​นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ
ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค

การประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก. แรงงานต่างด้าว ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ แต่ส่งผลกระทบหนักต่อกิจการที่ใช้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายอย่างเข้มข้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็น SMEs และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ที่มีแรงงานต่างด้าวหนาแน่น พ.ร.ก. ฉบับนี้กำลังนำไปสู่บริบทใหม่ที่การใช้แรงงานต่างด้าว ไม่ใช่ข้อได้เปรียบด้านต้นทุนอีกต่อไป จึงเป็นความท้าทายของผู้ประกอบการที่ต้องปรับตัว และสร้างจุดแข็งอื่นเพื่อคงความสามารถในการแข่งขันและดำเนินธุรกิจต่อไป

ภาพของเหล่าคนต่างด้าวที่เข้ามาทางานในบ้านเรากลายเป็นสิ่งคุ้นตาทั้งในร้านอาหาร งานก่อสร้าง หรือโรงงานอาหารแปรรูป หรือหากใครมีโอกาสได้ไปเยือนจังหวัดที่มีแรงงานชาวพม่าอาศัยอยู่หนาแน่นจะพบว่าชาวต่างด้าวไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มผู้ขายแรงงานเท่านั้นแต่ยังเป็นกำลังสำคัญที่ขับเคลื่อนทั้งภาคธุรกิจและเศรษฐกิจในเมืองนั้นเลยทีเดียว ตัวเลขอย่างเป็นทางการของจำนวนแรงงานต่างด้าวในประเทศไทยจากกระทรวงแรงงานอยู่ที่ 1.7 ล้านคนในปี 2560 แต่คาดว่าตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่านั้นมากเพราะมีแรงงานต่างด้าวจำนวนมากที่เข้าประเทศมาโดยผิดกฎหมาย การเข้ามาโดยไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิจากรัฐนอกจากจะไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการพื้นฐานแล้วยังอาจถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ทำให้ประเทศไทยถูกจัดอันดับ Tier 3 ในรายงานการค้ามนุษย์ของสหรัฐอเมริกาและถูก EU ให้ใบเหลืองจาก การทำประมงที่ผิดกฎหมาย (IUU) จนส่งผลให้อุตสาหกรรมประมงของไทยซบเซาทั้งระบบจนถึงขณะนี้

การประกาศบังคับใช้ พ.ร.ก. การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2560 แสดงถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวที่ถูกปล่อยปละละเลยมาหลายสิบปี ซึ่งการจัดระเบียบจะช่วยให้คนกลุ่มนี้สามารถเข้าถึงสวัสดิการด้านแรงงาน สาธารณสุขและการศึกษาที่สำคัญจะสร้างความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในระยะยาว แต่การออกบังคับใช้กฎหมายโดยไม่ได้ส่งสัญญาณหรือ ให้เวลา ผู้ประกอบการในการปรับตัวมากนักในระยะเริ่มต้น นั้นจึงหลีกเลี่ยงผลกระทบที่จะเกิดกับภาคธุรกิจ และเศรษฐกิจโดยรวมไปไม่ได้

จากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการในทุกขนาดและทุกอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น (Labor intensive) จำนวนกว่า 100 แห่งทั่วประเทศ ภายใต้โครงการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจกับภาคธุรกิจ (Business Liaison Programme: BLP) ของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่า พ.ร.ก. แรงงาน ต่างด้าวฉบับใหม่นี้แม้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจและการขยายตัวของเศรษฐกิจโดยรวมอย่างมีนัยสำคัญ ธุรกิจขนาดใหญ่ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้อยู่เพราะส่วนมากจ้างแรงงานไทยและแรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมาย แต่ผลกระทบจะมาตกอยู่ที่ SMEs ที่ใช้แรงงานต่างด้าวเข้มข้น เพราะส่วนใหญ่จะอาศัยแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน โดยผลกระทบจะหนักในช่วงก่อนจะมีการประกาศระยะเวลาผ่อนผันให้ผู้ประกอบการได้มีโอกาสพา แรงงานต่างด้าวของตนไปขึ้นทะเบียนเพราะมีแรงงานไหลกลับประเทศทันทีในจำนวนมาก โดยผลกระทบมีความรุนแรงตั้งแต่การลดกำลังการผลิตจนถึงการปิดกิจการทั้งชั่วคราวและถาวรของบาง SMEs เช่น ภาคการค้าและบริการที่ขาดแรงงานหลังร้านจนธุรกิจต้องสะดุดลง ภาคก่อสร้างที่หากต้องเร่งส่งมอบงานตามกำหนดเวลาก็ต้องแข่งราคาแย่งตัวแรงงานกันจนค่าแรงสูงขึ้น หรือโดนค่าปรับที่ส่งมอบงานล่าช้า ภาคเกษตรที่ขาดแรงงานเก็บเกี่ยวและคัดแยกจนต้องยอมขายผลผลิตในราคาเหมา ตลอดจนโรงงานแปรรูปเกษตรลดการรับซื้อผลผลิตเพราะมีกำลังการผลิตไม่พอจนสินค้าเน่าเสีย ด้านประมงชายฝั่งก็ต้องหยุดเดินเรือจนทำให้ธุรกิจเกี่ยวเนื่องหยุดชะงัก ด้านการลงทุนพบการชะลอโครงการเพราะหาผู้รับเหมายากและต้นทุนสูง นอกจากนี้ ยังพบว่ากลุ่มบริษัทเกษตรแปรรูป มีแผนย้ายฐานการผลิตไปในประเทศเพื่อนบ้านเพื่อความมั่นคงด้านแรงงานและวัตถุดิบ

