เป็นโอกาส รอวันที่ต่างชาติจะกลับมาเหมือนเดิม

ในยุคหลังโควิด 19 รูปแบบการท่องเที่ยวได้เปลี่ยนไปจากเดิม มีแนวโน้มให้ความสำคัญกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เกิดกระแสการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน คำถามที่น่าสนใจคือ ในช่วงที่รอการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไทยควรเตรียมพร้อมในเรื่องนี้อย่างไร เพื่อสร้างโอกาสและทำให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่การท่องเที่ยวยุคใหม่เป็นไปอย่างราบรื่น

Wide Panorama traveler woman in nature view scenic landscape green rice field at beautiful sunrise, Attraction famous landmark tourist travel Kanchanaburi Thailand vacation, Tourism destination Asia


“การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน” เทรนด์การท่องเที่ยวยุคใหม่

การแพร่ระบาดของโควิด 19 ตลอดระยะ 2 ปี ทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยสูงเกือบปีละ 2 ล้านล้านบาทหายไปเกือบทั้งหมด ในอีกด้านหนึ่ง เราเริ่มได้ยินสื่อนำเสนอข่าวเกี่ยวกับการฟื้นตัวของธรรมชาติและพบเห็นสัตว์หายากในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก จนเกิดเป็นกระแสความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและพูดถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) หนาหูขึ้น

รูปที่ 1: อันดับประเทศยอดนิยมที่ต่างชาติจะมาเที่ยวหลังโควิด-19 และพฤติกรรมนักท่องเที่ยวยุคใหม่


เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนไม่ใช่เรื่องใหม่ และถูกบรรจุในแผนพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยที่ผ่านมาทุกฉบับ เพียงแต่ยังมีข้อจำกัดในการขยายผล โดยเฉพาะช่วงก่อนโควิด 19 ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้เรามุ่งเน้นไปที่รายได้ที่เข้ามา จนอาจมองข้ามการวางรากฐานการท่องเที่ยวยั่งยืน ที่ต้องคำนึงถึงขีดความสามารถของธรรมชาติในการรองรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากธรรมชาติที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจเลือกสถานที่ท่องเที่ยว สอดคล้องกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น โดยจากผลสำรวจของ Booking.com เมื่อเดือนเมษายน 2564[1] (รูปที่ 1) พบว่า 83% ของผู้ตอบแบบสำรวจเห็นว่าการท่องเที่ยวยั่งยืนมีความสำคัญ โดยนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยยินดีจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อการท่องเที่ยวที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม


เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส: ดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพ สร้างปลายทางแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน

จากข้อมูลของ Visual Capitalist พบว่า ไทยติด 1 ใน 10 อันดับแรกของประเทศยอดนิยมที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจมาเที่ยวในช่วงหลังโควิด 19[2] ทั้งนี้ จากการประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติของหลายหน่วยงานสำคัญทางเศรษฐกิจเห็นตรงกันว่า ในระยะสั้น-กลาง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาอาจไม่กลับไปสู่ระดับเดิมที่ 40 ล้านคน โดยคาดว่าในปี 2565 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเฉลี่ย 5.7 ล้านคน (รูปที่ 2) และคาดว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ ทั้งในแง่ของระยะเวลาพักที่ยาวนานและค่าใช้จ่ายที่สูง ไทยจึงควรใช้โอกาสนี้ในการสร้างภาพลักษณ์การท่องเที่ยวใหม่ ให้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวยั่งยืนของโลก เพื่อเป็นการสร้างรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพ มากกว่าหวังพึ่งปริมาณนักท่องเที่ยวจำนวนมากดังเช่นในอดีต

รูปที่ 2: จำนวนและรายรับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทย



ไขกุญแจสำคัญ สู่โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จ

การสร้างโมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าจะทำให้สำเร็จไม่ได้ โดยจะขอยกตัวอย่าง สองโมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จมาเล่าสู่กันฟัง (รูปที่ 3) เริ่มต้นด้วย

