เฟดกำลังสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ?

16 มิถุนายน 2566

ด้วยความที่สหรัฐฯมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย ผู้ที่สนใจความเป็นไปของเศรษฐกิจไทยจำเป็นต้องติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างใกล้ชิด ตามเนื้อเพลงของพี่เบิร์ดที่ว่า ”ฝนที่ตกทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้”

 

หนึ่งในคำถามยอดฮิตที่ผมได้รับจากนักลงทุน คือ การต่อสู้กับเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในรอบนี้ จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอยหรือไม่

 

มองย้อนไปในอดีต ต้องบอกว่าประวัติศาสตร์ยืนอยู่ตรงข้ามกับเฟด บทความ Managing Disinflations โดย Stephen Cecchetti  และคณะ ที่เผยแพร่เมื่อต้นปีนี้ รายงานว่า ตั้งแต่ปี 1950 ทุกการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อเอาเงินเฟ้อลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางเยอรมัน และธนาคารกลางอังกฤษ จะจบลงด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยเสมอ

เทียบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดรอบนี้กับในอดีต การปรับรอบนี้มีขนาดที่เร็วและแรงเป็นลำดับสอง รองจากสมัยประธาน Paul Volcker เมื่อต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1980 เท่านั้น ซึ่งครั้งนั้นจบลงด้วยภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง และส่งผลกระทบไปทั่วโลก

 

ทั้งนี้ ไม่นับว่าเราเห็นปรากฏการณ์ Inverted yield curve (ภาวะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะสั้นสูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว) ในตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งแม้จะไม่มีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์รองรับ แต่ในแง่ของสถิติ แทบทุกครั้งที่เกิดปรากฏการณ์ Inverted yield curve เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในเวลาไม่เกิน 20 เดือน

 

นอกจากนี้ ดัชนี Leading Economic Index (LEI) ที่จัดทำโดยบริษัท Conference Board ซึ่งทำนายการถดถอยของเศรษฐกิจสหรัฐๆถูกต้องทุกครั้งตั้งแต่ปี 1959 บอกว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายในปีนี้

pic

อย่างไรก็ดี ข้อมูลเครื่องชี้lสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลตลาดแรงงาน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ข้อมูลการผลิต และข้อมูลการใช้จ่ายของผู้บริโภค ล้วนบ่งชี้ว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯกำลังชะลอตัวลงอย่างมีนัย แต่ยังคงแข็งแกร่ง กอปรกับปัญหาธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐฯดูเหมือนจะคลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯอาจจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยตามที่เคยเป็นไปในอดีตก็เป็นได้

 

ล่าสุด บริษัทวาณิชธนกิจยักษ์ใหญ่ Goldman Sachs ได้ปรับลดความน่าจะเป็นที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยภายใน 12 เดือนข้างหน้า เหลือเพียงร้อยละ 25 จากที่เคยให้ไว้สูงถึงร้อยละ 35 เมื่อเดือนมีนาคม ช่วงที่สหรัฐฯกำลังประสบกับปัญหาการล้มของธนาคาร Silicon Valley

ในด้านของตลาดหุ้น หลังจากสหรัฐฯสามารถปรับเพิ่มเพดานหนี้ได้เป็นผลสำเร็จ เราเห็นตลาดหุ้นสหรัฐฯตอบสนองในทางบวก โดยระดับของดัชนีทั้ง Dow Jones S&P และ Nasdaq ต่างกลับไปใกล้เคียงกับหรือสูงกว่าช่วงเดือนสิงหาคมของปีที่แล้ว (เทียบกับตลาดหุ้นไทยที่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันประมาณร้อยละ 5) ราวกับว่านักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะหลีกเลี่ยงการถดถอยในรอบนี้ได้ (Soft landing)

 

ซึ่งถ้าเป็นจริง เฟดภายใต้การนำของประธาน Jay Powell จะได้รับการจารึกชื่อในประวัติศาสตร์ธนาคารกลางในฐานะที่สามารถเอาชนะเงินเฟ้อโดยไม่ต้องแลกกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

 

ทั้งนี้ งานของเฟดไม่ได้มีเพียงแค่การประคับประคองเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องดูแล “เสถียรภาพระบบการเงิน” จากปัญหา “น้ำลด ตอผุด” ที่เกิดขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายควบคู่กันไปด้วย

 

โดยล่าสุด นาย Bob Michele ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุนของ JPMorgan Asset Management ให้สัมภาษณ์ว่าเขารู้สึกว่าสถานการณ์ในตลาดการเงินสหรัฐฯในปัจจุบัน หลังจากที่ JPMorgan ซื้อธนาคาร First Republic ไป เป็นความสงบก่อนพายุจะมา คล้ายกับช่วงกลางปี 2008 หลังจากที่ JPMorgan ซื้อ Bear Stearns ไป ด้วยนักลงทุนมองว่าปัญหาในระบบการเงินได้รับการแก้ไขแล้ว ก่อนที่จะเกิดการล้มของ Lehman Brothers ในเดือนกันยายนซึ่งนำไปสู่วิกฤตการเงินครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์โลก

 

แม้บริบทของเศรษฐกิจสหรัฐฯในปัจจุบันจะแตกต่างจากในปี 2008 เช่น ปัจจุบันไม่มีปัญหาในตลาดสินเชื่อ Subprime แต่ผมคิดว่าเราไม่สามารถละเลยคำสัมภาษณ์ของผู้บริหาร JPMorgan ได้ เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดยังไม่จบ แม้เฟดอาจจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนมิถุนายน แต่ตลาดก็มองว่าถ้าเฟดจะหยุด ก็เป็นการหยุดเพียงชั่วคราว ซึ่งหมายความว่า ต้นทุนการเงินในสหรัฐฯในปีนี้จะยังเพิ่มสูงขึ้นไปอีก อีกทั้งยังมีแนวโน้มทรงตัวสูงต่อเนื่องไปพอสมควร

 

แน่นอนว่าเราไม่อยากให้เกิดพายุฝนในสหรัฐฯ เรามาเอาใจช่วยท่านประธาน Jay Powell และคณะกันนะครับ

 

*บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด*

ผู้เขียน :
ดอน นาครทรรพ

ฝ่ายบริหารเงินสำรอง

นสพ. กรุงเทพธุรกิจ
ฉบับวันที่ 13 มิถุนายน 2566