อย่างไรก็ดี หลังจากการประกาศผ่อนผันกฎหมายตามมาตรา 44 ผลกระทบดังกล่าวต่อการดำเนินธุรกิจเริ่มเบาบางลง แรงงานต่างด้าวทยอยกลับมาบ้างแม้จะยังไม่เท่าเดิม และผู้ประกอบการบางส่วนเริ่มนำแรงงานต่างด้าวของตนไปขึ้นทะเบียน พร้อมกับปรับตัวด้วยการเพิ่มการทำงานล่วงเวลา การใช้แรงงาน part-time เพื่อชดเชยแรงงานที่หายไป และประสานกับกรมการจัดหางานเพื่อจ้างแรงงานต่างด้าวตาม MOU มากขึ้น ทั้งนี้ แม้ในระยะหลังสถานการณ์ดูจะเริ่มผ่อนคลายลงเป็นลำดับ แต่ก็มีเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ว่าพวกเขายังต้องเผชิญความท้าทายด้านต้นทุนค่าแรงในอนาคตที่จะสูงขึ้นทั้งจากการหาแรงงานที่ยากขึ้น ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการนำเข้าและขึ้นทะเบียนแรงงาน รวมถึงค่าแรงและสวัสดิการที่ปรับขึ้นมาเทียบเท่ากับแรงงานไทยตามเงื่อนไขของ พ.ร.บ. ประกันสังคม ทาให้ SMEs ต้องปรับตัวตามกลไกของตลาดแรงงานที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปจากการบังคับใช้กฎหมาย สร้างความกังวลถึงความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจในอนาคต

นอกจากนี้ พ.ร.ก. แรงงานต่างด้าวยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังระบบเศรษฐกิจ ในแง่ของการบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลง โดยเฉพาะในแหล่งที่มีแรงงานต่างด้าวหนาแน่น จากการสำรวจพื้นที่ใน จ. สมุทรสาคร ที่หลายคนเรียกกันว่าเมียนมาทาวน์ พบว่าหลังจากการประกาศ พ.ร.ก. การจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่หดตัวและกระทบธุรกิจรายย่อยของคนไทยในท้องถิ่น ผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าและบริการระดับฐานรากได้รับผลกระทบรุนแรงในช่วงแรก สะท้อนจากยอดขายสินค้าที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ร้านค้าเลื่อนเวลาปิดเร็วขึ้น และเห็นห้องเช่าที่เคยมีคนอยู่เต็มกลายเป็นห้องร้างเกินครึ่ง ทั้งนี้ แม้จะมีมาตรการผ่อนผันออกมา ผู้นำชุมชนและผู้ประกอบการต่างเห็นพ้องกันว่าแรงงานต่างด้าวคงจะไม่กลับเข้ามาเท่ากับในอดีต เพราะการจ้างงานในพื้นที่ยังซบเซาตามภาคประมงและธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ที่ยังไม่ฟื้นตัวมาตั้งแต่มาตรการ IUU ขณะเดียวกันคาดกันว่าในระยะต่อไปกลุ่มแรงงานต่างด้าวเหล่านี้จะระมัดระวังการใช้จ่ายยิ่งขึ้นไปอีกเพราะเงินเก็บลดลงในช่วงการเดินทางเข้าออกประเทศและยังมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย ผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าในพื้นที่จึงต้องพลิกโฉมครั้งใหญ่โดยปรับรูปแบบจากห้างที่เคยตกแต่งตามรสนิยมของชาวเมียนมาทั้ง 6 ชั้นปัจจุบันเหลือไว้เพียง 1 ชั้น และหันมาสร้างกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอื่นทดแทน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับชุมชนถนนกีบหมู ย่านคลองสามวา แหล่งค้าแรงงานรายวันอิสระที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่มีแรงงานชาวเขมรอยู่หลายพันคน ซึ่งผู้ประกอบการในพื้นที่ต่างเห็นว่าระยะหลังยอดขายสินค้าลดลงและแรงงานใช้จ่ายอย่างประหยัดมากขึ้น ร้านโพยก๊วนก็ทยอยปิดตัวลง และยังมองว่าอีกไม่นานแรงงานต่างด้าวในพื้นที่นี้น่าจะหายไปจานวนมากเพราะเป็นแรงงานผิดกฎหมาย และแน่นอนว่าแรงงานที่หายไปจะส่งผลกระทบต่อภาวะการจับจ่ายใช้สอยและยอดขายของธุรกิจในพื้นที่ต่อไป

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย