​ปักหมุดหมาย บนแผนที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

​การกำหนดทิศทางให้ประเทศเดินหน้ามีความสำคัญอยู่แล้วในยามปกติ และถือเป็นภารกิจจำเป็นยิ่งยวดภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในอดีตที่ผ่านมาไทยได้จัดทำแผนกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจและสังคมไว้อย่างต่อเนื่อง คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งขณะนี้เข้าสู่กระบวนการร่างแผนฉบับที่ 13 สำหรับ 2566-2570 ซึ่งมีเป้าหมาย “พลิกโฉมประเทศไทย สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า สังคมเดินหน้าอย่างยั่งยืน (Thailand’s Transformation)”


เราไม่เพียงจะมีแผนที่ดำเนินการเป็นระบบต่อเนื่องยาวนาน แต่ยังมีการเรียงร้อยแผนงานหลายระดับสู่การปฏิบัติ ตั้งแต่แผนระดับที่หนึ่ง คือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ ระยะยาว 20 ครอบคลุม 2560-2580 สู่แผนระดับที่สอง ได้แก่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และ แผนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นแผนระยะกลาง ส่งผ่านต่อแผนระดับที่สาม เช่น แผนปฏิบัติการประจำปีของแต่ละหน่วยงาน

หากเทียบเคียงการมีแผนงานในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นการมีแผนที่เดินทางแล้ว กองคาราวานประเทศไทยที่ประกอบไปด้วยทุกภาคส่วนทั้ง ประชาชน นักเรียนนักศึกษา ธุรกิจ ภาคการศึกษา และ ภาครัฐ สามารถร่วมรับทราบทิศทางที่เรากำลังเดินหน้าไป แต่น่าสังเกตว่า เราไปถึงเป้าหมายได้รวดเร็วเพียงใด พร้อมเพรียงกันอย่างไร มีคนหลงทางถูกทิ้งไว้ข้างหลังมากเท่าไร และมีการให้รางวัลคนที่เดินเร็วและช่วยเหลือคนอื่นให้คืบหน้า ตลอดจนมีกลไกการลงโทษคนที่กีดขวางการเดินทางหรือไม่อย่างไร

สิ่งที่ตกหล่นไปจากแผนที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้ปัญหาเชิงโครงสร้างหลายประการยังไม่ถูกแก้ไขแม้ว่าจะถูกชี้ช่องเจาะจงถึงรากฐานของปัญหากันมาอย่างเนิ่นนานแล้ว คือ การขาดซึ่งหมุดหมายชี้วัด ทำให้เราไม่สามารถทราบได้ว่า เราคืบหน้าอยู่เพียงใด เดินกลับหลังหันอยู่บ้างหรือไม่ หมุดหมายนี้ต้องเชื่อมโยงเป้าหมายของประเทศ กระจายลงสู่แผนปฏิบัติ และผูกโยงกับความรับผิดรับชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ในทุกระดับ ลักษณะเหล่านี้อาจชวนหลายท่านให้นึกถึงเครื่องมือในการบริหารผลงาน เช่น Balanced Scorecard ที่กำหนดวิสัยทัศน์ แผนกลยุทธ์ และแปลผลสู่ทุกจุดของการดำเนินงานได้

ขออนุญาตหยิบยกตัวอย่างหมุดหมายที่อาจใช้ในแผนที่การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถออกแบบนโยบาย กำหนดตัวชี้วัด และติดตามประเมินผลได้ คือ การใช้ตัวเลขรายได้ประชาชาติ (National Income) ของประเทศในการติดตามผลการดำเนินการของเป้าหมายแผนยุทธศาสตร์ชาติในการยกระดับไทยให้ก้าวข้ามสถานะประเทศรายได้ปานกลางระดับสูงไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยหากพิจารณาสี่องค์ประกอบของรายได้ประชาชาติซึ่งมีมูลค่า 16 ล้านล้านบาทในปี 2562 จะใช้ติดตามประเมินผลสี่แผนงาน ได้แก่

1. ผลตอบแทนลูกจ้างนอกภาคเกษตร 5 ล้านล้านบาท วัดผลการสานฝันให้แรงงานมีทักษะสูง2. ผลตอบแทนลูกจ้างภาคเกษตรและรายได้ครัวเรือนเกษตรกร 1 ล้านล้านบาท วัดผลการพลิกโฉมเกษตรกร3. รายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตร 2.6 ล้านล้านบาท วัดผลการยกระดับ SMEs และ4. การบริโภคสินค้าทุน 2.9 ล้านล้านบาท วัดผลการยกเครื่องการลงทุนนวัตกรรม
คงไม่ต้องบอกว่าเราประสบความสำเร็จมากน้อยเท่าไร ในเมื่อไทยยังเผชิญกับปัญหาการขาดแคลนแรงงานทักษะสูง มีเกษตรกรอายุเกิน 50 ปีอยู่มากกว่า 6 ล้านคน ที่อาจเผชิญข้อจำกัดในการปรับตัว มี SMEs จำนวนมากที่ก้าวไม่ทันเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงความต้องการของลูกค้า ตลอดจนมีตัวเลขการลงทุนนวัตกรรมไม่สูงนัก

ที่ประเทศต้องการจึงไม่ใช่แค่แผนงาน แต่ต้องมีหมุดหมายที่จะแจกแจงได้ชัดเจนว่ามีเป้าให้เติบโตเท่าไรในภาพรวม มีการกระจายตัวทั่วถึงเพียงใด และเชื่อมโยงเข้ากับแผนปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงานอย่างไร เพื่อวัดผลและเอื้อการปรับแผนให้สอดรับกับสถานการณ์ อาทิ โควิด-19 แต่ที่สำคัญสุด คือ กลไกใดที่จะทำให้ทุกภาคส่วนเข้าใจเป้าหมายร่วม และสามารถทำงานร่วมกันให้เกิดผลได้จริงในทางปฏิบัติ


ผู้เขียน
ดร.นครินทร์ อมเรศฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ


บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย


>>