1) “โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนของสาธารณรัฐปาเลา (Palau)” ประเทศหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกที่ได้มีเป้าหมายในการพลิกฟื้นและเปลี่ยนภาพลักษณ์การท่องเที่ยวใหม่สู่ความยั่งยืน หลังเกิดปัญหานักท่องเที่ยวล้นเกินจนทำให้ทรัพยากรธรรมชาติเริ่มเสื่อมโทรมลงในปี 2557 ผ่านแคมเปญ “สัญญาปาเลา หรือ Palau Pledge” โดยนักท่องเที่ยวทุกคนที่เข้ามาต้องประทับตราในพาสปอร์ตเพื่อสัญญากับเด็กๆ ของปาเลาว่าจะทำตามกฎรักษ์ธรรมชาติและไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อและคนดังระดับโลก เช่น Leonardo DiCarprio และ Dame Ellen Macarthur ซึ่งช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงและสร้างรายได้ให้กับประเทศมากขึ้น

2) โมเดลท่องเที่ยวที่อาศัยจุดแข็งด้านทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลที่ยังอุดมสมบูรณ์มาสร้างภาพลักษณ์แหล่งท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ คือ “โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนของเกาะหมาก จ.ตราด” ของไทย ผ่านการลดกิจกรรมท่องเที่ยวที่สร้างมลพิษ ลดใช้พลังงานและน้ำสำหรับที่พักแรม และรักษาวิถีชีวิตดั้งเดิมของชุมชน ทำให้เป็นที่สนใจและดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพได้มากขึ้น โดยในปี 2562 มีจำนวนนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น 15% จากปีเริ่มต้นพัฒนาเกาะหมาก 2556 แต่กลับสร้างรายได้เพิ่มขึ้นเกือบ 50%[3]

รูปที่ 3: ตัวอย่างโมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนที่ประสบความสำเร็จ


กุญแจสำคัญอย่างเดียวกันที่ทำให้โมเดลการท่องเที่ยวยั่งยืนของปาเลาและเกาะหมาก ประสบความสำเร็จ คือ 1) มีการตั้งเป้าหมายและแผนงานในระดับพื้นที่ที่ชัดเจน 2) มีการประสานความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการเข้ามามีส่วนร่วมของภาครัฐท้องถิ่นที่ทำหน้าที่สอดประสานกับคนในชุมชนซึ่งเป็นเจ้าของทรัพยากรและมีความเข้าใจในเชิงพื้นที่ดีกว่าภาครัฐส่วนกลาง โดยเปิดโอกาสให้ชาวบ้านและผู้ประกอบการในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่กระบวนการคิด ตัดสินใจ และออกแบบแนวทางการดำเนินการร่วมกัน และ 3) ทุกภาคส่วนเห็นเป้าหมายเดียวกันและเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตัวเอง ทำให้การขับเคลื่อนไปสู่การท่องเที่ยวยั่งยืนในระดับพื้นที่เกิดขึ้นได้จริง ซี่งหากแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ สามารถปรับใช้และต่อยอดไปสู่การท่องเที่ยวยั่งยืนในพื้นที่ของตัวเองได้มากขึ้น ก็จะช่วยเสริมภาพลักษณ์การท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยให้โดดเด่นในสายตาของโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ไทยได้คว้าโอกาสทองหลังจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มทยอยกลับมาเหมือนเดิม


ผู้เขียน :
ธนายุส บุญทอง
ณรงค์ฤทธิ์ อดุลย์ฐานานุศักดิ์
ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ
วริทธิ์นันท์ ชุมประเสริฐ
สำนักงานภาคใต้

คอลัมน์ "แจงสี่เบี้ย" นสพ. กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับที่ 3/2565 วันที่ 1 ก.พ. 2565


อ้างอิง :
[1] Booking.com (2021), Sustainable Travel Report 2021
[2] Marcus Lu (2022), 10 Travel Destinations for Post-Pandemic Life, Visualcapitalist, January 14, 2022
[3] กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (2562)
[4] ธนายุส บุญทอง, ณรงค์ฤทธิ์ อดุลย์ฐานานุศักดิ์ และ วริทธิ์นันท์ ชุมประเสริฐ (2564), Sustainable Tourism: กระแสแห่งโอกาสและความท้าทายของภาคการท่องเที่ยวไทย, Regional Letter ฉบับที่ 16/2564



บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย