​เศรษฐกิจโลก-ไทยปี 2023 ปีแห่งความไม่แน่นอน: งานไม่ใหญ่แน่นะวิ (ตอน 2)

เมื่อ 21 พ.ย. 2022 สภาพัฒน์ฯ แถลงว่า GDP-Q3/2022 ขยายตัว 4.5% เร่งตัวขึ้นจาก 2.5% ใน Q2/2022 เป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 และนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มกลับมาเดินเครื่องอีกครั้ง ประชาชนเริ่มกลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และผู้ประกอบการเริ่มมั่นใจในภาวะเศรษฐกิจมากขึ้น บทความตอน 2 นี้นำเสนอแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและความเสี่ยงปี 2023 เพื่อให้ทุกภาคส่วนเตรียมรับมือกับความไม่แน่นอนข้างหน้า

futuristic concept of global economics suitable for world financial technology Economic trends , business or digital network idea and all art work design. Abstract digital background. Vector


เศรษฐกิจไทยปี 2023 ฟื้นตัวต่อเนื่องจากแรงส่งด้านท่องเที่ยว แต่เริ่มเห็นสัญญาณความเปราะบางด้านการส่งออกจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าหลัก

เศรษฐกิจไทยปี 2022 ธปท. คาดว่าจะขยายตัว 3.2% เพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในปี 2021 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 6.3% และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 3.3% ของ GDP สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2023 ธปท. คาดว่าจะขยายตัว 3.7% สอดคล้องกับสภาพัฒน์ฯ (3.0% - 4.0%) สภาหอการค้าไทย (3.5%-4.0%) และ IMF (3.7%) แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ASEAN-5 ที่โต 4.9%

ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ภาคส่งออกสินค้ายังเป็นพระเอกขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในภาวะที่แรงขับเคลื่อนจากด้านท่องเที่ยวหยุดชะงัก หลังโควิด-19 คลี่คลายคาดว่าสถานการณ์ภาคท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวช่วยเป็นอีกแรงหนุนเศรษฐกิจได้อีกครั้ง แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงไม่เท่ากับช่วงก่อนโควิด-19 โดยในปี 2022 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคนตามเป้าหมาย และในปี 2023 ททท. ประมาณการว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 11-30 ล้านคน โดยกรณีปีฐานอยู่ที่ 18 ล้านคน โดยหากไม่มีความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์เพิ่มขึ้น คาดว่าในปี 2023 รายได้จากการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นแรงเสริมกับภาคส่งออกเหมือนเช่นในอดีต

อย่างไรก็ตาม ยังเป็นที่น่ากังวลต่อทิศทางการส่งออกของไทยในปี 2023 หากเจาะลึกข้อมูลล่าสุดภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย 10 เดือนปี 2022 พบว่ามีมูลค่า 243.1 Bil USD ขยายตัว 9.1% เทียบกับปีก่อนหน้า (%YoY) ในมิติของตลาดส่งออกในคู่ค้าสำคัญจะเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวในตลาดสหภาพยุโรป (สัดส่วนตลาด 7.9%) ไม่โตในตลาดญี่ปุ่น (8.6%) และเริ่มหดตัวในตลาดจีน (12%) ตามลำดับ (รูป F.1) เมื่อวิเคราะห์ในประเภทสินค้าพบว่า สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญยังไปได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มอาหาร เช่น ข้าว เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์แปรรูปแช่แข็ง และอาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ส่วนผลิตภัณฑ์น้ำตาลทรายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว เป็นต้น แต่สินค้าส่งออกกลุ่มสินค้าคงทนเริ่มเห็นสัญญาณหดตัวบ้างในหมวดสินค้ารถยนต์ และชิ้นส่วนและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เป็นผลจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อสูงโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ที่ส่งผลต่อรายได้และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง โดยล่าสุด ธปท. และสภาพัฒน์ฯ คาดว่ามูลค่าการส่งออกของไทยปี 2023 จะโต 1% จากปี 2022 อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนประเมินว่าความสามารถในการส่งออกของไทยพิจารณาจากมูลค่ายังมีระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ที่เฉลี่ยประมาณ 220 Bil USD (2015-2019)


มองไปข้างหน้า จากผลสำรวจ JCER/Nikkei Consensus Survey ล่าสุด ณ ก.ย. 2022 ระบุว่าความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในอีก 12 เดือนข้างหน้าอันดับ 1 คือ การชะลอตัวของจีน ซึ่งมีความเสี่ยงอยู่ในระดับน่ากังวลด้วย Score = 75 จากสูงสุด =100 รองลงมาคือ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ (60) และปัญหาเงินเฟ้อ (50) ซึ่งหล่นลงไปอยู่อันดับ 3 จากเคยอยู่อันดับ 1 ในคราวการสำรวจเมื่อ มิ.ย. 2022 (รูป F.2)


การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก ตลาดการเงินโลกที่ผันผวน ส่งสัญญาณความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้าย

อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้นตามการกลับสู่นโยบายการเงินแบบปกติ (Monetary policy normalisation) และมูลค่าของเงินดอลลาร์ (ดูจาก WSJ dollar index) ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ก่อให้เกิดความกังวลจากหลายฝ่ายว่าจะเกิดความผันผวนในสกุลเงิน ตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (EMs) เหมือนเช่นที่เคยเกิดขึ้นในคราวการยุตินโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE Tapering) ในปี 2013

มุมมองของนักวิเคราะห์เห็นว่า สถานการณ์แวดล้อมครั้งนี้แตกต่างจาก QE tapering-2013 โดยกลุ่ม EMs มีความเสี่ยงเพิ่มเติมจาก (1) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์รวมถึงอาหารสูงขึ้นทั่วโลกส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อให้ปรับตัวสูงขึ้นทั่วโลก (2) ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ของสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่มีทีท่าจะยืดเยื้อ และ (3) เฟด ECB และธนาคารกลางรายใหญ่อื่น ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่รวดเร็วและแรงมากกว่ารอบ QE tapering-2013 ส่งผลให้สกุลเงินของ EMs ส่วนใหญ่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. และเริ่มเห็นการลงทุนในหลักทรัพย์ระหว่างประเทศ (FPT) เริ่มไหลออกจากกลุ่ม EMs สะท้อนจากดัชนี MSCI emerging markets ที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

สอดคล้องกับมุมมองของสถาบัน IIF (8 พ.ย. 22) ที่ชี้ว่าความต้องการซื้อพันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นของกลุ่มประเทศ EMs มีแนวโน้มลดลง (Weaker outlook) เพื่อไปลงทุนในแหล่งอื่น ส่วนหนึ่งเป็นผลจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2022 (รูป F.3) และ (4) การใช้จ่ายฉุกเฉินและกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโควิด-19 ในระดับสูง ทำให้บางประเทศ EMs ประสบปัญหาหนี้สินและการขาดดุลงบประมาณเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยสูงทั้งในประเทศและต่างประเทศก็จะทำให้การกู้ยืมมีต้นทุนสูงขึ้น


ในกรณีของไทย ผู้เขียนประเมินว่าความเสี่ยงที่จะเกิดวิกฤตการเงินมีจำกัด เนื่องจากตลาดการเงินไทยมีความยืดหยุ่นในการรับแรงกระแทกจากความผันผวนได้ดีระดับหนึ่ง จากความมั่นคงทางการเงินที่ได้บทเรียนจากวิกฤตการเงิน 1997 การพัฒนาและใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบยืดหยุ่น รวมถึงมีเงินสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงอยู่ที่ 228.2 Bil USD หรือคิดเป็น 3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น และ 8 เดือนของมูลค่านำเข้าสินค้าและบริการ

ในท้ายนี้ จากความเสี่ยงทั้งด้านการค้าและการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นในปี 2023 ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้เขียนหวังว่าทุกภาคส่วนจะช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันตนเอง โดย “ผู้ส่งออก” ควรเพิ่มผลิตภาพ ผลิตสินค้าที่ตรงตามความต้องการตลาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุน หาตลาดใหม่ๆ และการใช้เครื่องมือประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน “นักลงทุน” ควรกระจายความเสี่ยงการลงทุนทั้งมิติประเภทอุตสาหกรรม ประเภทสินทรัพย์ และประเทศที่ไปลงทุน “แรงงาน” ควรพัฒนาทักษะ มีการศึกษาและมีสุขภาพดี เพื่อให้มีงานและรายได้สูงขึ้น และมีระบบประกันสังคมคุ้มครอง

และเชื่อแน่ว่าเราทุกคนจะรอดจากความไม่แน่นอนในปี 2023 ไปได้ด้วยกันนะวิ!


ผู้เขียน :
ดร.เสาวณี จันทะพงษ์
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค

คอลัมน์“แจงสี่เบี้ย” นสพ. กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับที่ 22/2565 วันอังคาร 6 ธ.ค. 2565


บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย


เอกสารอ้างอิง:
- Gita Gopinath, Pierre-Olivier Gourinchas (2022), How Countries Should Respond to the Strong Dollar, IMF blog (Exchange rate), 14 Oct 2022
- Jonathan Fortun (2022), IIF Capital Flows Tracker – October 2022 Zig Zagging, 8 Nov 2022
- Patricia Buckley and Akrur Barua (2022), Does Monetary Tightening in Advanced Economies Spell Trouble for Emerging Markets?, Deloitte Insight, 11 Nov 2022
- Rurika Imahashi (2022), ASEAN Economies Seen Hit by U.S. Rate Hikes in 2023: JCER/Nikkei, Nikkei, 3 Oct 2022
- กระทรวงพาณิชย์ (2022), แถลงข่าวภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนตุลาคม และ 10 เดือนของปี 2022, 28 พ.ย. 2022
- ฐานเศรษฐกิจดิจิทัล (2022), ททท.ดันท่องเที่ยวปี 66 ท็อป 5 โลก ดึงทัวริสต์ 30 ล้านคน ปั๊มรายได้ 2.38 ล้านล้าน, 3 พ.ย. 2022
- สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2022), ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาสที่ 3/2022, 21 พ.ย. 2022
- สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (2022), NESDC Economic Report ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี 2022 และแนวโน้มปี 2022-2023, 21 พ.ย. 2022