แนวคิดว่าข้อมูลเป็น “เชื้อเพลิง” เติมพลังขับเคลื่อนการทำงานให้กับทุกภาคส่วนนั้น เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ทางตรง หรือมีส่วนเกี่ยวข้องทางอ้อม อย่างไรก็ดี แนวทางในการใช้งานข้อมูลในทางปฏิบัติยังมีความหลากหลายตามความพร้อมของผู้ใช้และความเข้าใจของเจ้าของข้อมูล ในวันนี้จึงขอเชิญทุกท่านมาแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการใช้งานข้อมูลในการพัฒนาประเทศ
ก่อนอื่นขอหยิบยกประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้รับเกียรติจาก รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร ผู้บริหารระดับสูงด้านนวัตกรรมการบริการ (ToP Executive Program for Creative & Amazing Thai Services - ToPCATS ) ของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้บรรยายร่วมกับ ดร.พรรคธาดา ตรีรัตนพิทักษ์ และคุณกัมพล พรพัฒนไพศาลกุล ในหัวข้อ “Data Analytics & Economic Policy” วันที่ 15 มิ.ย.
เจ้าของธุรกิจและผู้บริหารระดับสูงในภาคบริการของไทยที่เข้าร่วมรับฟังมีความคุ้นเคยกับการใช้ข้อมูลในการประกอบธุรกิจเป็นอย่างดี จึงสะท้อนความคาดหวังที่มีต่อการทำงานด้านข้อมูลของภาครัฐในสามมิติสำคัญ คือ
1) หลักคิดของการทำงาน ที่เสริมเติมกันระหว่าง Data, Research และ Policy พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานข้อมูลรองรับการวิเคราะห์วิจัยเพื่อตอบโจทย์นโยบายให้เกิดผลในทางปฏิบัติ โดยเอาผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง และสลายข้อจำกัดในการทำงานร่วมกันทั้งภายในและระหว่างหน่วยงาน
2) รูปแบบการนำเสนอ ที่ผู้ใช้งานข้อมูลเข้าใจได้ง่าย ตรงโจทย์ และสามารถนำไปต่อยอดในทางปฏิบัติ โดยมีความหลากหลายและเหมาะสมกับผู้ใช้งานแต่ละระดับที่มีวัตถุประสงค์การใช้งานข้อมูลต่างกัน
3) การเปิดให้ใช้ประโยชน์ ที่ผู้พัฒนา หรือ developer จากภาคเอกชนสามารถมีส่วนร่วมใช้ความรู้ความสามารถในการเปิดโอกาสทางธุรกิจให้กับตนเองและประเทศ ภายใต้กลไกด้านธรรมาภิบาลข้อมูล และการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการใช้งานข้อมูลอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม
มุมมองของภาคธุรกิจไทยนี้สอดคล้องกับแนวทางการใช้งานข้อมูลภายใต้วิถีใหม่ คือ Data Product Approach โดยยึดเอาการใช้ประโยชน์ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง ตามที่บทความของผู้บริหารบริษัท McKinsey ในนิตยสาร Harvard Business Review ฉบับเดือน ก.ค.-ส.ค. 65 เรื่อง “A Better Way to Put Your Data to Work” ระบุว่าวิธีใหม่นี้จะแตกต่างจากการใช้งานข้อมูลในปัจจุบันที่แบ่งออกคร่าว ๆ เป็นแบบ “ฐานราก” ที่กระจายให้แต่ละหน่วยย่อยพัฒนาการใช้ประโยชน์ข้อมูลเอง ซึ่งแม้จะตรงความต้องการแต่ก็เกิดการทำงานซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองทรัพยากรอย่างยิ่ง และแบบ “บิกแบง” ที่จัดตั้งศูนย์รวมการบริหารการใช้งานข้อมูลและใช้เวลาในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ออกแบบสถาปัตยกรรมข้อมูล รวบรวม ประมวล และเผยแพร่ข้อมูล ซึ่งต้องใช้เวลามากและขาดการมีส่วนร่วมจากผู้ใช้งานจึงไม่ตรงใจคนทำงาน และไม่เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่
แนวทางสำคัญของ Data Product Approach ที่ยึดเอาการบริโภคข้อมูล หรือการใช้งานเป็นหลักยึด จะแตกต่างจากวิธีการในอดีต คือ ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการกระจายงานให้ต่างคนต่างทำเหมือนวิธี ฐานราก แต่ก็ไม่ได้เอางานมากองรวมกันไว้เหมือนวิธี บิกแบง แต่จะมองข้อมูลเป็นผลิตภัณฑ์ หรือ product ที่ผู้มีส่วนร่วมสามารถใช้ประโยชน์ภายใต้สิทธิ์ตามบทบาทหน้าที่ โดยใช้ข้อดีจากแบบรวมศูนย์ในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานทั้งระบบการบันทึกในการนำเข้าข้อมูล และแพลตฟอร์มข้อมูลในการจัดเก็บและประมวลผลอย่างมีประสิทธิภาพไม่ซ้ำซ้อนกัน แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับการทำงานโดยคำนึงถึงความต้องการของผู้ใช้งานข้อมูลไม่แยกส่วนออกจากกัน เพื่อให้เห็นตัวอย่างในทางปฏิบัติ ขอเล่าถึงผลการศึกษาด้านโครงสร้างทะเบียนแรงงานไทยภายใต้แนวทาง Data Product Approach โดย นครินทร์ อมเรศ และ พรชนก เทพขาม 2565, “The Data Product Approach to Close Labour Database Gaps in Thailand” ดังนี้
ระบบการบันทึกและแพลตฟอร์มข้อมูล : ใช้งานห้องทดลองปฏิบัติการด้านข้อมูล หรือ Data Lab ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูลด้านแรงงานจากหน่วยงานพันธมิตร ได้แก่ กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม และสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เป็นต้น การทำงานจึงไม่ทับซ้อนกัน
ผลิตภัณฑ์ข้อมูล : จำแนกได้เป็นกลุ่มข้อมูลแรงงานในระบบประกันสังคม ข้อมูลผู้ประกอบอาชีพอิสระที่ขึ้นทะเบียนประกันสังคมมาตรา 40 ข้อมูลการรับสวัสดิการแรงงาน ข้อมูลการรับการพัฒนาทักษะ และข้อมูลความต้องการแรงงาน การใช้งานข้อมูลจึงตรงกับการดำเนินนโยบายของแต่ละหน่วยงานและผู้เกี่ยวข้อง
การใช้ประโยชน์ข้อมูล : มีทั้งการใช้ข้อมูลเพื่อส่งกลับไปยัง application ของการจับคู่งานและทักษะของหน่วยงานภาครัฐทั้งแพลตฟอร์มไทยมีงานทำ และแพลตฟอร์ม E-Workforce Ecosystem การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ในเชิงลึกและจัดทำรายงานเพื่อการดำเนินนโยบาย การแลกเปลี่ยนข้อมูลสถิติผ่านระบบ API ตลอดจน การใช้ Sandbox ระหว่างหน่วยงานในการศึกษาข้อมูลร่วมกันเพื่อออกแบบแนวทางสร้างแรงจูงใจให้แรงงานเข้ารับการพัฒนาทักษะ ทำให้ตอบโจทย์ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลทั้งภาครัฐและแรงงาน
โดยสรุปแล้ว ภาคธุรกิจทั้งในและต่างประเทศเล็งเห็นความสำคัญของการใช้งานข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุด การทำงานด้านข้อมูลของภาครัฐยุคใหม่จึงต้องยึดเอาการใช้ประโยชน์ข้อมูลเป็นที่ตั้ง บนฐานของการมีระบบการจัดเก็บและแพลตฟอร์มข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ และการคำนึงถึงการตอบโจทย์ของผู้ใช้งานข้อมูล เพื่อให้ข้อมูลเป็น “เชื้อเพลิง” ปะทุเปลวไฟแห่งการพัฒนาประเทศให้รุ่งโรจน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
>> Download PDF
ผู้เขียน :
ดร.นครินทร์ อมเรศ
พรชนก เทพขาม
คอลัมน์ “ร่วมด้วยช่วยคิด” นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
ฉบับวันที่ 6– 8 กรกฎาคม 2565